กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets หรือ SCB FM) ชี้ ในภูมิภาคเอเชีย สกุลเงินท้องถิ่น (local currency) มีความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่มีชายแดนติดกับจีนใช้เงินหยวนในการค้าชายแดนมากขึ้น สัดส่วนการใช้เงินหยวนใน cross-border trade เพิ่มขึ้นจากประมาณ 20%-25% เป็น 50% ในปัจจุบัน
วันที่ 11 มิถุนายน 2568 ธนาคารไทยพาณิชย์ จัดแถลงข่าว “Deep Dive into SCB Financial Markets: เจาะลึกกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยง และทิศทางค่าเงินบาทครึ่งปีหลัง” เปิดแนวทางในการดำเนินธุรกิจกลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets หรือ SCB FM) และวิเคราะห์เจาะลึกปัจจัยสำคัญต่อการเคลื่อนไหวค่าเงินบาท และมุมมองแนวโน้มค่าเงินบาทในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมี นายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน และ Head of Private Banking Relationship Management ธนาคารไทยพาณิชย์ และนายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์
เงินหยวนมีบทบาทมากขึ้นในการค้าชายแดน
นายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน และ Head of Private Banking Relationship Management ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ปัจจุบันภาคธุรกิจของไทยเริ่มหันมาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (local currency) แทนการใช้เงินดอลลาร์มากขึ้น จากเดิมที่การค้าระหว่างประเทศใช้เงินดอลลาร์กว่า 90% เนื่องจากไม่ต้องถือครองเงินสกุลเงินดอลลาร์ ขณะที่เงินบาทก็ยังมีความผันผวน “เช่น การค้าขายกับจีน ถ้าเราสามารถเลือกซื้อขายกับจีน เป็นเงินหยวนได้ เขาก็รู้สึกว่าเขาไม่มี exposure หรือ currency ที่จะต้องเอาเงินดอลลาร์มาแลก เพราะฉะนั้น ตรงนี้ทำให้ส่วนต่าง buffer น้อยลง”
“การเติบโตของ local currency วันนี้เรายังเห็นเลขสองหลักในแง่การเติบโตเทียบปีต่อปี ส่วนเรื่องสัดส่วนในภาพรวมยังไม่ได้สูงมากนัก ผมคิดว่าเทรนด์ของเรื่องนี้จะเป็นเทรนด์ของการเติบโตว่าลูกค้าจะพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อให้เพิ่มการแข่งขันในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น” นายแพททริกกล่าว
นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ ในภูมิภาคเอเชีย สกุลเงินท้องถิ่นมีความสำคัญมากขึ้น ไม่ใช่เฉพาะไทย แต่มีการพยายามใช้สกุลท้องถิ่นทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย เริ่มกันมาแล้วโดยการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในเอเชียมีประมาณ 50.6%
“เมื่อดูความผันผวนระหว่างเงินบาทกับเงินหยวน มีความผันผวนต่ำกว่าเยอะมาก จึงเป็นที่มาว่า หากเราต้องการทำการค้าขายกับจีน ก็กลับมาให้น้ำหนักกับ local currency เพื่อลดความเสี่ยงในการถือเงินตราต่างประเทศ” นายวชิรวัฒน์กล่าว
