เมื่อช่องแคบฮอร์มุซจะถูกปิด: วิกฤติพลังงานไทย เราจะผ่านพ้นไปได้อย่างไร?

ดร. อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)

ที่มาภาพ : https://tdri.or.th/2025/06/thailand-energy-response-hormuz-threat-opinion/

นักวิชาการพลังงาน ทีดีอาร์ไอ เผย ไทยนำเข้าพลังงานจากการขนส่งช่องแคบฮอร์มุซถึง 1 ใน 3 หากอิหร่านปิดจริงกระทบแน่ แนะ 3 ช่องทางบรรเทาผลกระทบราคาน้ำมันพุ่ง “กองทุนน้ำมัน-น้ำมันสำรอง-ลดภาษีสรรพสามิต”  จี้ ภาครัฐ วางแผนระยะยาว รับมือ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ยื้ดเนื้อ-ขยายวง หนุนเดินหน้า “คลังสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์” พร้อมพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เพิ่มเสถียรภาพความมั่นคงทางพลังงาน ห่วงค่าไฟแพงจากต้นทุนที่สูงขึ้น แต่รัฐบาลประกาศตรึงราคาไว้ แนะ ปรับโครงสร้างเพื่อความยั่งยืน

วันที่ 23 มิถุนายน ดร.อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการนโยบายพลังงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)  กล่าวถึงกรณีที่รัฐสภาอิหร่านอนุมัติร่างมาตรการปิดช่องแคบฮอร์มุซ ว่า ช่องแคบดังกล่าวถือเป็นเส้นทางหลังในการขนส่งพลังงานโลกทั้งน้ำมันและก๊าซ คิดเป็นสัดส่วน 30 % จากพลังงานทั้งหมด โดย 1 ใน 3 ของพลังงานที่ใช้ในประเทศไทยมาจากการขนส่งช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งในขณะนี้แม้รัฐสภาอิหร่านจะลงมติแล้ว แต่ยังจะต้องส่งให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติสูงสุด และผู้นำสูงสุดของอิหร่านอนุมัติเสียก่อนจึงจะมีผลใช้บังคับ

อย่างไรก็ตามหากสุดท้ายมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซจริง แน่นอนว่าจะต้องส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบของโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งในปัจจุบันราคาดีดไปที่ 77-80 เหรียญต่อบาเรลแล้ว และอาจทะลุ 100 เหรียญต่อบาเรลหากมีการปิดช่องแคบจริง แต่มีการประเมินกันว่าสถานการณ์อาจจะไม่ยืดเยื้อ เพราะกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก จากการขนส่งสินค้าทางเรือด้วย ซึ่งสุดท้ายสหรัฐอเมริกาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งครั้งนี้ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน

 
ชี้ ไทยมีน้ำมันสำรองใช้ 60 วัน

สำหรับความสามารถในการรับมือของประเทศไทยในความเสี่ยงทางพลังงานนั้น ดร.อารีพร กล่าวว่า ในมิติของน้ำมันค่อนข้างที่จะกระทบหนัก แต่ประเทศไทยมีเครื่องมือ 3 ประเภทที่จะสามารถใช้แก้ปัญหาได้ คือ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือ กบน. ที่ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเข้ามาอุดหนุนให้ราคาน้ำมันในประเทศให้ไม่พุ่งสูงมากนัก ซึ่งสถานการณ์ช่องแคบฮอร์มุซ ถือว่าเป็นการใช้เงินจากมาตรการกองทุนน้ำมันอย่างถูกต้องตามวัตถุประสงค์เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันเมื่อเกิดวิกฤติ

อีกเครื่องมือหนึ่ง การที่ไทยน้ำมันสำรองในประเทศซึ่งสามารถใช้ได้ 60 วัน อาจจะใช้น้ำมันสำรองตรงนี้เข้ามาช่วยได้ หากข้อขัดแย้งนี้ไม่ได้ยืดเยื้อนาน การใช้น้ำมันสํารองจะสามารถเข้ามาช่วยรักษาเสถียรภาพของราคาได้

มาตรการสุดท้าย คือ การใช้มาตรการภาษีสรรพสามิตเข้ามาช่วย หากราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้น กบน.อาจจะต้องขอความร่วมมือจากกระทรวงการคลังในการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันลง โดยทั้ง 3 มาตรการนี้ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น

