นายกฯ ย้ำไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด – เตรียมยุทโธปกรณ์พร้อม – มติ ครม. ตั้ง “แพลตฟอร์มกลาง” รวมบริการภาครัฐ 2,101 งาน

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th/

  • นายกฯ ย้ำ ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด เตรียมยุทโธปกรณ์พร้อม
  • ยอมรับสนิท “ฮุน เซน” ไม่เสียหาย แต่ไม่ยอมยกบ้านให้เพื่อน
  • ปะทะนักข่าวจี้ถามปมกัมพูชาล้ำแดน
  • แย้มมีแนวคิดปรับ ครม. แล้ว แต่ยังไม่ 100%
  • สั่ง AOT สร้างห้องสูบบุหรี่ในสนามบิน
  • มติ ครม. ตั้ง “Biz Portal” แพลตฟอร์มกลาง รวมบริการภาครัฐ 2,101 งาน ในปี ’70
  • เพิ่มเงินเยียวยาผู้เสียหายคดีอาญาสูงสุด 3 แสนบาท
  • เก็บภาษีการพนัน “สลากกาชาด” 0.5%
  • ตั้ง “กาจผจญ อุดมธรรมภักดี” เป็นผู้ว่า รฟม.
  • เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมนายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน และมอบหมายให้นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม. และข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี

    แก้ปมขัดแย้งไทย-กัมพูชา ต้องรวมเป็นหนึ่ง-ไม่แบ่งฝ่าย

    นางสาวแพทองธารกล่าวว่า วันนี้นายกฯ จะแถลงเฉพาะเรื่องเร่งด่วน หรือประเด็นที่น่าสนใจ ส่วนเรื่องอื่นๆ มอบหมายให้โฆษกฯ เป็นผู้แถลงต่อไป โดยวันนี้ตนได้เน้นย้ำเรื่องสถานการณ์ที่ชายแดนจังหวัดอุบลราชธานี โดยเฉพาะเรื่องการรวมกันเป็นหนึ่ง

    “ทุกวันนี้เรามีปัญหาตอนนี้ มันเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ที่คนไทยต้องรักกัน ต้องสามัคคีกัน ต้องรวมกันให้ได้ ไม่ใช่ประเด็นการเมืองภายในประเทศที่เราจะต้องแบ่งฝ่ายว่า ฝ่ายรัฐบาลทำงานดี-ไม่ดี ทหารทำงานดี-ไม่ดี มันเป็นเรื่องที่เราต้องช่วยกัน” นางสาวแพทองธารกล่าว

    นางสาวแพทองธารกล่าวต่อว่า ขอให้สื่อมวลชนช่วยเหลือเรื่องนี้ด้วย และไม่ใช่แค่สื่อเท่านั้น แต่รวมถึงคนที่มีอิทธิพลทางความคิด ไม่ว่าจะเป็นต่อคนกลุ่มมากหรือคนกลุ่มน้อยก็ตาม ต้องช่วยสื่อสารว่า ถึงเวลาที่เรามีปัญหาระหว่างประเทศ คนไทยต้องสามัคคีกันจึงจะมีแรงในการพูดคุยเจรจา ดังนั้น การต่อสู้ต้องใช้ความเป็นหนึ่ง และความสามัคคี รวมถึงความรักกันของคนในชาติ เพื่อที่จะสนับสนุนกัน

    “รัฐบาลไม่ได้แปลว่าพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แต่รัฐบาล ฝ่ายค้าน ประชาชน ก็คือประเทศไทย ซึ่งเราทุกคนก็ขอให้ความร่วมมือว่า การคอมเมนต์ หรือการปล่อย Fake News เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น ถามว่ารัฐบาลเคลื่อนไหวอย่างไร รัฐบาลทำเรื่องนี้เต็มที่ เราต้องรักษาอธิปไตยของเราไว้ อันนี้คือสิ่งที่สำคัญและจำเป็นอยู่แล้วว่าเราต้องทำแน่นอน” นางสาวแพทองธารกล่าว

    ย้ำไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด เตรียมยุทโธปกรณ์พร้อม

    นางสาวแพทองธารกล่าวต่อว่า “รัฐบาลคุยกับทหารตลอดว่าจะไปทางไหน อย่างไร และต้องมั่นใจว่าเราเป็นประเทศไทย เพลงชาติของเราก็บอกอยู่แล้ว ‘ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด’ เราเตรียมพร้อมเพื่อจะรักษาความปลอดภัยของคนไทยทุกคน”

    “เขาบอกว่ามีความสงบสุขอย่างไร คนตรงนั้นสงบจริงหรือเปล่า จะบอกว่าไม่ แต่เราก็ต้องเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์พร้อม เผื่อถ้ามีการปะทะขึ้นมา เราก็ต้องพร้อมในการรับมือ เราไม่ใช่ประเทศที่… อ๋อ… สันติวิธี แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นที่ผิดคาด ไม่พร้อมไม่ได้ เราต้องพร้อมที่จะรับมือทุกรูปแบบ แน่นอนเราเลือกสันติวิธี เราเลือกสิ่งนี้ เลือกว่าเราไม่อยากให้มีการปะทะกัน ไม่อยากให้มีการเสียเลือดเสียเนื้อ ไม่ว่าจะของคนในประเทศไหนเลยก็ตาม ไม่อยากให้มีอย่างนั้น เพราะฉะนั้น อุปกรณ์พร้อม เครื่องมือพร้อม แต่พูดคุยได้ในทุกระดับในตอนนี้” นางสาวแพทองธารอธิบาย

    นางสาวแพทองธารกล่าวต่อว่า วันนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ลงพื้นที่ไปดูเหตุการณ์หน้างานว่าเป็นอย่างไร โดยจะมีการนัดคุยกับคณะกรรมการชายแดนฯ หรือ JBC ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ส่วนระหว่างนี้ต้องคิดอยู่เสมอว่า คนในชาติต้องรักกันและเข้าใจกันด้วยว่า

    “ในรายละเอียดเล็กๆ ที่คุยกันในทุกระดับ เราก็ไม่สามารถมาแถลงเปิดเผยทั้งหมดทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่แค่ของประเทศเรา ขอให้ทุกคนได้เข้าใจสิ่งนี้ อย่ามองเรื่องนี้เป็นการเมืองภาพเล็กที่คนไม่สนับสนุนกันจะต้องต่อสู้กัน มันไม่จำเป็น ไม่ใช่นาทีนี้ วันนี้คนไทยต้องรวมกัน เพื่อที่จะปกป้องพื้นที่ของเรา ปกป้องคนไทยด้วยกันเอง อันนี้คือสิ่งสำคัญ” นางสาวแพทองธารกล่าว