“เงินหยวนมีความสำคัญมากขึ้นในแง่ cross-border trade การค้าข้ามพรมแดนกับกลุ่มประเทศที่มีชายแดนติดกับจีน ทางการก็มีมาตรการเพื่อที่จะดันให้ใช้เงินหยวนมากขึ้น โดยสัดส่วนการใช้เงินหยวนใน cross-border trade เพิ่มขึ้นจากประมาณ 20-25% เป็น 50% ในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นบทบาทของเงินหยวน อยู่ในการค้าภูมิภาค แต่สัดส่วนในธุรกรรมระดับโลก (global transaction) ยังน้อย”
สำหรับการใช้เงินหยวนเป็นทุนสำรอง นายวชิรวัฒน์กล่าวว่า สัดส่วนเงินหยวนในทุนสำรองมีประมาณ 2% มีสัดส่วนใน SWIFT หรือระบบโอนเงินระดับโลก ประมาณ 2-3% ขณะที่เงินดอลลาร์มีสัดส่วนประมาณกว่า 50%

จัดเต็ม 5 ผลิตภัณฑ์หลักรับมือค่าเงินผันผวน
นายแพททริกกล่าวว่า ค่าเงินบาทในปีนี้มีความผันผวนมากขึ้นจากการแข่งขันทางการเงิน การปรับตัวตามนโยบายการค้าโลก ทำให้ค่าเงินบาทที่เคยขึ้นลง 1-2 บาท ปรับตัว 2-5 บาทหรือ 10-15% ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เป็นความผันผวนที่ต้องจัดการ
“ค่าเงินที่แข็งค่ากระทบผู้ส่งออกเป็นกลุ่มแรก แต่ก็ขึ้นอยู่กับการมีกันชน ผู้ที่มีกันชนค่อนข้างต่ำก็จะได้รับผลกระทบก่อน ผู้ที่มีการบริหารความเสี่ยงได้ดีก็ค่อนข้างที่จะปลอดภัย ในทางกลับกัน ค่าเงินบาทที่อ่อนค่ามา ถ้าบริหารความเสี่ยงไม่ดีก็จะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการทั้งนำเข้าและส่งออกต้องปรับตัวมากขึ้น ธนาคารไทยพาณิชย์ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการนำผลิตภัณฑ์และการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน” นายแพททริกกล่าว
ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา การบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนของผู้ส่งออกโดยเฉลี่ยภาพรวมค่อนข้างอยู่ในระดับต่ำ แต่เมื่อแยกกลุ่มลูกค้า ลูกค้ากลุ่มกิจที่มีนโยบายบริหารความเสี่ยงค่อนข้างดีอาจจะมีสัดส่วนตั้งแต่ 50% ขึ้นไปจนถึงประมาณ ในภาพรวมมีความสนใจในการบริหารความเสี่ยงสูงขึ้นทุกปี จากความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดการเงินที่ดีขึ้น เข้าใจผลิตภัณฑ์ทางการเงินสูงขึ้น
“การป้องกันความเสี่ยงไม่ได้มีสูตรตายตัว ธุรกิจมีการป้องกันความเสี่ยงไม่เหมือนกัน แต่อย่างน้อยสัดส่วนการป้องกันความเสี่ยงควรเป็น 30%” นายแพททริกกล่าว
นายแพททริกกล่าวว่า กลุ่มงานตลาดการเงิน หรือ SCB Financial Markets ทำหน้าที่แนะนำผลิตภัณฑ์และบริการที่ช่วยบริหารความเสี่ยงให้แก่ลูกค้าธุรกิจ โดยมีผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นในธุรกิจอัตราแลกเปลี่ยน หรือ FX อย่างไรก็ตาม ตลาดการเงินมีความท้าทายสูงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามการค้าที่กดดันภาคธุรกิจของไทย รวมถึงปัจจัยล่าสุด คือ ความไม่แน่นอนของมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้า (tariffs) จากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ จึงเห็นภาพของค่าเงินบาทที่ผันผวนสูง โดยบางช่วงเงินบาทเปลี่ยนแปลงถึง 30-40 สตางค์ในช่วงข้ามคืน ด้วยบริบททางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว SCB Financial Markets จึงปรับบทบาทให้เข้มข้นขึ้นสู่การเป็น “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทางการเงิน” ให้กับลูกค้าธุรกิจ นักลงทุนสถาบัน และลูกค้ารายย่อย ครอบคลุมทั้งด้านการบริหารความเสี่ยง การลงทุน และการเติบโตในตลาดโลก เพื่อสะท้อนถึงความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น สร้างโอกาสการลงทุนและสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว
