
รายงานโดย ปรีดี บุญซื่อ
ประวัติศาสตร์เทคโนโลยีบอกคนเราว่า เทคโนโลยีที่มีลักษณะอรรถประโยชน์ทั่วไป (General-Purpose Technology – GPT) จะมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโลก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักรไอน้ำ ไฟฟ้า หรือคอมพิวเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ก็เป็นเทคโนโลยีที่มีลักษณะแบบเดียวกัน คือส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
นอกจากจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนเราสะดวกมากขึ้น AI ยังมีศักยภาพที่จะแก้ปัญหา ที่เคยมองว่ายากที่จะแก้ไขได้ เช่น การรักษาโรค หรือการค้นพบยาใหม่ AI ทำให้การเกษตรมีประสิทธิภาพมากสุดเท่าที่เป็นไปได้ ช่วยทำให้มีผลผลิตเพิ่มขึ้น และลดความยากจน การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ dkiปรับปรุงบริการของรัฐ รวมทั้งนำมาใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG)
เข้าใจปัญหา “การแบ่งแยกด้าน AI”
AI ถือเป็นศูนย์กลางการปฏิวัติทางดิจิทัล แต่ก็สร้างปัญหาท้าทายใหม่ขึ้นมาคือ โลกเกิดการแบ่งแยกและเหลื่อมล้ำด้าน AI การแบ่งแยกในเรื่องนี้หากขยายตัวมากขึ้น จะไปทำให้ความเหลื่อมล้ำต่างๆที่เกิดขึ้นในโลก ลุ่มลึกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการทอดทิ้งประชากรส่วนใหญ่ของโลก ให้หลุดออกจากโลกสมัยใหม่ ที่ขับเคลื่อนโดย AI
การแบ่งแยกด้าน AI ไม่ใช่ปัญหาทางเทคโนโลยีอย่างเดียว แต่ยังเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม เมื่อ AI มีการพัฒนาซับซ้อน และบูรณาการกับชีวิตต่างๆของคนในสังคมมากขึ้น เช่น บริการสาธารณสุข การศึกษา และบริการทางการเงิน เป็นต้น คนที่ไม่สามารถเข้าถึง หรือเข้าใจเทคโนโลยี AI เสี่ยงจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และจะเสียเปรียบคนที่มีทักษะ AI การแบ่งแยกด้าน AI จึงไม่ใช่แค่เรื่องการเข้าถึงเครื่องมือต่างๆด้าน AI แต่รวมไปถึงการได้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI
สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนการแบ่งแยกด้าน AI คือ “การแบ่งแยกด้านดิจิทัล” (digital divide) ที่หมายถึงช่องว่าง ระหว่างคนที่เข้าถึงเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร และการสื่อสารสมัยใหม่ กับคนที่ไม่สามารถเข้าถึง การแบ่งแยกเกิดขึ้นตั้งแต่มีการคิดค้นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลกับอินเตอร์เน็ต สาเหตุทำให้เกิดการแบ่งแยกดิจิทัล มาจากความเหลื่อมล้ำเศรษฐกิจ ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ และระดับการศึกษา เป็นต้น
แม้จะมีการพยายามลดช่องว่างการแบ่งแยกด้านดิจิทัล แต่ปัญหานี้ยังดำรงอยู่อย่างซ้ำซาก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา และพื้นที่ชนบท สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) คาดการณ์ว่า ในปี 2024 ประชาชน 2.6 พันล้านคน หรือ 32% ของประชากรโลก ยังอยู่ในสภาพ offline คือไม่สามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต ประชากร 93% ของประเทศรายได้สูงใช้อินเตอร์เน็ต ส่วนประเทศรายได้ต่ำมีเพียง 27%