    ยอมรับสนิท “ฮุน เซน” ไม่เสียหาย แต่ไม่ยอมยกบ้านให้เพื่อน

    เมื่อถามว่าอาจมีขบวนการสมคบคิดระหว่างไทยกับกัมพูชา นางสาวแพทองธารตอบว่า “ไม่คิดอย่างนั้น คิดว่าไม่มีแบบนั้น”

    ผู้สื่อข่าวบอกว่า อยากให้นายกฯ ชี้แจงกรณีที่ในโซเชียลระบุเรื่องการโจมตีตระกูลของนายกฯ ไปดองกับตระกูลของนายฮุน เซน โดยนางสาวแพทองธาร “คืออย่างนี้ ความสัมพันธ์ระดับของผู้นำ ไม่เถียงเลยว่าเป็นมิตรกัน ดิฉันคิดว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายที่เราจะมีเพื่อน”

    “ที่ยืนข้างๆ ท่านเป็นเพื่อนท่านหรือเปล่า ทุกคนก็มีเพื่อนได้ แต่ถามว่าถ้าวันหนึ่งเพื่อนทะเลาะกัน หรือเพื่อนไม่เข้าใจกัน เราปรับความเข้าใจถูกไหม มันก็คงจะเป็นเรื่องง่าย ถ้าสมมติว่า เป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องการค้า เราคุยกันยกหูกันได้ นั่นคือสิ่งที่ทำตลอด ไม่ใช่แค่กัมพูชาเท่านั้น มาเลเซียก็ทำ ประเทศเพื่อนบ้านทางอาเซียนทำหลายประเทศมากที่คุยตรงๆ ถ้าเรามีปัญหาจริงๆ ที่มันรู้สึกว่าเพื่อน วันนี้ทะเลาะกัน แต่ว่าฉันขอบ้านเธอได้หรือไม่ มันคงไม่มีเพื่อนคนไหนบอกว่า ‘โอ้ ได้จ้า ยกบ้านให้เลย’ มันไม่ใช่อย่างนั้น นางสาวแพทองธารตอบ

    “ต้องบอกว่า เพื่อนก็คือเพื่อน ความสัมพันธ์อันดีไหม มีจริงๆ และตอนที่เกิดเรื่อง เรื่องของความไม่สงบ ตัวดิฉันกับนายกฯ (ฮุน เซน) ก็คุยกันว่า วันนี้เราจะถอยความรุนแรงนะ จะไม่ปะทะกัน ซึ่งท่านก็ให้ความร่วมมือจริงๆ ณ วันนั้น แต่หน้างานพอมีเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งระดับของเรายังไม่ทราบ แต่หน้างานทราบแล้ว เขาก็จัดการกันในฐานะของหน้างาน ต้องจัดการกันอย่างนั้น มันต้องทำความเข้าใจตรงนี้ด้วย” นางสาวแพทองธารตอบ

    ย้ำ “เขารุนแรงมา-เรารุนแรงไป” สันติวิธีก็ไม่เกิด

    เมื่อถามว่า มีนักวิชาการบอกว่าท่าทีของรัฐบาลดูนิ่ง และไม่ตอบโต้ นางสาวแพทองธารชี้แจงว่า “เราดูในเรื่องของความสงบสุขว่า ถ้าปิดด่านจะเกิดความรุนแรงขึ้นไหม จะเกิดโทษหรือจะเกิดคุณอย่างไรบ้าง เรื่องนี้ปรึกษากับทางทหารตลอดว่าควรจะมูฟอย่างไรบ้าง หน้างานอุณหภูมิประมาณไหน อันนี้คือสิ่งที่คุยกันตลอด”

    “วันนี้ที่ออกแถลงการณ์ตั้งแต่เช้า ได้คุยกับกระทรวงต่างประเทศด้วย ทางรัฐบาลด้วย ทางทหารด้วย คุยกันว่าเราควรจะออกแถลงการณ์แบบไหนเพื่อให้ประชาชนรับทราบว่า เราพร้อมที่จะดูแลพี่น้องประชาชน และเราพร้อมที่จะคุยกับต่างประเทศด้วยสันติวิธี อันนี้คือข้อความและใจความหลักที่จะเกิดขึ้น” นางสาวแพทองธารตอบ

    ผู้สื่อข่าวบอกว่า ท่าทีของนายกฯ กับนายฮุน เซน ดูจะไม่ตรงกัน ทำให้นางสาวแพทองธารตอบว่า “นั่นคือสิ่งที่เราต้องยืนยันว่า ถ้าเขาออกมารุนแรงแล้วเรารุนแรงกลับ สันติวิธีจะเกิดหรือไม่ ถูกไหม แต่ถามว่าเราเตรียมรับมือไหม เตรียมแน่นอน ถามว่าถ้าเราเลือกได้ เราเลือกสันติวิธี และวันนี้ยังเลือกได้”

    ปะทะนักข่าวจี้ถามปมกัมพูชาล้ำแดน

    ผู้สื่อข่าวบอกว่า แม่ทัพภาค 2 ระบุว่า ทหารกัมพูชาล้ำเขตแดนไทย 200 เมตร ไม่เป็นไปตามข้อตกลง หลังพูดจบ นางสาวแพทองธารถามกลับว่า “ได้ไปดูหน้างานหรือยังคะ”

    ผู้สื่อข่าวตอบว่า ทางกัมพูชาล้ำพื้นที่มาแล้ว นางสาวแพทองธารจึงตอบว่า “ใช่” และย้ำว่า วันนี้นายภูมิธรรมจะลงพื้นที่ไปดู พร้อมย้ำว่า “นี่ไงคะที่จะไปดู ไปด้วยกันเลยก็ได้ ไปด้วยกันเลย”

    ผู้สื่อข่าวบอกว่าเขาไม่พาไป นางสาวแพทองธารยิ้มแล้วบอกว่า “อ๋อ เขาไม่พาไป เขาไม่พาไป” จากนั้นหัวเราะเบาๆ แล้วพูดปลอบว่า “ไม่เป็นไรนะคะ”