ภายใต้บทบาท “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทางการเงิน” ให้กับลูกค้าธุรกิจ นักลงทุนสถาบันและลูกค้ารายย่อย SCB Financial Markets นำเสนอ 5 ผลิตภัณฑ์และบริการหลัก ประกอบด้วย
1) ธุรกิจอัตราแลกเปลี่ยน (FX) และเครื่องมือบริหารความเสี่ยง เช่น FX Forward และ FX Options ที่ออกแบบให้เหมาะสมกับลักษณะธุรกิจของลูกค้า โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีความเสี่ยงด้านค่าเงินจากการค้าระหว่างประเทศ
2) การขยายผลิตภัณฑ์ FX และคู่สกุลเงินใหม่ เพื่อรองรับสกุลเงินท้องถิ่น (local currency) ของประเทศปลายทาง สำหรับลูกค้าที่กำลังขยายธุรกิจในระดับภูมิภาคและตลาดเกิดใหม่
3) ช่องทางดิจิทัล เช่น FX Online และ FX API ที่สามารถเชื่อมต่อธุรกรรม FX เข้ากับระบบ treasury ของลูกค้าได้โดยตรง เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเงินตราต่างประเทศ และการซื้อขายพันธบัตรในตลาดรอง (secondary bond) ผ่านแอป SCB Easy เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนให้กับลูกค้ารายย่อย
4) ผลิตภัณฑ์การลงทุนแบบ structured notes ที่ออกแบบโดยอิงกับหลากหลายสินทรัพย์ เช่น ค่าเงิน หุ้น และอัตราดอกเบี้ย เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายผลตอบแทนและระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกันของลูกค้า
5) บัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-FCD) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสภาพคล่องและต้นทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
“การบริหารความเสี่ยงด้วย FX อาจจะไม่เพียงพอในการเติมเต็มโอกาสให้แก่ลูกค้าธุรกิจ นักลงทุนสถาบันและลูกค้ารายย่อย SCB Financial Markets จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เน้นการสร้างผลตอบแทนที่ยอมรับได้ เพื่อบริหารสภาพคล่องให้กับธุรกิจ ผสานกับศักยภาพทางเทคโนโลยีดิจิทัลภายใต้กลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch ซึ่งทั้ง 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการ และเรามีแผนเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน (currency futures) ผ่านตลาด Thailand Futures Exchange (TFEX) เพื่อเพิ่มทางเลือกในการบริหารความเสี่ยงให้กับลูกค้ารายย่อย รวมถึงการนำเทคโนโลยี AI และ machine learning มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และการแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย และรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ และสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านเครื่องมือทางการเงินที่ทันสมัย ปลอดภัย และครอบคลุมในทุกมิติของโลกการเงินยุคใหม่” นายแพททริกกล่าว

