“พชร อนันตศิลป์” ผอ.สบน. ชี้หนี้สาธารณะปี ’71 แตะ 70% “เป็นเรื่องที่ต้องคำนึง แต่ไม่น่าตกใจ”

นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง

“พชร อนันตศิลป์” ผอ. สบน. หวั่นปัจจัยลบรุมเร้า ดึง GDP โตต่ำกว่าเป้า – ดันหนี้สาธารณะปี ’71 ทะลุ 70% เร็วขึ้น ชี้ “เป็นเรื่องที่ต้องคำนึง แต่ไม่น่าตกใจ” แก้ กม. ขยายเพดานหนี้ได้ – แนะตั้งงบใช้หนี้เงินต้น 4% ห่วงคลังหารายได้ไม่พอจ่าย ปี ’68 เหลือ ‘Fiscal Space’ กู้ชดเชยขาดดุลแค่ 4,902 ล้าน

จากปัญหาเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังช่วงสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ปรากฏว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวรั้งท้ายประเทศสมาชิกอาเซียน ทั้งๆ ที่ได้รับผลกระทบเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นผลกระทบของสงครามรัสเซียกับยูเครน สงครามอิสราเอลกับอิหร่าน และล่าสุดก็ยังมีความไม่แน่นอนนโยบายภาษีของทรัมป์ ทำให้สถาบันวิจัยเศรษฐกิจหลายแห่งออกมาประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ขยายตัวไม่ถึง 2% ต่อปี ในสถานการณ์แบบนี้จะบริหารหนี้อย่างไรให้ยั่งยืน ลองมาฟังความเห็นของนายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง

นายพชรกล่าวว่า ก่อนอื่น คงต้องย้อนกลับไปดูแผนการคลังระยะปานกลาง ประจำปีปีงบประมาณ 2569-2572 หรือ “MTFF” ฉบับล่าสุด ที่ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567 ซึ่งในการจัดทำแผนดังกล่าวนี้ เราใช้ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2568 มาเป็นปีฐานในการจัดทำประมาณเศรษฐกิจไทยในช่วงปี 2569-2572 แต่บังเอิญมีปัจจัยภายนอกมากระทบ ทำให้ GDP ที่เราเคยประมาณการไว้มีแนวโน้มลดต่ำลงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้

เศรษฐกิจหดตัว ดันหนี้/GDP ทะลุ 70% ในปี ’71

ประเด็นนี้ สบน. มองว่า อาจจะส่งผลกระทบกับกรอบการบริหารหนี้สาธารณะต่อ GDP ซึ่งตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ (กฎหมายลูกของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ศ. 2561) ได้กำหนดกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะเอาไว้ไม่เกิน 70% ของ GDP ซึ่งในแผนการระยะปานกลางคลังฉบับล่าสุดนี้ คาดว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จะขึ้นไปยืนอยู่ที่ระดับสูงสุด 69.20 และ 69.30% ในปีงบประมาณ 2571 และ 2572 ตามลำดับ จากนั้นก็จะทยอยปรับตัวลดลงมา

นายพชรกล่าวต่อว่า “แต่จากการที่เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ขยายตัวต่ำกว่าประมาณการเดิมที่เคยคารณ์การไว้ที่ 2.8% ต่อปี ซึ่งเราใช้เป็นปีฐานในการจัดทำแผนการคลังระยะปานกลาง แต่ล่าสุด ก็มีสถาบันวิจัยเศรษฐกิจหลายแห่งคาดว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้น่าจะขยายตัวต่ำกว่า 2% ต่อปี บางแห่งคาดว่า GDP ปี 2568 ขยายตัวเฉลี่ย 1.5% ต่อปี ปี 2569 ขยายตัวเฉลี่ย 2% ต่อปี และถ้าเป็นแบบนี้ก็จะส่งผลทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ขยับเข้าใกล้ 70% เร็วขึ้นกว่าประมาณการในแผนการคลังระยะปานกลาง โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จะขยับเข้าไปแตะ 70% ในปีงบประมาณ 2570 ส่วนในปีงบประมาณ 2571 สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ก็อาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 70.10-70.20% จากเดิมมีสัดส่วนอยู่ที่ 69.20% หรือ เกินเพดานหนี้ไปเล็กน้อยประมาณ 0.10-0.20% ของ GDP เท่านั้น”

“อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่ความผิดของใคร หากมีความจำเป็น ก็ต้องไปแก้ไขประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เพื่อขยายเพดานหนี้สาธารณะต่อ GDP ขึ้นไป แต่ที่สำคัญ ต้องระบุเหตุผลด้วยว่าแก้ทำไม ซึ่งประเด็นนี้มีความสำคัญมาก เพราะบริษัทจัดอันดับเครดิตกำลังเฝ้าติดตามข้อมูลเหล่านี้ อย่างล่าสุดนี้บริษัท Moody’s ก็เพิ่งปรับลดเครดิตของประเทศไทยลง จาก stable เป็น negative คือจากระดับกลางมาเป็นลบ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคเอกชนที่ไปกู้เงินจากต่างประเทศ มีต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่รัฐบาลไม่กระทบ เพราะไม่ได้กู้เงินจากต่างประเทศ ส่วน S&P นั้นคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย”

หลังจากที่เกิดวิกฤติต้มย้ำกุ้งเมื่อปี 2540 มาแล้ว ประเทศไทยจัดทำนโยบายการคลังแบบอนุรักษนิยมแบบสุดๆ กระทรวงการคลังแทบไม่มีการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศเลย ในพอร์ตเงินกู้ของเรามีเงินกู้จากต่างประเทศอยู่ไม่ถึง 2% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการกู้เงินจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น World Bank หรือ ADB คือ กู้มาใช้ในการพัฒนาเทคนิค ความรู้