    ผู้สื่อข่าวสวนกลับว่า “ไม่ได้เสียใจ” นางสาวแพทองธารจึงพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ ว่า “นึกว่าเสียใจ จะบอกว่าไม่เป็นไรนะคะ”

    จากนั้นนักข่าวหัวเราะตาม นางสาวแพทองธารพูดทันทีว่า “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ วันนี้นักข่าวดุจังเลย”

    แย้มมีแนวคิดปรับ ครม. แล้ว แต่ยังไม่ 100%

    ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสการปรับ ครม. ว่า พรรคภูมิใจไทยส่งสัญญาณอะไรหรือยัง นางสาวแพทองธารตอบว่า “ยังไม่ได้คุยกับภูมิใจไทยเลยเรื่องนี้ และจะคุยเมื่อจำเป็นว่า ถ้าจะต้องปรับหรืออย่างไร จู่ๆ ไม่ใช่ไปปรับโดยไม่บอกเขา ตรงนี้ต้องคุยก่อน ทุกพรรคที่ร่วมรัฐบาลก็ต้องคุยกันก่อนอยู่แล้วว่าอย่างไร แต่ถ้าจะปรับหรืออะไร มันก็เป็นส่วนที่เราจะต้องปรับในเรื่องของเพื่อไทยด้วย”

    “เรื่อง ครม. ทั้งหมดต้องคุยกัน ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาที่ต้องคุยกันในรายละเอียดแบบนั้น แต่อยู่ในช่วงของการประเมินและคิดอยู่ว่าปรับแบบไหนแล้วดีขึ้น” นางสาวแพทองธารตอบ

    ถามต่อว่า นายกฯ ส่งสัญญาณอะไร นางสาวแพทองธารตอบว่า “ยัง วันนี้ก็ยังเหมือนเดิมอยู่ แต่ก็มีการคิดในเรื่องของการปรับ แต่ว่ามันยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์”

    ถามต่อว่า นายกฯ จะปรับในส่วนพรรคเพื่อไทยก่อน หรือรอปรับครั้งใหญ่เลย นางสาวแพทองธารตอบว่า “พูดตอนนี้มันยังเร็วไป ขออนุญาตยังไม่พูดดีกว่า เดี๋ยวพูดแล้วมันก็จะกระทบแล้วรู้สึกว่า ตัวที่วางกระทรวงๆ อะไรมา บางทียังไม่ทันออกจากดิฉันเลย แล้วคนที่เหมือนกับว่าโดนปรับแล้ว เขาก็เกิดความสั่นไหวว่าจะอย่างไรดี”

    เมื่อถามว่า นายกฯ คุยกับพรรคร่วมในเรื่องนี้อย่างไร นางสาวแพทองธารตอบว่า “ต้องคุยอยู่แล้ว ถ้าจะต้องปรับ ครม. ต้องคุยอยู่แล้ว คุยเพื่อให้คำปรึกษากัน แล้วก็คุยเพื่อเอาคอมเมนต์”

    ถามต่อว่า ถึงเวลาที่จะต้องปรับ ครม. ใช่หรือไม่ นางสาวแพทองธารตอบว่า “มีการพิจารณาอยู่ในใจ” และย้ำว่า “พิจารณาอยู่”

    ถามต่อว่า พรรคร่วมส่งสัญญาณอะไร นางสาวแพทองธารตอบว่า “ยัง เพราะยังไม่ได้ถามเลย ถ้าสมมติว่าต้องปรับจริงๆ ไฟนอลว่าปรับ ต้องเรียกมาแสดงความคิดเห็นกันอยู่แล้ว ไม่ค่อยอยากให้ไม่คุยแล้วทำไปเลย”

    เมื่อถามว่า นายกฯ จะปรับตามโควตาแต่ละพรรคหรือไม่ นางสาวแพทองธารตอบว่า “ยังไม่ได้คิดเลย เดี๋ยวปรับแล้วบอก ขอเคลียร์เรื่องอื่นๆ ก่อน เรื่อง ครม. ยังไม่ปรับ”

    ย้ำแก้ปัญหาชายแดน ต้องไม่มีฝ่ายค้าน-ฝ่ายรัฐบาล ประเทศต้องมาก่อน

    นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก่อนการประชุม ครม. นายกรัฐมนตรีได้กล่าวในที่ประชุม ครม. ว่า วันนี้ในเรื่องของปัญหาชายแดน ขอให้คณะรัฐมนตรีร่วมกันแก้ไข ทั้งนี้ การแก้ปัญหาจะไม่มีการเมือง ไม่มีฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล เพราะประเทศไทยต้องมาก่อน

    จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีดังนี้ สำหรับสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา ที่อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหม กองทัพบก และ กระทรวงการต่างประเทศ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเป็นเอกภาพ และขอยืนยันว่ารัฐบาลมุ่งมั่นในการรักษาอธิปไตยของประเทศไทยให้ถึงที่สุด และจะใช้มาตรการต่างๆ ในการคลี่คลายสถานการณ์ตามกรอบกฎหมาย และข้อตกลงกับประเทศกัมพูชา ตาม MOU 43 อย่างสันติ เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียและความเสียหายโดยไม่จำเป็น

    รวมทั้งเร่งรัดให้มีการเจรจาผ่านคณะกรรมการชายแดนฯ หรือ “JBC” โดยในครั้งนี้กัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ที่จะถึงนี้ จึงขอมอบหมายดังนี้

      1. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับผิดชอบเรื่องการแถลงข่าวสถานการณ์ดังกล่าวเป็นระยะ โดยให้ประสานข้อมูลอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงกลาโหม กองทัพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

      2. ให้หน่วยงานความมั่นคง และกระทรวงดิจิทัลฯ เข้มงวดควบคุมไม่ให้เกิดข่าวเท็จ Fake News ที่ยุยงปลุกปั่นในสถานการณ์ที่เปราะบางเช่นนี้ และขอความร่วมมือให้สื่อต่างๆ รวมทั้งโซเชียลมีเดียและภาคส่วนต่างๆ อย่าปลุกเร้าขยายให้ความขัดแย้งมากขึ้น เพราะไม่เป็นประโยชน์ใดๆ ต่อประชาชนคนไทยและประเทศชาติ