เงินบาทยังแข็งค่า 31.5-32.5 เทียบดอลลาร์ปลายปี
นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ตลาดเงินอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน (shifting landscape) ที่มีผลต่อทิศทางค่าเงินบาท โดย SCB มองว่า เงินบาทจะยังคงแข็งค่าต่อเนื่อง และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะลดลง แต่ต้องจับตาการเจรจาการค้า และนโยบายของสหรัฐฯ ที่อาจทำให้ภาคการลงทุนของโลกเปลี่ยนไป
นายวชิรวัฒน์กล่าวว่า ปัจจัยต่างประเทศจะมีผลต่อทิศทางเงินบาท เนื่องจากภาพการลงทุนของตลาดโลกเปลี่ยนแปลงไป นักลงทุนในโลกพยายามลดความเสี่ยงจากการกระจุกการลงทุน (concentration risk) โดยกระแสเงิน (funds flow) ที่เข้าอเมริกาจำนวนมาก ในปีที่แล้ว ปีนี้จะเริ่มทยอยออก ซึ่งก็ได้เห็นสัญญาณแล้วตั้งแต่ไตรมาสแรก
ในปีที่แล้วมีหลายเหตุการณ์ที่มีผลต่อค่าเงินบาทให้เปลี่ยนแปลงถึง 10-15% ทั้งการเริ่มวัฎจักรการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ค่าเงินบาทในปีที่แล้วจึงเหวี่ยงค่อนข้างมาก ปีนี้จึงสูงสุดกับจุดต่ำสุดอาจจะไม่เท่าปีที่แล้ว แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่
ในปีนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเทียบกับตอนต้นปีประมาณ 5% แต่การแข็งค่าของเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่ได้ต่างจากสกุลเงินอื่นในภูมิภาค และยังแข็งค่าน้อยกว่าเงินวอนเกาหลีใต้ เงินริงกิตมาเลเซีย และเงินดอลลาร์ไต้หวัน เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีการทำข้อตกลงทางการค้าที่ล่วงหน้าไทยไปปค่อนข้างมาก ทำให้การตอบสนองของค่าเงินเร็วกว่า
“การแข็งค่า 5% ก็อาจจะมีไม่เยอะมาก แต่ว่าสิ่งที่อยากจะชี้คือว่า ช่วงสูงสุดกับต่ำสุด บาทเปลี่ยนแปลงประมาณแบบ 8% ภายใน 1 เดือน ต้นเดือนเมษายนที่สหรัฐฯ ประกาศแผนภาษี เงินบาทขึ้นไปสูงสุดที่ 35 ต่อดอลลาร์ ต่อมามีการระงับการบังคับใช้และเรียกเก็บภาษีพื้นฐาน 10% และมีการเจรจาการค้า เงินบาทกลับมาต่ำที่ 32.4 ในเวลาไม่ถึงเดือน และยังติด อันดับ 3 ของสกุลเงินที่ผันผวนสูงสุดในภูมิภาค” นายวชิรวัฒน์กล่าว
นายวชิรวัฒน์กล่าวว่า เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นจากทั้งปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะจากทิศทางค่าเงินดอลลาร์ ที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ช่วงต้นปีเงินบาทอ่อนค่าลง เนื่องจากนักลงทุนยังคงมุ่งลงทุนในสหรัฐฯ ดัชนี S&P 500 ทำนิวไฮต่อเนื่อง มีการ long position (ซื้อ) ในเงินดอลลาร์จำนวนมากสูงสุดในรอบ 5 ปี แต่หลังจากตลาดเริ่มได้รับจากมาตรการภาษี ความเชื่อมั่นลดลง ตลาดปรับฐาน การ short position (ขาย) เป็นจุดหลักที่ทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง
“จุดที่ทำให้เปลี่ยนจาก long มา short เรื่องแรก คือ สงครามการค้า อีกเรื่องที่รุนแรงไม่แพ้กันและเป็นจุดที่มีการพูดถึงกันเยอะมากในช่วงเดียวที่ผ่านมา ก็คือดุลการคลังของสหรัฐฯ ที่ขาดดุลเนื่องจากนโยบายลดภาษีและกระตุ้นการใช้จ่าย จะมีผลให้ขาดดุลการคลังมากขึ้น ทำให้ตลาดกังวลมากขึ้น และหากมีการออกพันธบัตรมาชดเชยการขาดดุล อัตราผลตอบแทนจะพุ่งขึ้น ทำให้ดอลลาร์กลับมาอ่อนค่า บวกกับข้อมูลเศรษฐกิจ เช่น PMI ที่อ่อนแอ” นายวชิรวัฒน์กล่าว