ถามต่อว่า สบน. เตรียมทำเรื่องเสนอคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังภาครัฐ เพื่อขยับสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP เมื่อไหร่

นายพชรตอบว่า “ณ วันนี้ยังไม่ต้อง อีก 2 ปีข้างหน้าก็ยังไม่ต้อง แต่ในปีงบประมาณ 2570 คงต้องเริ่มพิจารณาแล้ว คาดว่าจะมีการปรับเพิ่มสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ในปีงบประมาณ 2571 เป็นต้นไป”

ถามว่า สรุปเรื่องภาระหนี้ของประเทศ ไม่ต้องกังวลใช่หรือไม่

นายพชรตอบว่า “ก็ควรต้องคำนึงถึง แต่ไม่ใช่สิ่งที่น่าตกใจ ไม่ได้เป็นอย่างที่นักวิชาการพูดกัน หรือ มีข่าวว่าประเทศกำลังจะเจ๊งแล้ว ยืนยันไม่มีแน่นอน เพราะประเทศไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นจำนวนมาก เงินตราของเราก็มีทองคำหนุนหลัง หนุนหลังด้วยอะไรต่างๆ ในขณะที่ประเทศใหญ่ๆ บางประเทศไม่มีทุนหนุนหลัง”

ถามว่า มีนักวิชาการตั้งข้อสังเกต ประเทศใหญ่อย่าง สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรือยุโรป มีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงถึง 200-300% ขณะที่ไทยยังไม่ถึง 70% แต่ประเทศใหญ่ๆ เหล่านี้ไปลงทุนต่างประเทศ จึงมี GDP อยู่นอกประเทศเป็นจำนวนมาก จะนำสัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศใหญ่มาเทียบกับไทยคงไม่ถูกต้อง

นายพชรกล่าวว่า “ใช่ เพราะมันไม่เหมือนกัน คือ ฐานเศรษฐกิจประเทศใหญ่ๆ เหล่านี้กว้างขวางกว่าประเทศไทยมาก และฐานรายได้ของประเทศใหญ่ๆ เหล่านี้ครอบคลุมรายจ่ายอยู่แล้ว ไม่ว่าประเทศใหญ่เหล่านี้จะทำงบขาดดุลเพื่ออะไรก็ตาม แต่เครดิตของเขา ทุนสำรองเงินตราของเขามีมากมายมหาศาล ขนาดเศรษฐกิจเทียบกันไม่ได้กับประเทศไทยที่มีขนาดเศรษฐกิจนิดเดียว เหมือนคนเพิ่งเริ่มก่อร่างสร้างตัว ขอกู้เงิน ก็ต้องขอดูหลักทรัพย์หน่อย ขณะที่คนที่มีเครดิตดีๆ เงินฝากในแบงก์ก็ไม่มี แต่พอเห็นชื่อแล้วแบงก์ปล่อยเงินกู้ทันที”

ปิดงบปี ’68 คาดเหลือ “เงินคงคลัง” ไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้าน

แต่ถ้าเปรียบเทียบสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างประเทศมาเลเซียมีสัดส่วนหนี้สาธารณะสูงกว่าไทยมาก ตอนนี้ถือว่าฐานะการคลังของไทยยังมีความมั่นคงอยู่พอสมควร ซึ่งทาง สบน. คาดว่า หากกระทรวงการคลังมีการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลในปีงบประมาณ 2568 จนเต็มกรอบวงเงิน 865,700 ล้านบาท ณ สิ้นปีงบประมาณ 2568 รัฐบาลจะมีเงินคงคลังเหลือไม่ต่ำกว่า 500,000 ล้านบาท

ถามว่าเงินคงคลังอยู่ในระดับนี้ ถือว่ามากหรือน้อยเกินไปหรือไม่

นายพชรตอบว่า โดยหลักการ ณ สิ้นปีงบประมาณในแต่ละปี ควรอยู่ที่ระดับ 3-4 แสนล้านบาทก็เพียงพอ ซึ่งหมายความว่า การกู้เงินก็ควรกู้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น อาจไม่จำเป็นต้องกู้เงินจนเต็มกรอบวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณก็ได้

ห่วงรายได้หลุดเป้า ปี ’68 เหลือ “Fiscal Space” กู้ปิดงบแค่ 4,902 ล้าน

แต่อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการ สบน. ให้ความเห็นต่อว่า การบริหารนโยบายการคลังในขณะนี้ กระทรวงการคลังได้ให้ความสำคัญไปที่เรื่องการจัดเก็บรายได้ หรือ “ภาษี” ว่าจะสามารถจัดเก็บได้ตามเป้าหมายหรือไม่ อย่างล่าสุด กรมสรรพสามิตก็เพิ่งจะปรับเพิ่มภาษีน้ำมัน ทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น 3,000 ล้านบาทต่อเดือน โดยที่ไม่มีผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันที่หน้าปั๊ม

ทั้งนี้ เนื่องจากการเบิกจ่ายงบประมาณในแต่ละปี ปกติสามารถเบิกจ่ายได้เต็มที่ประมาณ 95% ของวงเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร อย่างในปีงบประมาณ 2568 กำหนดวงเงินรายจ่ายเอาไว้ที่ 3,752,700 ล้านบาท ประมาณการรายได้สุทธิอยู่ที่ 2,887,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือให้ สบน. กู้เงินเพื่อนำมาชดเชยการขาดดุลงบประมาณภายใต้กรอบวงเงิน 865,7000 ล้านบาท