      3. ขอส่งกำลังใจแก่ทุกเหล่าทัพ และทหารที่อยู่ในแนวหน้า ขอให้ทำหน้าที่รักษาอธิปไตยด้วยความอดกลั้น เพื่อความสงบสุขของพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ และขอยืนยันว่า รัฐบาลจะเร่งรัดแก้ปัญหาให้คลี่คลายโดยเร็วที่สุด

  • รัฐบาลแถลงสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ย้ำปกป้องอธิปไตยเต็มที่ ยึดหลักสันติ นัดประชุม JBC ที่กัมพูชา 14 มิ.ย. นี้
  • สั่ง AOT สร้างห้องสูบบุหรี่ในสนามบิน

    นายจิรายุกล่าวต่อว่า จากนั้น นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการเรื่องนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทย ได้เรียกร้องให้จัดสถานที่สูบบุหรี่ในสนามบินให้เป็นสากลเหมือนเช่นกับสนามบินทั่วโลก โดยนายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการว่า การจัดพื้นที่สูบบุหรี่ในท่าอากาศยานนั้น ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบิน และการเดินทางของภูมิภาคและการท่องเที่ยว ซึ่งมีผู้โดยสารจำนวนมากใช้บริการท่าอากาศยานในแต่ละวัน ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร ควรจัดพื้นที่สูบบุหรี่ที่เหมาะสม แยกเป็นสัดส่วน และมีระบบระบายอากาศที่ได้มาตรฐาน

    ทั้งนี้ การดำเนินการต้องคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ และรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศในระดับสากล ควรพิจารณาทบทวนหรือแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ให้เหมาะสมกับบริบทการดำเนินงานและนโยบายในปัจจุบันด้วย จึงขอมอบหมาย ดังนี้

      1. ให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (AOT) กรมท่าอากาศยาน บูรณาการความร่วมมือในการจัดพื้นที่สูบบุหรี่ภายในท่าอากาศยานให้เหมาะสม ไม่กระทบต่อผู้ไม่สูบบุหรี่ และไม่ขัดต่อกฎหมาย

      2. ให้กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาทบทวนหรือแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ให้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินงานเกี่ยวกับพื้นที่สูบบุหรี่ต่อไป

    มติ ครม. มีดังนี้

    นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกฯ และนางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกฯ ร่วมกันแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล
    ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th/

    เพิ่มเงินเยียวยาผู้เสียหายคดีอาญาสูงสุด 3 แสนบาท

    นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราในการจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานศาลยุติธรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

    นายคารมกล่าวว่า กระทรวงยุติธรรม ได้ยกร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราในการจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. …. ขึ้น มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราในการจ่ายค่าตอบแทน ผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญาของกฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและอัตราในการจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน อัตราการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญามีความเหมาะสม ตอบสนองความต้องการของประชาชนและลดขั้นตอนที่เกินความจำเป็น ไม่เป็นภาระของประชาชน และเกิดความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น มีสาระสำคัญ สรุปได้ดังนี้

      1. หลักการพิจารณาจ่ายค่าตอบแทนแก่ผู้เสียหาย สาระสำคัญ ในการพิจารณาจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา ให้คณะกรรมการ พิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญาคำนึงถึงพฤติการณ์และความร้ายแรงของการกระทำความผิดและสภาพความเสียหายที่ผู้เสียหายได้รับ รวมถึงโอกาสที่ผู้เสียหายจะได้รับการบรรเทาความเสียหายโดยทางอื่นด้วย (คงเดิม)

      2. การจ่ายค่าตอบแทนในกรณีผู้เสียหายถึงแก่ความตาย (จ่ายแก่ทายาทของผู้เสียหาย) สาระสำคัญ ให้ได้รับค่าตอบแทนไม่เกิน 300,000 บาท (เดิม 30,000-100,000 บาท) ซึ่งคณะกรรมการฯ พิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย โดยคำนึงถึง ค่าจัดการศพ (เดิม 20,000 บาท) ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู (เดิม 40,000 บาท) และค่าเสียหายอื่น (เดิม 40,000 บาท) มาประกอบการพิจารณา

      3. การจ่ายค่าตอบแทนในกรณีผู้เสียหายไม่เสียชีวิต สาระสำคัญ กำหนดค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 80,000 บาท (เดิม กำหนดไม่เกิน 40,000 บาท) กำหนดค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 50,000 บาท (เดิมกำหนดไม่เกิน 20,000 บาท) กำหนดค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ในระหว่างที่ไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติ ให้จ่ายในอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในท้องที่จังหวัดที่ประกอบการงาน ณ วันที่ไม่สามารถประกอบการงานได้เป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปีนับแต่วันที่ไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติ (คงเดิม) กำหนดค่าตอบแทนความเสียหายอื่น ให้จ่ายเป็นเงินตามจำนวนที่คณะกรรมการเห็นสมควร โดยคำนึงถึงความเสียหายทางกายหรือจิตใจ หรือความเสียหายอื่นที่ยังหลงเหลืออยู่ตามคำวินิจฉัยของแพทย์ไม่เกิน 100,000 บาท (เดิมไม่เกิน 50,000 บาท) กำหนดค่าตอบแทนการสูญเสียอวัยวะหรือการสูญเสียสมรรถภาพของอวัยวะหรือความพิการทุพพลภาพ ไม่เกิน 300,000 บาท (กำหนดขึ้นใหม่) เช่น ทุพพลภาพ 300,000 บาท, แขนขาดข้างหนึ่ง/เท้าขาดสองข้าง 245,000 บาท, ขาขาดข้างหนึ่ง 225,000 บาท, มือขาดข้างหนึ่ง 185,000 บาท เป็นต้น

      4. หลักเกณฑ์พิจารณาจ่ายค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลย สาระสำคัญ ในการพิจารณาจ่ายค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญาให้คณะกรรมการคำนึงถึงพฤติการณ์ของคดี ความเดือดร้อนที่ได้รับและโอกาสที่จำเลยจะได้รับการชดเชยความเสียหายจากทางอื่นด้วย (คงเดิม)

      5. การจ่ายทดแทนในกรณีผู้เสียหายไม่เสียชีวิต สาระสำคัญ กรณีที่จำเลยในคดีอาญาถึงแก่ความตาย อันเป็นผลโดยตรงจากการถูกดำเนินคดี ให้ได้รับค่าทดแทนไม่เกิน 300,000 บาท (เดิม 100,000 บาท) ให้คณะกรรมการพิจารณาค่าทดแทนแก่จำเลยในคดีอาญาโดยคำนึงถึงค่าจัดการศพ (เดิม 20,000 บาท), ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู (เดิม 40,000 บาท), ค่าเสียหายอื่น (เดิม 40,000 บาท) มาประกอบการพิจารณา