นอกจากนี้ การแข็งค่าของินค่าเงินเกาหลีใต้ เงินเยนญี่ปุ่น และเงินดอลลาร์ไต้หวัน ก็ดันให้บาทแข็งค่าต่อไปด้วย เช่นเดียวกับราคาทองคำ เงินบาทมีความสัมพันธ์กับราคาทองคำสูง ช่วงไหนที่ราคาทองปรับตัวขึ้นเงินบาทจะแข็งค่า และจากการศึกษาพบว่า หากราคาทองคำปรับขึ้นกว่า 30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เงินบาทจะเคลื่อนไหวประมาณ 30 บาท ซึ่งที่ผ่านมา สงครามการค้าทำให้นักลงทุนมาพักเงินที่สินทรัพย์ปลอดภัย ราคาทองคำทำนิวไฮ ทำให้เงินบาทแข็งค่า ความสัมพันธ์ระหว่างทองคำกับเงินบาทสูงกว่าประเทศอื่นๆ ค่อนข้างมาก
นายวชิรวัฒน์กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาเงินดอลลาร์มีมูลค่าสูงเกินไป (overvalued) แข็งค่าเกินกว่าปัจจัยโครงสร้างทางเศรษฐกิจของอเมริกา โดยแข็งค่าเกินไปประมาณ 15% เพราะสหรัฐฯ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจำนวนมาก รวมทั้งขาดดุลการค้าจากการนำเข้ามากกว่าส่งออก ทั้งๆ ที่การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดควรจะทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า จึงเป็นจุดที่ประธานาธิบดีทรัมป์พยายามแก้ไขและนำมาสู่สงครามการค้า หลังจากการประกาศปรับขึ้นภาษี ทำให้นักลงทุนกังวล เนื่องจากการปรับขึ้นภาษีขณะที่ประเทศยังไม่พร้อม เพราะระยะสั้นเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบ ส่วนในระยะยาวจะได้รับผลบวกหรือไม่ก็ยังบอกไม่ได้
“เราจึงเห็นการเทขายสินทรัพย์ของสหรัฐฯ โดยปกติอัตราผลตอบแทนพันธบัตรมักจะปรับขึ้น หากธนาคารกลางสหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ยและเงินดอลลาร์จะแข็งค่า แต่เมื่อเกิดสงครามการค้ามีการเทขายพันธบัตร เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง จากการที่นักลงทุนในโลกเทขายสินทรัพย์ของสหรัฐฯ ทั้งตลาดหุ้น พันธบัตร และเงินดอลลาร์ ทำให้ดอลลาร์อ่อน” นายวชิรวัฒน์กล่าว
นายวชิรวัฒน์กล่าวว่า การเทขายสินทรัพย์สหรัฐฯ ไม่ได้เริ่มเกิดในปีนี้ แต่มีขึ้นก่อนหน้านี้ โดยเมื่อพิจารณาการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ของรัฐบาลจีนและญี่ปุ่น พบว่าเมื่อเกิดสงครามการค้า ในเดือนกรกฎาคม 2018 รัฐบาลจีนเริ่มลดสัดส่วนการถึงครองพันธบัตร และนำไปเงินไปซื้อทองคำ ส่งผลให้ราคาทองคำสูงขึ้น แต่พันธบัตรยังมีเสถียรภาพ ส่วนทางด้านญี่ปุ่นที่เริ่มขึ้นดอกเบี้ยก็มีการเริ่มเทขาย และหันมาเพิ่มสัดส่วนสินทรัพย์ภายในประเทศ
“อย่างไรก็ตาม ยังไม่กังวลมากขึ้นเนื่องจากมีความต้องการจากกาคเอกชนเข้ามาทดแทน ในช่วงนี้พันธบัตรอาจจะยังไม่ได้ถึงขั้นสูญเสียความสำคัญไป และไม่คิดว่าสหรัฐฯ จะถูกเทขายจนสูญเสียสถานะ reserve currency เพราะสัดส่วนของการถือดอลลาร์ในทุนสำรองระหว่างประเทศของแต่ละประเทศก็มีอยู่ประมาณเกือบ 60%” นายวชิรวัฒน์กล่าว