“ในปีนี้ หากรัฐบาลจัดเก็บรายได้ได้ตามเป้าหมายก็ยิ่งดี แต่ถ้าเก็บไม่ได้ตามเป้า ก็อย่าให้คลาดเคลื่อนจากเป้าหมายมากนัก เพราะใน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2568 กำหนดกรอบวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลไว้ที่ 865,700 ล้านบาท ขณะที่ พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และ พ.ร.บ.วิธีการงงบประมาณ พ.ศ. 2502 ให้อำนาจรัฐบาลกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลในปีงบประมาณ 2568 ได้สูงสุดไม่เกิน 870,620 ล้านบาท ดังนั้น ในปีนี้ สบน. เหลือพื้นที่ทางการคลัง หรือ “fiscal space” สำหรับการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลได้อีกไม่เกิน 4,920 ล้านบาท การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในปีนี้จึงมีความสำคัญมาก” 

ส่วนในปีงบประมาณ 2569 รัฐบาลยังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้นโยบายการคลังแบบขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องจากปีที่แล้ว แต่ตั้งกรอบวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลไว้ที่ 860,000 ล้านบาท น้อยกว่าปีงบประมาณ 2568 ไป 5,700 ล้านบาท มาถึงตอนนี้ก็เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายแล้วว่าหลังผ่านพ้นวิกฤติโควิดฯ มา 3 ปี เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากประเทศไทยมีปัญหาเรื่องโครงสร้างของเศรษฐกิจที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกและท่องเที่ยวเป็นหลัก ซึ่งทุกประเทศทั่วโลกก็มีปัญหาคล้ายๆ กัน พอโควิดฯ คลี่คลายก็มาเจอปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ สงครามรัสเซีย-ยูเครน สงครามอิสราเอล-อิหร่าน และสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน รวมทั้งนโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์ ซึ่งเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาจนไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ และเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเมียนมา

ดังนั้น ในปีงบประมาณ 2569 กระทรวงการคลังยังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้นโยบายการคลังแบบขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป แต่ที่สำคัญ เงินที่เรากู้มาเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณนั้น ก็ควรนำไปลงทุนในสิ่งที่ทำให้ GDP ของประเทศเพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่กู้มากินหรือกู้มาใช้ แต่ต้องกู้มาทำงาน และต้องมีผลงานหรือได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งเราคาดหวังว่าจะนำไปสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และการแก้ไขปัญหาในระยะยาว โดยเฉพาะปัญหาสังคมผู้สูงอายุ

ถามว่าที่ผ่านมา GDP ไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง การใช้จ่ายเงินงบประมาณยังมีส่วนช่วยสนับสนุนหรือไม่

นายพชรกล่าวว่า ตอนนี้ก็มีบทวิเคราะห์ของต่างประเทศหลายสำนัก มองว่าเรายังอยู่ในโลกใบเก่า ยังอาศัย GDP ที่เกิดจากการผลิต ประเภทลงทุนลงแรงเยอะๆ แต่ได้ผลผลิตน้อย และมูลค่าก็ต่ำด้วย ผลิตมาแล้วก็ขายยาก เพราะไม่ทันสมัย ไม่เป็นปัจจุบัน ซึ่งประเด็นนี้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนทราบดีและกำลังปรับตัว เฉพาะในส่วนของภาครัฐ ในฐานะผู้คุมกฎ ก็พยายามปรับปรุงกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการทำธุรกิจต่างๆ

อย่าลืม เราเพิ่งจะออกจากวิกฤติต่างๆ มาได้ไม่นาน การแก้ปัญหาอาจไม่ได้ดั่งใจ ต้องขอเวลาอีกสักหน่อย แต่สังคมผู้สูงอายุเริ่มส่งผลกระทบกับกำลังคนที่อยู่ในภาคการผลิตที่ค่อยๆ ทยอยเกษียณอายุออกจากงานไป ซึ่งตรงนี้เราก็ต้องเตรียมมาตรการรองรับ ทั้งเตรียมคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงาน ส่วนคนที่เกษียณอายุไปแล้ว แต่ยังมีแรงอยู่ ก็ต้องสร้างระบบให้คนกลุ่มนี้กลับมาทำงานได้

ถามว่า ในปีงบประมาณ 2568 สบน. ยังมีปัญหาได้รับการจัดสรรงบชำระหนี้น้อยเหมือนปีก่อนหรือไม่

นายพชรตอบว่า ตามกรอบของประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ กำหนดให้รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณมาชำระหนี้ที่เป็นเงินต้นไม่น้อยกว่า 2.5% แต่ไม่เกิน 4% ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี อย่างในปีงบประมาณ 2568 สำนักงบประมาณตั้งงบชำระหนี้ที่เป็นเงินต้นให้ สบน. ชนเพดาน 4% เลย สาเหตุที่ได้เยอะ ผมไม่แน่ใจว่า สบน. ไปโวยวายเอาไว้เยอะหรือเปล่า ปีนี้สำนักงบประมาณจึงตั้งงบชำระหนี้ให้ สบน. ไว้เต็มที่เลย 150,100 ล้านบาท ส่วนงบชำระดอกเบี้ยในปีงบประมาณ 2568 ได้รับการจัดสรรงบฯ 259,254 ล้านบาท รวมแล้วในปีนี้ สบน. ได้รับจัดสรรงบฯ ชำระต้นเงินกู้และดอกเบี้ยประมาณ 409,354 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้ของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจด้วย