      6. การจ่ายค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายในกรณีจำเลยไม่เสียชีวิต สาระสำคัญ กำหนดค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการรักษาพยาบาล ให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 80,000 บาท หากความเจ็บป่วยของจำเลยเป็นผลโดยตรงจากการถูกดำเนินคดี (เดิมกำหนดไม่เกิน 40,000 บาท) ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจ ให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท หากความเจ็บป่วยของจำเลยเป็นผลโดยตรงจากการถูกดำเนินคดี (คงเดิม) ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ในระหว่างถูกดำเนินคดี ให้จ่ายในอัตราค่าจ้าง ขั้นต่ำในท้องที่จังหวัดที่ประกอบการงาน ณ วันที่ไม่สามารถประกอบการงานได้นับแต่วันที่ไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติ (คงเดิม) ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำเนินคดี ได้แก่ ค่าทนายความให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินอัตราที่กำหนด และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการดำเนินคดี ให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท (คงเดิม)

      7. การขอรับเงิน สาระสำคัญ เมื่อมีการอนุมัติเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้อำนวยการสำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา (เขต กทม.) หรือผู้อำนวยการสำนักงานยุติธรรมจังหวัด ยุติธรรมจังหวัด (เขตต่างจังหวัด) จะเป็นผู้ลงนามใบสั่งจ่าย เพื่อใช้เป็นหลักฐานขอรับเงิน (เดิมประชาชนต้องมาติดต่อ 2 ครั้ง ครั้งแรก ยื่นคำขอ ครั้งที่สองขอรับเงิน

    ทั้งนี้ ยธ. ได้ดำเนินการตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว การดำเนินการดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือเยียวยา คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา รวมทั้งผู้ได้รับผลกระทบให้ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐที่เหมาะสมสอดคล้องกับเศรษฐกิจปัจจุบันตามหลักมนุษยธรรม และเพื่อพัฒนาระบบการบริหารจัดการที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง และให้บริการอย่างสะดวก รวดเร็ว ทั่วถึง และเป็นธรรม ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐโดยตรงที่จะให้การช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ที่ถูกกระทำการละเมิดหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมจากระบบกระบวนการยุติธรรมตามหลักสิทธิมนุษยชน

    แก้ไข ป.วิแพ่ง-ระเบียบตุลาการฯ ตั้ง “เจ้าพนักงานคดี” ช่วยงานศาล

    นายคารมกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มี “เจ้าพนักงานคดี” เพื่อทำหน้าที่ช่วยเหลือศาลในการดำเนินกระบวนพิจารณาอื่นใด ตามที่ศาลมอบหมาย และเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .… รวม 2 ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ตรวจพิจารณาแล้ว รวมทั้งรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรอง ที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรม (ศย.) เสนอ

    นายคารมกล่าวว่า สาระสำคัญ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ เป็นร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีเจ้าพนักงานคดี ทำหน้าที่ช่วยเหลือศาลในการดำเนินคดีและดำเนินกระบวนพิจารณาอื่นใดตามที่ศาลมอบหมาย แต่จะต้องมิใช่เป็นการก้าวล่วงไปวินิจฉัยชี้ขาดคดี หรือดำเนินกระบวนพิจารณาอื่นใดที่ศาลจะต้องดำเนินการเองเป็นการเฉพาะ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือศาลในการดำเนินคดีประเภทอื่นที่มีกฎหมายวิธีพิจารณาความบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะด้วย โดยกำหนดให้อำนาจหน้าที่และการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานคดี คุณสมบัติ การแต่งตั้ง การเลื่อนระดับการบังคับบัญชาการรักษาจริยธรรม ตลอดจนการบริหารงานบุคคลของเจ้าพนักงานคดี เป็นไปตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา รวมถึงให้เจ้าพนักงานคดีได้รับค่าตอบแทนพิเศษ ตามระเบียบที่คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมกำหนด

    ทั้งนี้ ในการกำหนดให้มีตำแหน่งเจ้าพนักงานคดีไว้ในประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่งดังกล่าว จะมีผลเป็นการรับรองตำแหน่งเจ้าพนักงานคดีไว้ครอบคลุมในทุกประเภทคดี ไม่ว่าจะเป็นคดีอาญา คดียาเสพติด คดีค้ามนุษย์ คดีแพ่งทั่วไป หรือคดีอื่นๆ ในศาลยุติธรรม

    ส่วนร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ .) พ.ศ. …. เป็นร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วเช่นเดียวกัน มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 (กฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของศาลยุติธรรม) เพื่อกำหนดให้เจ้าพนักงานคดีดังกล่าว เป็นข้าราชการศาลยุติธรรม รวมถึงแก้ไขเพิ่มเติมให้เจ้าพนักงานคดีที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด เช่น ปฏิบัติงานมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 4 ปี ได้รับโอกาสในการมีสิทธิเป็นผู้สมัครทดสอบความรู้ เพื่อบรรจุเป็นข้าราชการตุลาการ (สนามเล็ก) ต่อไป เพื่อสนับสนุนสายงานเจ้าพนักงานคดีให้เป็นบุคลากรสายวิชาชีพเฉพาะด้าน

    ทั้งนี้ การกำหนดให้มีเจ้าพนักงานคดี จะเป็นการช่วยลดภาระงานในส่วนที่ผู้พิพากษาไม่จำต้องกระทำเอง ซึ่งจะทำให้ผู้พิพากษาสามารถใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีได้อย่างเต็มที่ เพิ่มประสิทธิภาพในการพิจารณา พิพากษาคดีของศาลยุติธรรม ส่งผลให้คดีเสร็จสิ้นไปได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและหลักประกันให้แก่ประชาชน ในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ว่าการพิจารณา พิพากษาคดีนั้นจะเป็นไปด้วยความรวดเร็ว เที่ยงธรรม และมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว

    นายคารมกล่าวต่อว่า สำนักงานศาลยุติธรรมได้ดำเนินการตามแนวทางการจัดทำและการเสนอร่างกฎหมายตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว และได้เสนอแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่..) พ.ศ. …. จำนวน 3 ฉบับ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว

    ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงยุติธรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานศาลปกครอง พิจารณาแล้วเห็นชอบหรือไม่ขัดข้องในหลักการของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ รวม 2 ฉบับ โดยมีความเห็นหรือข้อสังเกตเพิ่มเติมในประเด็นต่างๆ เช่น

      1) ประเด็นการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลสำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่า การกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่และการบริหารงานบุคคลของเจ้าพนักงานคดี ควรให้คณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรม เป็นผู้กำหนด

      2) ประเด็นอัตรากำลังของตำแหน่งเจ้าพนักงานคดี สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่า ควรจัดทำกรอบอัตรากำลังของตำแหน่งเจ้าพนักงานคดีเท่าที่จำเป็น และควรเกลี่ยอัตรากำลังเจ้าพนักงานคดีที่ปฏิบัติงานในศาลยุติธรรม แทนการเพิ่มอัตรากำลังเป็นลำดับแรก เพื่อมิให้เป็นภาระงบประมาณในระยะยาว

      3) ประเด็นคุณสมบัติของผู้สมัครทดสอบความรู้เพื่อบรรจุเป็นข้าราชการตุลาการ สำนักงาน ก.พ. เห็นว่า ควรกำหนดระดับของข้าราชการ และระยะเวลาปฏิบัติงานในตำแหน่งเจ้าพนักงานคดี หรือข้าราชการศาลยุติธรรม ที่ได้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมายในตำแหน่งอื่นเพิ่มเติม เช่น ดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการพิเศษ

      4) ประเด็นอื่นๆ กระทรวงยุติธรรมเห็นว่า เมื่อกฎหมายมีผลใช้บังคับแล้ว ควรมีการประเมินผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นจากการบังคับใช้กฎหมาย ตามกฎหมายว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมาย และการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย

    บูรณาการ 13 หน่วย ลดขั้นตอน-เพิ่มประสิทธิภาพจัดทำ “One Map”

    นายคารมกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบแนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐ แบบบูรณาการมาตราส่วน 1:4000 (แนวทางปฏิบัติฯ) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ หรือ “สคทช.” เสนอ โดยมอบหมายกรมธนารักษ์, กรมที่ดิน, กรมป่าไม้, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, กรมพัฒนาที่ดิน, สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม, กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ, กรมส่งเสริมสหกรณ์, กรมการปกครอง, กรมแผนที่ทหาร, สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ, สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติให้เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ One Map ดังกล่าว

    นายคารมกล่าวว่า การดำเนินการปรับปรุงแผนที่ One Map มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศไทยมีแนวเขตที่ดินของรัฐที่ถูกต้อง ทันสมัย ไม่ทับช้อนกัน อยู่บนพื้นฐานมาตราส่วน 1:4000 ให้ทุกส่วนราชการใช้และยึดถือในแนวทางเดียวกัน เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรที่ดินของประเทศอย่างมีเอกภาพและประสิทธิภาพ ภายใต้กรอบแนวคิด “หนึ่งพื้นที่ หนึ่งหน่วยงานรับผิดชอบ” (One Land, One Law) โดยแบ่งพื้นที่ดำเนินการออกเป็น 7 กลุ่ม กลุ่มละ 11 จังหวัด ซึ่งที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว 4 กลุ่ม โดยกำหนดให้หน่วยงานที่มีที่ดินของรัฐ ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับผลการดำเนินการ One Map ให้แล้วเสร็จ ภายใน 360 วัน อาจขอขยายระยะเวลาการดำเนินการต่อคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ได้ตามเหตุผลความจำเป็นแต่ไม่เกิน 180 วัน

    นายคารมกล่าวต่อว่า สคทช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำนวน 13 หน่วยงาน ได้จัดทำแนวทางปฏิบัติ เพื่อลดขั้นตอน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ One Map โดยแนวทางฯ มีสาระสำคัญแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
    1. ส่วนที่หนึ่ง การกำหนดแนวทางการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ One Map ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ซึ่งมีขั้นตอนที่สำคัญ ประกอบด้วย

      (1) การจัดเตรียมข้อมูล
      (2) การจัดทำแผนปฏิบัติการกลุ่มพื้นที่และจังหวัดกรอบระยะเวลา งบประมาณ บุคลากรรับผิดชอบ
      (3) การจัดเตรียมข้อมูลเส้นแนวเขตที่ดินของรัฐเส้นแนวเขตการปกครอง เอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง
      (4) การตรวจสอบและรับรองความถูกต้องของหน่วยงาน
      (5) การนำข้อมูลเข้าระบบเพื่อบันทึกเป็นฐานข้อมูล
      (6) การดำเนินการปรับปรุงแผนที่ One Map ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
      (7) การนำเรื่องเสนอคณะอนุกรรมการ One Map และคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง
      (8) การรับรองผลการดำเนินการ
      (9) การนำเรื่องเสนอ คทช. และคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา

    2. ส่วนที่สอง การกำหนดแนวทางปฏิบัติการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ One Map หลังจากที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ซึ่งมีขั้นตอนที่สำคัญ ประกอบด้วย

      (1) การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องของแต่ละหน่วยงานตามผลการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ One Map ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้วภายในระยะเวลาที่กำหนด
      (2) การเร่งดำเนินการชี้แจงสร้างการรับรู้ความเข้าใจแก่ทุกภาคส่วน
      (3) แนวทางการแก้ไขปัญหากรณีมีผู้ได้รับผลกระทบหรือการแก้ไขปัญหาอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น พบความคลาดเคลื่อน ความไม่สมบูรณ์ของข้อมูลให้นำเรื่องเสนอคณะอนุกรรมการ One Map หรือคณะอนุกรรมการอื่นภายใต้ คทช. เพื่อพิจารณาและนำเสนอ คทช. เพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป

    3. ส่วนที่สาม การเสนอขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน 2 ฉบับ คือ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 และ 22 มีนาคม 2565 เฉพาะกรณีการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ One Map เพื่อเป็นการลดขั้นตอน ลดความซ้ำซ้อนของการดำเนินงาน เนื่องจากแนวทางปฏิบัติที่กำหนดขึ้นใหม่นี้ สามารถทดแทนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวได้

    ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) พิจารณาในคราวประชุมครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 มีมติเห็นชอบแนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน One Map รวมทั้งเห็นชอบให้ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 และเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2565 เฉพาะกรณีการดำเนินการ One Map