แนะหนุนพลังงานสะอาดในประเทศลดพึ่งพาก๊าซ LNG

ขณะที่ผลกระทบในมิติก๊าซธรรมชาติ  ดร.อารีพร มองว่า ไทยนำเข้าก๊าซ LNG จากตะวันออกกลางค่อนข้างมาก ดังนั้นควรหาแนวทางในการลดการพึ่งพาก๊าซ LNG มากขึ้น เช่น การสนับสนุนพลังงานสะอาดในประเทศให้มากขึ้น เพื่อให้ไทยมีความมั่นคงทางพลังงาน แต่พลังงานสะอาดอาจจะยังไม่ตอบโจทย์เรื่องเสถียรภาพของไฟฟ้า เพราะมีความไม่แน่นอน

ดังนั้นสิ่งที่จะต้องดำเนินการควบคู่กันไปคือการลงทุน กับเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น การพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน ระบบสมาร์ทกริด หรือระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ และการตอบสนองระบบความต้องการการใช้ไฟฟ้า ซึ่ง 3 สิ่งนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาควรเร่งลงทุนเพื่อให้ไทยมีเสถียรภาพพลังงานในประเทศมากขึ้น

แบกต้นทุนค่าไฟมากขึ้น จากนโยบายการตรึงค่าไฟ

ดร.อารีพร ยังกล่าวถึงผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าว่า ราคาค่าไฟไม่มีเครื่องมืออื่นเช่นเดียวกับราคาน้ำมัน หากต้นทุนสูงขึ้นค่าไฟฟ้าจะต้องแพงขึ้น แต่ปัจจุบันรัฐบาลประกาศตรึงราคาค่าไฟในปีนี้ไม่เกิน 3.98 บาทต่อหน่วย ดังนั้นหากตรึงราคาต่อไป จะต้องมีผู้แบกรับภาระนี้ซึ่งก็คือปตท.ที่ต้องแบกรับต้นทุนเชื้อเพลิง หรือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่จะต้องแบกรับหนี้ จากการตรึงราคาค่าไฟ แต่สุดท้ายภาระต้นทุนเหล่านี้ไม่ได้หายไปไหน เพราะภาครัฐจะต้องมีการชดเชยในภายหลังอยู่ดี หากไม่มีการปรับโครงสร้างราคาค่าไฟเพื่อให้ปัญหาราคาค่าไฟได้รับการแก้ไขอย่างยั่งยืน

ดังนั้นหวังว่าเหตุการณ์นี้จะให้รัฐบาลฉุกคิดให้ได้ว่า ภาครัฐต้องเร่งปรับโครงสร้างราคาค่าไฟมากกว่าการตรึงราคาค่าไฟเพียงชั่วคราวเท่านั้น

ดร.อารีพร มีข้อเสนอต่อภาคนโยบายว่า เหตุวิกฤติทางพลังงานที่เกิดขึ้นทำให้เห็นถึงความสำคัญของสมดุลพลังงาน 3 ด้าน คือ ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ภาครัฐต้องคำนึงอย่างจริงจังในการหาทางเลือกอื่นเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงนอกเหนือจากกองทุนน้ำมัน และเป็นเครื่องมือที่จะช่วยพยุงราคาน้ำมันที่มีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ที่เหมาะสม อย่างคลังสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ หรือ SPR  (Strategic Petroleum Reserve) ที่จะสามารถรองรับความเสี่ยงจากวิกฤตได้ยาวนานขึ้น

“ขอเสนอให้ภาครัฐมีการวางแผนในระยะยาว เพราะปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ และวิกฤติต่าง ๆ  เริ่มเกิดขึ้นบ่อย นอกจากความสงคราม ความขัดแย้งระหว่างประเทศแล้ว ที่ผ่านมายังเกิดเหตุไฟดับที่ยุโรป ซึ่งเป็นปัจจัยที่มาจากปัญหาสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว ดังนั้นภาครัฐควรวางแผนให้ไทยสามารถพึ่งพาตัวเองได้นานขึ้น มีความยืดหยุ่นมากกว่านี้” ดร.อารีพรระบุ