แตกต่างจากในช่วงปีงบประมาณ 2566-2567 สบน. ได้รับการจัดสรรงบฯ ชำระหนี้ไม่เพียงพอ แต่เมื่อไปขอใช้งบกลาง สำนักงบประมาณก็ไม่อนุมัติ จึงต้องไปใช้เงินคงคลัง ซึ่งตามกฎหมายเงินคงคลัง ถ้าเป็นรายการชำระหนี้เงินต้นหรือดอกเบี้ย สามารถตัดจ่ายจากเงินคงคลังได้โดยอัตโนมัติเลย และก็ต้องตั้งงบฯ มาใช้คืนในปีถัดไป ซึ่งเป็นตัวเลขทางบัญชีเท่านั้น เพราะเงินถูกนำออกไปใช้แล้ว ซึ่งเรื่องการนำเงินคงคลังมาชำระหนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปีงบประมาณ 2564 และก็มาตั้งงบมาใช้คืนหนี้เงินคงคลังในปีงบประมาณ 2565 ซึ่งโดยหลักการแล้วคุณมีหนี้เท่าไหร่ ก็ควรจะต้องตั้งงบประมาณมาใช้หนี้ให้ครบถ้วน หากตั้งไม่ครบ ก็สามารถนำเงินคงคลังมาทดลองจ่ายก่อนได้ ซึ่งตามกฎหมายเงินคงคลัง อนุญาตให้นำเงินคงคลังออกมาทดลองจ่ายได้ 7 รายการ เช่น เงินเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญ ค่ารักษาพยาบาล เงินเดือน เงินสวัสดิการ และชำระหนี้ที่เป็นเงินต้นและดอกเบี้ย หากมีการนำเงินคงคลังออกมาใช้จ่ายในรายการเหล่านี้ ก็ต้องตั้งงบประมาณมาใช้คืนในปีถัดไป

ถามว่าวันนี้ สบน. ได้รับการจัดสรรงบฯ ใช้หนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยครบถ้วนหรือไม่

นายพชรตอบว่า ในแต่ละปีรัฐบาลมีหนี้ที่ครบกำหนดชำระ และต้องหาเงินมาชำระหนี้ปีละ 8-9 แสนล้านบาท แต่ในทางปฏิบัติ สบน. จะใช้วิธี refinance หรือปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งงบประมาณที่ตั้งไว้อย่างน้อยก็เพียงพอที่จะจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ย

ทั้งนี้ สบน. ก็มีดัชนีชี้วัดที่สำคัญอีกตัว ซึ่งไม่ได้อยู่ในกฎหมายวินัยการเงินการคลัง แต่สถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศใช้พิจารณาความเสี่ยงด้านการคลัง นั่นก็คือ สัดส่วนรายได้ต่อดอกเบี้ย ณ วันนี้รัฐบาลสัดส่วนรายได้ต่อดอกเบี้ยอยู่ที่ 9% ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดี แต่ถ้ามีสัดส่วนเกิน 12% หมายความว่า หาเงินมาได้เท่าไหร่ไม่พอจ่ายดอกเบี้ย กรณีนี้อาจจะถูกบริษัทเครดิตเรตติงปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงได้ หรือถ้าออกพันธบัตรไปขายในตลาดก็จะเป็น junk bond

“ตอนนี้สัดส่วนรายได้ต่อดอกเบี้ยของรัฐบาลอยู่ที่ 9% ซึ่งกระทรวงการคลังพยายามรักษาดัชนีดังกล่าวนี้ให้อยู่ในระดับที่ต่ำ โดยตั้งงบชำระหนี้ให้ สบน. เยอะๆ เหมือนกับปีงบประมาณ 2568 เพื่อรักษาสัดส่วนรายได้ต่อดอกเบี้ย ก็ไม่ทะลุกรอบ แม้ดัชนีตัวนี้ไม่ใช่กฎหมาย แต่บริษัทเครดิตเรตติงใช้เป็นเครื่องมือตรวจวัดความเสี่ยงทางการคลังของแต่ละประเทศ เราจึงต้องให้ความสำคัญ”

อย่างในปีงบประมาณ 2569 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้สั่งให้ตั้งงบชำระหนี้เต็มเพดาน 4% ของวงเงินงบประมาณประจำปี ตามที่กฎหมายวินัยการเงินการคลังของรัฐกำหนดเลย แต่ตั้งงบฯ ใช้หนี้มากกว่านี้ก็ไม่ดีน่ะ พูดตรงๆ มันก็เหมือนกระเป๋าซ้าย กระเป๋าขวา ถ้าตั้งงบฯ ใช้หนี้มากๆ ก็ตั้งขาดดุลเพิ่มขึ้นอยู่ดี ดังนั้น ต้องอยู่ในระดับเหมาะสม แต่คงต้องรอให้ประเทศไทยมั่งคั่งมากกว่านี้ ค่อยมาว่ากัน แต่ตอนนี้เรื่องการตั้งงบใช้หนี้ก็ต้องให้สมดุลกัน ก็พอไปได้น่ะ

บูรณาการหน่วยงานรัฐ ตอบข้อสงสัยบริษัทเครดิตเรตติง

ที่ผ่านมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ความสำคัญกับเรื่องการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัท Moody’s, S&P หรือ Fitch Rating เป็นอย่างมาก ได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาชุดหนึ่ง โดยมีผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เป็นประธาน ส่วนองค์ประกอบของคณะทำงาน ก็มีตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกหลากหลายหน่วยงาน เช่น ตัวแทนจากสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย ฯลฯ