AI ทำให้เกิดการแบ่งแยกแบบใหม่
ในรายงานข่าวของ The New York Times เรื่อง The Global AI Divide กล่าวว่า เมื่อประเทศต่างๆแข่งขันกันเรื่อง AI ทำให้เกิดช่องว่างไปทั่วโลก AI สร้างการแบ่งแยกด้านดิจิทัลใหม่ขึ้นมา คือระหว่างประเทศที่มีอำนาจการประมวลผล (compute power) สำหรับการสร้างระบบ AI ขึ้นมา กับประเทศที่ไม่มีพลังอำนาจเหล่านี้ การแบ่งแยกนี้จะมีอิทธิพลต่อเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจโลก เกิดความสัมพันธ์ที่ประเทศหนึ่งพึ่งพาอีกประเทศขึ้นมา และกดดันให้ประเทศต่างๆ ต้องหาทางไม่ให้ตัวเองถูกกีดกันออกจากการแข่งขันด้าน AI
ที่ผ่านมา ประเทศที่ได้รับประโยชน์มากสุดคือ สหรัฐอเมริกา จีน และสหภาพยุโรป รายงานล่าสุดของมหาวิทยาลัย Oxford ชื่อ AI Compute Sovereignty ระบุว่า 3 ภูมิภาคนี้เป็นที่ตั้งของของ Data Center มากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก มีเพียง 32 ประเทศ หรือ 16% ของประเทศในโลก ที่มีแหล่งที่ตั้งขนาดใหญ่ที่มีตัวไมโครชิปและคอมพิวเตอร์ ที่อุตสาหกรรม AI เรียกว่า “อำนาจการประมวลผล” และมากกว่า 150 ประเทศที่ไม่มีอะไรเลย
สหรัฐฯและจีนที่เป็นผู้นำของโลกเทคโนโลยี ที่มีอิทธิพลสูง บริษัทอเมริกันและจีนเป็นผู้ดำเนินงานมากถึง 90% ของ Data Center ที่บริษัทและองค์กรทั่วโลกพึ่งพาเพื่อใช้ในการทำงานของ AI ส่วนแอฟริกาและอเมริกาใต้ไม่มีศูนย์การประมวลผล AI เลย จีนมี 22 แห่งอินเดียมี 5 แห่ง ญี่ปุ่น 4 แห่ง สิงคโปร์ 6 แห่ง มาเลเซีย 1 แห่ง และไทย 1 แห่ง
AI Data Center มีอำนาจการประมวลผลมากมายกว่า Data Center ในอดีต ที่ประมวลผลเรื่องง่ายๆ เช่น การส่งอีเมล หรือการส่งข้อมูลวีดีโอ แต่ AI Data Center ต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ ใช้ไฟฟ้ามหาศาล และตัวชิปที่มีพลังการประมวลผล ศูนย์ Data Center จึงต้องลงทุนนับพันล้านดอลลาร์ และมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับ จึงมีบางประเทศเท่านั้น ที่จะสามารถจัดหาสิ่งเหล่านี้ได้ นอกจากนี้ ยิ่งมีบริษัทไฮเทคไม่กี่บริษัทเท่านั้น ที่สามารถเป็นเจ้าของ Data Center ทำให้การแบ่งแยกด้าน AI ระหว่างประเทศ มีมากขึ้น
การแบ่งแยกด้านอำนาจประมวลผล
อำนาจการประมวลผลของ AI มีมากมายมหาศาล เช่น การค้นพบทางวิทยาศาสตร์หรือทางการแพทย์ ทำให้ชิ้นส่วนสำคัญบางอย่างของ Data Center เช่น ตัวไมโครชิปกลายเป็นอาวุธทางการค้าของทั้งสหรัฐฯและจีน บางประเทศจึงเริ่มลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI เพื่อสนับสนุนการใช้งานของ AI Model ต่างๆ นักวิจัยของ Oxford กล่าวว่า ในอดีต ประเทศผู้ผลิตน้ำมัน มีอิทธิพลต่อการเมืองระหว่างประเทศ ในอนาคต ประเทศที่มีอำนาจการประมวลผลของ AI ก็จะมีอิทธิพลแบบเดียวกัน เพราะสามารถควบคุมการเข้าถึงทรัพยากรสำคัญ
นักวิจัยของ Oxford ได้ทำแผนที่ที่ตั้งของ AI Data Center และบริษัทไฮเทคที่ให้บริการ “อำนาจการประมวลผล” ในรูป cloud-service บริษัทอเมริกันได้แก่ Amazon, Google และ Microsoft ส่วนบริษัทจีนได้แก่ Tencent, Alibaba และ Huawei ส่วนบริษัทยุโรปได้แก่ Exoscale, Hetzner และ OVHcloud