    เก็บภาษีการพนัน ‘สลากกาชาด’ 0.5%

    นายคารมกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบตามที่สภากาชาดไทยเสนอ ให้สภากาชาดไทย หรือ เหล่ากาชาดจังหวัด หรือกิ่งกาชาดอำเภอ ซึ่งเป็นตัวแทนของสภากาชาดไทย ผู้รับใบอนุญาตจัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินแบ่งหรือสลากบำรุงสภากาชาดไทย ประจำปี 2568 และสลากบำรุงสภากาชาดไทยในงานกาชาดและงานออกร้านคณะภริยาทูต ประจำปี 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารายได้มอบให้สภากาชาดไทย เสียภาษีในอัตราร้อยละ 0.5 แห่งยอดราคาสลาก ซึ่งมีผู้รับซื้อก่อนหักรายจ่ายตามข้อ 12 (4) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 17 (พ.ศ. 2503) ออกตามความในพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้

    นายคารมกล่าวว่า ที่ผ่านมาสภากาชาดไทยร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจและสถาบันการศึกษา จัดทำสลากบำรุงสภากาชาดไทยในทุกๆ ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารายได้โดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย ซึ่งการเล่นการพนันสลากกินแบ่งหรือสลากบำรุงกาชาดไทย (หมายถึงสลากกินแบ่งในบัญชี ข. ท้ายพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 หมายเลข 16 คือ สลากกินแบ่ง สลากกินรวบหรือการเล่นอย่างใดที่เสี่ยงโชคให้เงินหรือประโยชน์อย่างอื่นแก่ผู้เล่นคนใดคนหนึ่ง) กฎกระทรวง ฉบับที่ 17 (พ.ศ. 2503) ออกตามความในพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 ข้อ 12 (4) แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 43 (พ.ศ. 2543) [กฎกระทรวง ฉบับที่ 17 (พ.ศ. 2503)ฯ] กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตการเล่นสลากกินแบ่งที่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้ไปใช้ในกิจการสาธารณกุศล โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี เสียภาษีในอัตราร้อยละ 0.5 แห่งยอดราคาสลาก ซึ่งมีผู้รับซื้อก่อนหักรายจ่าย (หากไม่ใช่การออกสลากกินแบ่งที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อนำรายได้ไปใช้ในกิจการสาธารณกุศล ผู้รับใบอนุญาตการเล่นสลากกินแบ่งดังกล่าว ต้องเสียภาษีร้อยละ 5 หรือร้อยละ 10 แล้วแต่กรณี) และในครั้งนี้ สภากาชาดไทยเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบให้สภากาชาดไทย ผู้รับใบอนุญาตจัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินแบ่งหรือสลากบำรุงสภากาชาดไทย ประจำปี 2568 เสียภาษีในอัตราร้อยละ 0.5 แห่งยอดราคาสลากเช่นเดียวกับทุกๆ ปีที่ผ่านมา

    เพิ่มค่ารักษาพยาบาล-ชดเชยรายได้ให้ผู้ประกันตน

    กำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคล ซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน (ฉบับที่…) พ.ศ. …

    นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.ฎ.กำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคล ซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ

    รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ร่าง พ.ร.ฎ. ในเรื่องนี้ มีสาระสำคัญ ดังนี้

      1) แก้ไขหลักเกณฑ์การได้รับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1-3 ในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ โดยลดระยะเวลาให้น้อยลงตั้งแต่ 1 วันขึ้นไป ปรับเพิ่มอัตราได้รับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1-2 หากไม่ได้พักรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล โดยมีใบรับรองแพทย์มาแสดงต่อ สนง. ประกันสังคม (จาก 50 บาท เป็น 200 บาท) และปรับเพิ่มอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตนทางเลือกที่ 3 หากไม่ได้พักรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล โดยมีใบรับรองแพทย์มาแสดงต่อ สนง. ประกันสังคม (จากไม่ได้กำหนดไว้ เป็นครั้งละ 200 บาท)

      2) กำหนดให้ผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1-3 ที่เจ็บป่วยด้วยโรคติดต่ออันตราย รวมถึงโควิด-19 และเข้ารับการรักษาฯ มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน (จากไม่ได้กำหนดไว้ เป็น 200 บาท/วัน)

      3) แก้ไขหลักเกณฑ์การได้รับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1-2 ในกรณีทุพพลภาพ เป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ต่อเดือนตลอดชีวิต (เดิม 15 ปี) และปรับเพิ่มอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในแต่ละเดือนเป็น 1,000-2,000 บาท/เดือน และปรับเพิ่มอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในแต่ละเดือนของผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 3 เป็น 1,500-3,000 บาท/เดือน

      4) แก้ไขระยะเวลา และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 3 ในกรณีสงเคราะห์บุตร ได้รับเงินสงเคราะห์บัตร สำหรับบุตร ซึ่งมีอายุไม่เกิน 7 ปีบริบูรณ์ ในอัตรา 300 บาท/เดือน ต่อบุตร 1 คน

      5) แก้ไขหลักเกณฑ์การจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 2-3 ถึงแก่ความตายก่อนอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ หรือก่อนที่จะได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ โดยให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพให้แก่บุคคล ซึ่งผู้ประกันตนทำหนังสือระบุ

      6) กำหนดบทเฉพาะกาล เช่น ป่วยด้วยโรคโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 – 30 กันยายน 2565 มีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ตามกฎหมายใหม่ กำหนดให้ผู้ประกันตน ทางเลือก 1-3 ที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอยู่ก่อนวันร่าง พ.ร.ฎ. ใช้บังคับไปจนถึงวันที่ พ.ร.ฎ. นี้ใช้บังคับ มีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ตามกฎหมายใหม่ กำหนดให้ผู้ประกันตน ทางเลือก 1-3 ที่ได้รับประโยชน์ทดแทน ในกรณีทุพพลภาพ เป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ตามกฎหมายเดิม ซึ่งสิ้นสุดการได้รับสิทธิไปแล้ว และกำหนดให้ผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 3 ได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรตามกฎหมายเดิม มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรเพิ่มขึ้นตามกฎหมายใหม่