จากเดิมเรื่องเครดิตเรตติงของประเทศนั้น เราจะคุยกันเฉพาะกระทรวงการคลัง แบงก์ชาติ สภาพัฒน์ฯ และสำนักงบประมาณเท่านั้น แต่ในระยะหลังๆ ตัวชี้วัดของบริษัทเครดิตเรตติงเขาไม่ได้ตรวจวัดเฉพาะมิติทางด้านเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว เขาตรวจวัดเราทั้งมิติในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพประเทศไทยมีมากน้อยแค่ไหน rule of law เป็นอย่างไร หรือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานเป็นอย่างไร ถามละเอียดมาก

“หากให้เจ้าหน้าที่ สบน. ตอบคำถามไป อาจจะคลาดเคลื่อนได้ เพราะเจ้าหน้าที่ สบน. ส่วนใหญ่เป็นนักบัญชีหรือนักเศรษฐศาสตร์ ดังนั้น เราจึงเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาทำงานร่วมกัน คอยดูคำถามหรือประเด็นที่บริษัทเครดิตเรตติงคอมเมนต์มา คณะทำงานก็มาพิจารณาว่า ควรให้ข้อมูลอะไรกับบริษัทเครดิตเรตติงได้บ้าง หรือถ้าบริษัทเครดิตเรตติงต้องการสัมภาษณ์ผู้บริหารของหน่วยไหน เราก็จะช่วยประสานงานให้ ทั้งนี้ เพื่อให้บริษัทเครดิตเรตติงได้รับข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน ไม่ใช่ไปได้ข้อมูลจากใครมาก็ไม่รู้ ไม่เกี่ยวข้อง แต่รู้สึกว่าน่าจะเป็นอย่างไร มันก็จะไปกันใหญ่”

ถามว่าประเทศไทยมีโอกาสเกิดปัญหาหนี้ท่วมหรือไม่

นายพชรตอบว่า ถ้าถามผมในตอนนี้ฐานะการคลังของเราไม่ได้เลวร้าย แม้แต่เมื่อปี 2540 ภาคการคลังของเราก็ไม่ได้มีปัญหา ซึ่งตอนนั้นเราเอาภาคการคลังเข้าไปช่วยภาคการเงิน แต่มาถึงในช่วงวิกฤติโควิดฯ ยอมรับว่าในช่วงนี้รัฐบาลกู้เงินเยอะมาก ซึ่งเป็นเหมือนกันทั้งโลก แต่สำหรับประเทศไทยต้องพยายามรักษาวินัยการเงินการคลังให้อยู่ในระดับนี้ต่อไป ก็พออยู่ได้ แต่ถ้ากู้มากินมาใช้ กู้มาจ่ายเงินเดือนเมื่อไหร่ นั่นแหละเหนื่อย ซึ่งในปัจจุบันนี้ที่เรากู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ก็เพื่อนำเงินมาทำเป็นงบลงทุน แม้จะไม่ได้มากมายอะไรนัก เพราะอีกด้านหนึ่งก็พยายามรักษาวินัยการเงินการคลังด้วย แต่ก็ถือว่าพอไปได้

“แต่ข้อเท็จจริงในการจัดทำงบประมาณ ปัจจุบันรัฐบาลจัดเก็บภาษีได้มากกว่ารายจ่ายประจำเล็กน้อย ส่วนรายจ่ายลงทุนคือการกู้เงินเพื่อนำมาชดเชยการขาดดุล ผมถึงบอกว่าวันนี้เราใช้งบขาดดุล คือ กู้มาทำงาน ไม่ได้กู้มากินมาใช้ แต่ถ้ากู้มาจ่ายเงินเดือนข้าราชการเมื่อไหร่ก็เหนื่อย ถ้าถึงขั้นนั้นเมื่อไหร่ ชีวิตก็จะเริ่มลำบากขึ้น”

ถามว่ามีโอกาสเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นหรือไม่

นายพชรตอบว่า ที่ผ่านมาหลายรัฐบาลก็พยายามลดรายจ่ายประจำ ไม่ว่าจะเป็นการตรึงอัตรากำลังของข้าราชการมาเป็นเวาลา 10 ปี มีโครงการเกษียณก่อนเวลา และตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นอื่นๆ ออกไป แต่การที่เราหยุดจำนวนข้าราชการไม่ให้เพิ่ม ส่วนคนที่ทำงานอยู่อายุก็มากขึ้น เงินเดือนก็เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ขณะที่คนที่เกษียณก็มีอายุยืนขึ้นด้วยเทคโนโลยีการแพทย์ ค่ารักษาพยาบาลก็ต้องเพิ่มขึ้น ซึ่งไม่ได้เป็นเฉพาะภาครัฐ แต่เป็นทั้งประเทศ

ถามถึงเรื่องการออก พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท

นายพชรตอบว่า ผมยังไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย ไม่รู้ไปเอาข่าวมาจากไหน หากจะมีการกู้ยืมเงินมากมานขนาดนี้ หน่วยแรกที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังต้องสั่งการคือ สบน. แต่ตอนนี้ผมยังไม่เคยได้รับคำสั่งใดๆ จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเลย ไม่รู้ไปเอาข่าวกันมาจากไหน ไม่มี ไม่เคยได้รับคำสั่งจากรัฐมนตรีเลย