รายงาน The Global AI Divide ยังกล่าวอีกว่า แม้จะไม่ได้รวบรวมข้อมูล Data Center ทั้งหมดในโลก แต่นักวิจัยของ Oxford ระบุว่า สิ่งทีสะท้อนแนวโน้มส่วนใหญ่ก็คือ บริษัทอเมริกันเป็นผู้ดำเนินงาน AI Data Center 87 แห่ง หรือ 2 ใน 3 ของ Data Center ในโลก บริษัทจีนดำเนินงาน 39 แห่ง และบริษัทยุโรป 6 แห่ง ส่วนตัวชิปของ Data Center แทบทั้งหมดมาจาก Nvidia
ในอดีต เคยมีช่องว่างทางเทคโนโลยี ระหว่างประเทศร่ำรวยกับประเทศกำลังพัฒนา สมาร์ทโฟนในราคาถูก การขยายพื้นที่ให้บริการอินเตอร์เน็ต และซอฟต์แวร์ธุรกิจ ทำให้นักวิเคราะห์คิดว่า การแบ่งแยกทางดิจิทัลจะลดน้อยลง เช่น มีระบบการชำระเงินด้วยสมาร์ทโฟนในแอฟริกา หรือการใช้บริการไรเดอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
UN เสนอ AI ที่ให้ประโยชน์ทั่วถึง
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา UNCTAD ได้เผยแพร่รายงาน ที่เรียกร้องให้มีการแก้ปัญหาเร่งด่วนเรื่อง การแบ่งแยกดิจิทัลที่มีมากขึ้น ในปี 2033 AI จะมีมูลค่าตลาดถึง 4.8 ล้านล้านดอลลาร์ เทียบเท่ากับเศรฐกิจเยอรมัน หากไม่มีการดำเนินการเรื่อง AI ประโยชน์จะตกอยู่ในคนกลุ่มน้อย รายงานกล่าวว่า มีเพียง 100 บริษัท ส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐฯและจีน ที่มีสัดส่วนการลงทุนด้านการวิจัย AI ถึง 40% ของโลก
รายงาน UNCTAD คาดการณ์ว่า 40% ของานในโลก จะได้รับผลกระทบจาก AI แม้เทคโนโลยีนี้จะทำให้เกิดโอกาสใหม่ จากการที่เศรษฐกิจมีผลิตภาพมากขึ้น และการมีอุตสาหกรรมใหม่เกิดขึ้น แต่ก็สร้างความวิตกในเรื่อง การที่ AI จะเข้ามาแทนที่การจ้างงาน โดยเฉพาะผลกระทบที่จะเกิดกับประเทศกำลังพัฒนา ที่อาศัยแรงงานราคาถูกเป็นความได้เปรียบ
แต่ผู้เชี่ยวชาญส่วนหนึ่งเห็นว่า AI ไม่ได้เข้ามาแทนการจ้างงานอย่างเดียว แต่ยังสร้างอุตสาหกรรมใหม่ และการให้อำนาจแก่คนทำงานในการทำหน้าที่ หากรัฐบาลลงทุนด้านแรงงานในการฝึกทักษะใหม่ (reskill) การปรับปรุงทักษะ (upskill) รวมทั้งการปรับตัวของแรงงานเอง สิ่งนี้จะสร้างโอกาสในการจ้างงาน ที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากผลกระทบจาก AI
เพื่อไม่ให้ถูกทิ้งอยู่ข้างหลัง ประเทศกำลังพัฒนาต้องสร้างจุดแข็ง 3 ด้าน คือ (1)โครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ต และอำนาจการประมวลผล (2) การเข้าถึงข้อมูลและการเรียนรู้อบรมด้าน AI Model และ (3) สร้างระบบการศึกษาให้ประชาชนมีทักษะดิจิทัล และการแก้ปัญหา ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI
รายงานของ UNCTAD ยังเสนอให้มีการสร้าง Data Center ของโลก ที่ให้ทุกประเทศสามารถเข้าถึงอำนาจการประมวลผล และ AI Model ทำให้การปฏิวัติ AI มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ประวัติศาสตร์บอกเราว่าความก้าวหน้าเทคโนโลยี มีส่วนขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ไม่ใช่แน่นอนเสมอไปว่า เทคโนโลยีจะทำให้มีการกระจายรายได้ หรือส่งเสริมการพัฒนามนุษย์อย่างทั่วถึง
เอกสารประกอบ
The Global AI Divide, June 21, 2025, nytimes.com
AI Compute Sovereignty, June 24, 2025, Oxford University.
The Technology and Innovation Report 2025, UNCTAD.