    ตั้ง “Biz Portal” แพลตฟอร์มกลาง รวมบริการภาครัฐ 2,101 งาน ในปี’70

    นางสาวศศิกานต์กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบแผนการนำงานบริการของหน่วยงานของรัฐมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เสนอ โดยมีสาระสำคัญเป็นการให้หน่วยงานรัฐเร่งดำเนินการพัฒนา และเชื่อมโยงงานบริการทั้งหมด มาให้บริการบนแพลตฟอร์ม ศูนย์การบริการภาครัฐเพื่อภาคธุรกิจ (Biz Portal) หรือ ระบบพอร์ทัลกลางเพื่อประชาชน (Citizen Portal) โดยมีกรอบการดำเนินการภายในปีงบประมาณ 2568-2570 รวม 2,101 งานบริการ

    จากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2566 เห็นชอบแนวทางวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ในการให้หน่วยงานของรัฐนำงานบริการมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง (Biz Portal หรือ Citizen Portal) โดยแบ่งการดำเนินการเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่

      1. ให้หน่วยงานที่ยังไม่มีช่องทางการให้บริการรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ นำงานบริการมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลางดังกล่าวเป็นทางเลือกแรก

      2. ให้หน่วยงานที่มีงานบริการรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์แล้ว นำงานบริการมาเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง โดยให้ทาง ก.พ.ร. เป็นผู้ติดตามการดำเนินการเป็นระยะ

    จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา พบว่า มีงานบริการภาครัฐที่เชื่อมโยง ให้บริการบน Biz Portal หรือ Citizen Portal ได้แล้ว 182 งานบริการ จากงานบริการภาครัฐ โดยแผนงานดังกล่าวจะถูกนำมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับ 5 นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และ 10 Focus Area ตามแผนพัฒนางานดิจิทัลของไทย พ.ศ. 2566-2570 เพื่อการพัฒนาในด้านต่างๆ อย่างรอบด้าน ทั้งนี้ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จะดำเนินการจัดทำแนวทางการดำเนินงานให้รัดกุม เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการใช้งาน และความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลต่อไป

    ทั้งนี้ ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการและกรอบระยะเวลาของแผนการนำงานบริการของหน่วยงานของรัฐมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง รวมทั้งวิธีการและกลไกการดำเนินการในการพัฒนาและเชื่อมโยงงานบริการมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง ตามมติ คกก.กลั่นกรองฯ คณะที่ 6 ในคราวประชุม ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568

    ตั้ง “กาจผจญ อุดมธรรมภักดี” เป็นผู้ว่า รฟม.

    นางสาวศศิกานต์กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบแต่งตั้ง/โยกย้ายข้าราชการผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานรัฐมีรายละเอียดดังนี้

    1. การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)

    คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนออนุมัติแต่งตั้ง นายปิยะ เกียรติเสวี ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาออร์โธปิดิกส์) โรงพยาบาลเลิดสิน กรมการแพทย์ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาออร์โธปิดิกส์) โรงพยาบาลเลิดสิน กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์

    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป

    2. การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงยุติธรรม)

    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอ แต่งตั้ง พันตำรวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป

    3. การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)

    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้ง นายธัญญวัฒน์ พากเพียร เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอัครา พรหมเผ่า) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป

    4. การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงกลาโหม)

    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเสนออนุมัติแต่งตั้ง ร้อยตำรวจเอกหญิง อัยรดา บำรุงรักษ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม [ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม (พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์)] ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป

    5. การแต่งตั้งผู้แทนองค์กรเอกชนเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 มาตรา 4 (5)

    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอแต่งตั้ง นายอนันต์ ดิสระ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 มาตรา 4 (5) แทน นางเสาวนีย์ ประทีปทอง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากได้ถึงแก่กรรม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป และผู้ได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับแต่งตั้งไว้แล้ว

    6. การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบกำหนดวาระ และแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มเติมในคณะกรรมการเฉพาะด้าน การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ข้อมูล

    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) ประธานกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเฉพาะด้านการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ข้อมูลแทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบกำหนดวาระ จำนวน 1 คน และแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มเติม จำนวน 1 คน รวม 2 คน ดังนี้

      1. นางศรีดา ตันทะอธิพานิช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมศาสตร์
      2. นางปิยนุช วุฒิสอน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูล หรือด้านบริหารข้อมูล

    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป และผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนตำแหน่งที่ว่างหรือเพิ่มเติมนั้นดำรงตำแหน่งได้เท่ากับวาระที่เหลืออยู่

    7. การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร

    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเสนอแต่งตั้ง นายทรงพันธ์ เจิมประยงค์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระเนื่องจากขอลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป และผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว

    8. การแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ

    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) ประธานกรรมการสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ จำนวน 10 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี ดังนี้

      1. นายปกรณ์ นิลประพันธ์ (ด้านนิติศาสตร์)
      2. นายเสรี นนทสูติ (ด้านนิติศาสตร์)
      3. นายศุภวุฒิ สายเชื้อ (ด้านเศรษฐศาสตร์)
      4. นายฉัตรชัย พรหมเลิศ (ด้านรัฐศาสตร์)
      5. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ (ด้านบริหารรัฐกิจ)
      6. นายภูมินทร์ หะรินสุต (ด้านบริหารธุรกิจ)
      7. นายกิตติ ตั้งจิตรมณีศักดา (ด้านบริหารธุรกิจ)
      8. นายกุลิศ สมบัติศิริ (ด้านการเงินการคลัง)
      9. นายปิยวัฒน์ ศิวรักษ์ (ด้านจิตวิทยาองค์การ)
      10. นายแบ๊งค์ งามอรุณโชติ (ด้านสังคมวิทยา)

    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป

    9. แต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์

    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวจิราพร สินธุไพร) เสนอแต่งตั้ง นายไชยยง รัตนอังกูร เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ แทน นางอรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป และผู้ได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน

    10. ขอความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย

    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอแต่งตั้ง นายกาจผจญ อุดมธรรมภักดี เป็นผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ 340,000 บาท ส่วนค่าตอบแทนพิเศษประจำปีและสิทธิประโยชน์อื่นที่ผู้รับจ้างจะได้รับให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) ให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ ตามมติคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ในการประชุม (นัดพิเศษ) เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 และครั้งที่ 6/2568 เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ

    อ่าน มติ ครม.ประจำวันที่ 4 มิถุนายน 2568 เพิ่มเติม