“ถามว่าจะออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 5 ล้านบาทมาทำไม เพราะเหลือเวลาใช้จ่ายเงินอีกไม่กี่เดือน ก็สิ้นปีงบประมาณแล้ว ถ้าจะออก พ.ร.ก.กู้เงินมาตอนนี้ ถามว่าจะสามารถใช้จ่ายงบฯ ได้ทันก่อนปิดหีบหรือไม่ แม้การกันเงินเอาไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีจะสามารถทำได้ก็จริง แต่ต้องเป็นโครงการมีการลงนามในสัญญารับเหมาก่อสร้างหรือก่อหนี้ผูกพันไว้แล้ว แต่ถ้ายังไม่ก่อหนี้ผูกพัน อย่างน้อยก็ควรต้องมีการออกประกาศเชิญชวน มี TOR แล้ว หรือยังอยู่ระหว่างกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง กรณีนี้อาจขยายเวลาให้ 3 เดือน แต่จะต้องเร่งทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างให้ได้ แต่ถ้ายังไม่เริ่มต้นทำอะไรเลย ก็กันไม่ได้ เพราะไม่มีเหตุผลว่าจะขอกันงบฯ ไว้เพื่ออะไร ดังนั้น ก่อนที่จะมาคิดกู้เงิน 5 ล้านบาท ควรจะเร่งใช้จ่ายงบกลาง 1.57 แสนล้านบาทให้หมดก่อนดีกว่าไหม”

ถามถึงความคืบหน้าในการออก G-Token วงเงิน 5,000 ล้านบาท

นายพชรตอบว่า G-Token เป็นนวัตกรรมทางการกู้เงิน เป็นเครื่องมือตัวใหม่ของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ซึ่ง สบน. พัฒนาเครื่องมือในการกู้เงินมาโดยตลอด อย่างการขายพันธบัตรออมทรัพย์ในอดีตก็ต้องไปยืนต่อคิวกัน จองซื้อพันธบัตรผ่านตู้ ATM จนมาถึงปัจจุบันซื้อผ่านแอปของ สบน. ที่อยู่ใน “เป๋าตัง” ก็ได้ มันมีวิวัฒนาการมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมีการออกพระราชกำหนดสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 เราก็ได้ทำการศึกษาเรื่องนี้ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล และยังเป็นการเพิ่มช่องทางการออมเงินที่มีความมั่นคงให้กับกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ อย่างเช่น กลุ่มคนที่เพิ่งเริ่มทำงาน หรือคนที่ใช้เทคโนโลยีขั้นพื้นฐานเป็นแล้ว มิฉะนั้นเราก็จะได้แต่กลุ่มเป้าหมายกลุ่มเดิม ๆ

ดังนั้น สบน. จึงเปิดช่องทางให้กับคนรุ่นใหม่ให้สามารถเข้าถึงได้ด้วย และพยายามเข้าถึงรายย่อยๆ ให้ได้มากที่สุด และสามารถเปลี่ยนเป็นสภาพคล่องได้บ้าง แต่ถ้าเป็นพันธบัตรรุ่นเก่า ก็ต้องถือครองไปจนครบกำหนดไถ่ถอน หากรอไม่ไหว อยากเปลี่ยนมือก่อนสามารถทำคล่องตัวมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าเป็นพันธบัตร แม้ว่าปัจจุบันจะเป็นระบบอิเล็กกทรอนิกส์มากขึ้น แต่ข้างหลังบ้านก็ยังมีงานตามมามากมาย ยกตัวอย่าง ถ้าต้องการขายเปลี่ยนมือใช้เวลา 7-10 วัน หรือ ต้องเดินทางไปทำธุรกรรมที่ธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น แต่ถ้าเป็น G-Token เราพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์และแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ เช่น การซื้อขายระหว่างนาย ก และนาย ข สามารถทำได้โดยตรง มีความคล่องตัว แต่ยืนยันว่าไม่ใช่เครื่องมือที่จะมาใช้แทนเงินสด

“ที่ผ่านมา สบน. เน้นย้ำมาโดยตลอดว่าไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะมาใช้แทนเงินสด ย้ำตั้งแต่ก่อนนำเรื่อง G-Token เสนอเข้าที่ประชุม ครม. หากจะนำ G-Token ไปซื้อสินค้าคุณต้องขายก่อน และนำเงินไปซื้อสินค้า หรือเจ้าของสินค้าเมื่อขายได้เงินสดแล้วอยากได้ G-Token ก็ต้องไปหาซื้อเอา ไม่สามารถนำ G-Token ชำระค่าสินค้าโดยตรงได้ เพราะเราห้ามโอนเปลี่ยนมือ ยกเว้นจะทำธุรกรรมซื้อ-ขายผ่านตลาดรองเท่านั้น”

ถามว่า G-Token มีผู้รับประกันการจัดจำหน่ายหรือไม่

นายพชรตอบว่า มีครับ องคาพายพทั้งหมดที่เกี่ยวข้องเป็นไปตามกฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น ICO Portal เป็นคนผลิต Token และใน Token จะมี Smart Contract เหมือน DNA สามารถบอกได้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน โอนไปให้ใคร ซึ่งแตกต่างจากคริปโทเคอร์เรนซีที่เปรียบเสมือนเงิน ไปอยู่กับใครก็ได้ หาไม่เจอ แต่ Token ใส่รหัส DNA อยู่ในตัว เช่น Token รหัส 007 อยู่ใน wallet ของคนนี้ แล้วเปลี่ยนไปอีกคนหนึ่งก็ยังเป็น Token 007 อยู่ดี สามารถติดตามได้ตลอดเส้นทางด้วยระบบบล็อกเชน หากมีปัญหาก็สามารถหยุดแล้วเรียกกลับมาที่จุดเริ่มต้น และก็สร้างขึ้นใหม่ได้ มันไม่มีทางหายไปไหน ถือเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งอยู่ไปจนครบอายุไถ่ถอน

“G-Token ที่ สบน. ออกแบบไว้ คาดว่าจะมีอายุไม่เกิน 3 ปี ส่วนการกำหนดวงเงิน เราทำตามข้อเสนอของแบงก์ชาติและสภาพัฒน์ฯ อยากให้ออกในวงเงินไม่มากนักไปก่อนเพื่อทดสอบระบบ เราคิดว่าคงไม่เกิน 5,000 ล้านบาท แต่ต้องดูตัวเลขอีกที เพราะว่าพื้นฐานของการออก G-Token ก็เพื่อนำเงินมาชดเชยการขาดดุลงบประมาณ แต่ถ้าเงินคงคลังปลายปีมีเหลือเป็นจำนวนมาก ผมจะกู้เงินมาเยอะๆ ทำไม และต้องดูจังหวะที่เราต้องการเงินด้วย”

นายพชรยืนยันว่า ไม่ได้เป็นการกู้เพิ่ม แต่เป็นการกู้เงินภายใต้กรอบวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลในปีงบประมาณ 2568 วงเงิน 865,700 ล้านบาท ซึ่งในแผนการบริหารหนี้สาธารณะของ สบน. จะมีการกำหนดสัดส่วนการกู้เงินไว้ชัดเจน เช่น การออกพันธบัตรรัฐบาลหรือพันธบัตรออมทรัพย์จำนวนเท่าไหร่ ตั๋วเงินคลังหรือตั๋วสัญญาใช้เงินเท่าไหร่ ซึ่งตัว G-Token นี้ก็จะไปอยู่ภายในโควตาของพันธบัตรออมทรัพย์

ถามว่าทำไมต้องนำ G-token เสนอที่ประชุม ครม. อนุมัติ

ผู้อำนวยการ สบน. กล่าวว่า เป็นเทคนิคทางกฎหมาย เนื่องจาก พ.ร.บ.หนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 มาตรา 10 ระบุว่า การกู้เงินต้องออกเป็นตราสารหนี้ แต่ถ้าจะเป็นการกู้เงินด้วยวิธีอื่น ต้องเสนอให้ที่ประชุม ครม. อนุมัติ ด้วยเหตุนี้ สบน. จึงต้องออกประกาศกระทรวง โดยอาศัย พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ออก G-Token เสนอให้ที่ประชุม ครม. อนุมัติ ซึ่งตอนนี้ ก.ล.ต. ได้ทำประชาพิจารณ์เรียบร้อยแล้ว และใน พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัลฯ มาตรา 16 กำหนดหลักการในการออกโทเคนดิจิทัลรองรับเฉพาะในส่วนที่เป็นนิติบุคคลที่เป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด แต่ถ้าจะเป็นอื่นๆ ต้องไปตามที่ ก.ล.ต. กำหนด เบื้องต้น ก.ล.ต. ได้ออกประกาศมาแล้ว ไม่ได้หลีกเลี่ยงกฎหมาย เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายทั้งหมด ซึ่ง สบน. ทำงานร่วมกับ ก.ล.ต. มาโดยตลอด

“การกู้เงินเป็นอำนาจของกระทรวงคลังโดย สบน. ซึ่งเราทำได้อยู่แล้ว แต่เนื่องจากเรากู้โดยวิธีการอื่นที่ไม่ใช่ตราสารหนี้ เราจึงต้องเดินตามกฎหมาย ถือว่าเป็นหนี้สาธารณะ แต่ไม่ใช่การกู้เพิ่ม ไม่เกี่ยวข้องกับ digital wallet อะไรทั้งนั้น เป็นการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลปกติ ดำเนินการภายใต้กรอบวงเงินการออกพันธบัตรออมทรัพย์ในปีนี้มีวงเงินรวม 80,000 ล้านบาท ตอนนี้เราออกพันธบัตรไปแล้ว 36,000 ล้านบาท ยังมีกรอบวงเงินเหลืออยู่ ก็แบ่งมาออกเป็น G-Token วงเงิน 5,000 ล้านบาทบ้าง”

ทำไม สบน. ต้องเล่นท่ายาก

นายพชรตอบว่า มองง่ายๆ เราเห็นประโยชน์อย่างหนึ่ง ก็คือ ต้นทุนต่ำกว่าพันธบัตรออมทรัพย์ ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ได้มากยิ่งขึ้น และแก้จุดอ่อนของพันธบัตรออมทรัพย์ที่กระจายได้ไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เพิ่งเริ่มทำงาน เพิ่งจะมีรายได้ มิฉะนั้น ถ้าเราพูดถึงสินทรัพย์ดิจิทัล เราจะได้ยินแต่เรื่องไม่ค่อยดี ซึ่งในความเป็นจริงมันก็มีเรื่องที่ดีๆ อยู่ด้วย

“ผมเพิ่งอ่านข่าวเจอ ปัจจุบัน บิตคอยน์เป็นเงินตราสกุลหลักอยู่ในลำดับที่ 8 ของโลกแล้ว คือมันค่อยๆ มาแล้ว ฉะนั้น ถ้าเราไม่ฝึกการเรียนรู้ทำความเข้าใจ และเตรียมตัวอยู่กับมัน ก็จะลำบาก พอเห็นภาพมั้ย คือ ผมไม่ได้อยากไปตื่นเต้น หากคุณซื้อไปแล้วไม่ทำอะไรก็ถือครองไป สมมติ 3 ปี หากคุณอยู่เฉยๆ คุณก็ได้เงินคืนกลับเข้ามาใน wallet ไป”

ส่วนองคาพยพทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นตลาดรองสำหรับซื้อ-ขายสินทรัพย์ดิจิทัล ICO Portal นายหน้าซื้อ-ขายสินทรัพย์ดิจิทัล และศูนย์ซื้อ-ขายสินทรัพย์ดิจิทัล ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้ พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัลฯ ซึ่งจะต้องมาขึ้นทะเบียนกับ ก.ล.ต. ทั้งหมดมีกระบวนการที่เป็นมาตรฐาน

“ประเทศไทยกำลังจะเป็นประเทศแรกที่ออก G-Token มากู้เงินจากประชาชนโดยตรง โดยไม่ผ่านตัวกลางเลย และเมื่อถือครบก็จะจ่ายเงินคืนประชาชนโดยตรงโดยไม่ผ่านตัวกลางอีก คือ สถาบันการเงินถูกตัดขาดออกไปเลย ต้นทุนของรัฐบาลก็จะถูกลง อย่างน้อยก็ถูกกว่าการออกพันธบัตรออมทรัพย์ โดยรัฐบาลจะนำต้นทุนส่วนที่ได้จากการประหยัดงบฯ กลับไปเพิ่มเป็นผลตอบแทนให้ผู้ที่ลงทุนใน G-Token พูดง่าย G-Token อาจจะจ่ายผลตอบแทนให้กับนักลงทุนสูงกว่าพันธบัตรออมทรัพย์เล็กน้อย และถ้าต้องการใช้เงินก่อนครบกำหนดไถ่ถอน ก็เอาไปขายในตลาดรองมีคนซื้ออยู่แล้ว เขาเรียก “market maker” ซึ่งจริงๆ ไม่ต้องไปทำเลย เพราะด้วยตัวมันเองมีมูลค่าพื้นฐานอยู่แล้ว เมื่อไหร่ที่คุณเอาลงไปขายในตลาดรอง มันมีคนรับซื้อแน่นอน”

ถามว่าผลตอบแทนของ G-Token เฉลี่ยควรอยู่ที่เท่าไหร่

นายพชรตอบว่า เร็วเกินไปที่จะตอบได้ เพราะว่าดอกเบี้ยช่วงนี้ลงแรงมากเลย ยกตัวอย่างง่ายๆ ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2568 ผมเตรียมการออกพันธบัตรออมทรัพย์ ดอกเบี้ยในตลาดยังอยู่ที่ 3.25% จากนั้นก็ปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องภายใน 1 เดือน เหลือ 2.65% ดอกเบี้ยในตลาดลดลงเร็วมาก จึงต้องขออนุญาตยังไม่พูดถึงผลตอบแทนของ G-Token แต่ยืนยันจ่ายผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรออมทรัพย์เล็กน้อย และพยายามทำหน่วยลงทุนให้เล็กมากที่สุด อายุไม่เกิน 3 ปี วัยรุ่นก็ซื้อได้ อาจจะหน่วยละ 100 บาท แต่การขายในตลาดรอง ก็ต้องยอมรับว่ามีค่าธรรมเนียม เราอาจจะต้องบังคับการซื้อ-ขายต้องมีขั้นต่ำ เช่น การซื้อ-ขายแต่ละครั้ง ต้องมีขั้นต่ำ 5 หน่วย อะไรประมาณนี้

“ขณะนี้ สบน. อยู่ระหว่างเตรียมการออก G-Token ได้มีการประชุมหารือกับศูนย์ซื้อ-ขายสินทรัพย์ดิจิทัลหรือ Data Exchange เราประชุม ICO Portal จากนั้นก็จะประชุมกับพวกนายหน้า ส่วนใหญ่เป็นบริษัทหลักทรัพย์ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยห้ามธนาคารพาณิชย์ ไม่ให้มายุ่งเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล”

ถามว่าบทบาทของ สบน. จากนี้ไปจะเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน

“สบน. เป็นองค์กรที่ไม่ใหญ่ สามารถเคลื่อนตัวได้เร็ว ดังนั้น เราก็จะขับเคลื่อนองค์กรด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีต่างๆ อย่างในปีนี้ สบน. ก็มีการออกพันธบัตรสีเขียว หรือ “Sustainability-Linked Bond (SLB)” วงเงิน 35,000 ล้านบาท ถือว่าประสบความสำเร็จมาก เพราะขายหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว และที่ผ่านมา เราก็ได้รับรางวัลต่างๆ มามากมาย และได้รับคำชมเชยจากนักลงทุนต่างชาติ เพราะถือว่าเป็นพันธบัตรสีเขียวรุ่นแรกๆ ของโลก เราขายเป็นเงินบาท แต่กองทุนต่างชาติอยากได้มากเลย ผมจำไม่ได้ว่ากองทุนต่างชาติได้ไปเท่าไหร่ แต่เขาเอาพันธบัตรสีเขียวของไทยไปซื้อ-ขายกันในตลาดหลักทรัพย์ลักเซมเบิร์ก เพราะที่นั่นเป็นตลาดกลางของพันธบัตรสีเขียว ซึ่งในอนาคต สบน. ก็จะมีนวัตกรรมใหม่ๆ ในลักษณะอย่างนี้ออกมาเรื่อยๆ” นายพชรกล่าวทิ้งท้าย