นายวชิรวัฒน์กล่าวว่า เงินดอลลาร์มีแนวโน้มจะอ่อนค่าลงอีกต่อเนื่องอย่างน้อยในปีนี้ เนื่องจาก 1) นักลงทุนโลกยังต้องการลด concentration risk ในสินทรัพย์สหรัฐฯ ผ่านการขายสินทรัพย์สหรัฐฯ ออกบางส่วน ทำให้เงินทุนอาจไหลออกจากสหรัฐฯ ไปสู่กลุ่มประเทศยุโรป รวมทั้งกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (EM-Asia) มากขึ้น นอกจากนี้การค้าระหว่างกัน 2) ข้อตกลงการค้าของสหรัฐฯ อาจพ่วงเงื่อนไขทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงได้ โดยถึงแม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะปฏิเสธข่าว แต่มักพบว่าในเวลาที่มีข่าวการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศเอเชีย มักมีการพูดถึงการแทรกแซงค่าเงินร่วมด้วย ซึ่งมักเห็นเงินเอเชีย เช่น เงินดอลลาร์ไต้หวัน เงินวอนเกาหลี แข็งค่าขึ้นในช่วงดังกล่าว ดังนั้น ประเด็นนี้อาจเป็นแรงกดดันเพิ่มเติมที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในระยะกลางถึงยาวได้ 3) สงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงน้อยลง และมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน ทำให้เงินหยวนมีแนวโน้มอ่อนค่าน้อยกว่าที่เคยประเมินไว้ จึงทำให้เงินบาทที่มีความสัมพันธ์กับเงินหยวนค่อนข้างสูงเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าน้อยลงตามไปด้วย และ 4) ราคาทองที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง จะเป็นแรงหนุนต่อการแข็งค่าของเงินบาทต่อไปได้
นอกจากนี้ ในเอเชียเองก็มีการค้าระหว่างกันมากขึ้น มีการจัดทำงบประมาณเกินดุลมากขึ้น ส่งผลให้มีการฝากเงินในสกุลเงินต่างประเทศสูงขึ้นตาม และหากแนวโน้มในปีนี้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ก็มีความเสี่ยงที่เงินที่กักตุนไว้ในต่างประเทศจะแลกกลับมาเป็นสกุลเงินท้องถิ่นมากขึ้น ก็จะเป็นแรงกดดันให้สกุลเงินในเอเชียแข็งค่าขึ้นด้วย
“เพราะฉะนั้น ตลาดจึงอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน คือการที่ตลาดปรับมุมมองการลงทุน จากที่เคยลงทุนสหรัฐฯ มา ก็ออกไปต่างประเทศมากขึ้น จากที่เคยอยากถือดอลลาร์มากขึ้น ก็อยากจะออกไป แต่ปีนี้เงินบาทจะแข็งค่าไม่มาก เพราะเงินทุนที่จะไหลเข้าไทยในปีนี้คงไม่มาก” นายวชิรวัฒน์กล่าว
นายวชิรวัฒน์อธิบายว่า สัดส่วนการลงทุนของไทยในต่างประเทศอยู่ในระดับต่ำ ทำให้กระแสเงินที่จะโยกกลับประเทศจะมีน้อย นอกจากนี้ ในแง่มูลค่า การลงทุนของนักลงทุนไทยในสินทรัพย์ต่างประเทศก็มีไม่มาก “เม็ดเงินที่จะถูกส่งกลับประเทศมีไม่เยอะเมื่อเทียบกับประเทศอื่น” ประเทศไทยเองก็ไม่ได้ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมากนัก สัดส่วนที่นักลงทุนต่างชาติเข้ามาถึงพันธบัตรรัฐบาลไทยก็ต่ำกว่าประเทศอื่น โดยพบว่ามีนักลงทุนต่างชาติถือครองเพียงราว 9.8% เท่านั้น
นายวชิรวัฒน์กล่าวว่า การแข็งค่าของเงินบาทจะยังไม่มากนัก และอาจแข็งค่าน้อยกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาคได้ เนื่องจากที่ผ่านมาสัดส่วนลงทุนต่างประเทศของไทยยังต่ำ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก ต่ำกว่า 5 เฉลี่ยของประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ทำให้แนวโน้มการนำเงินกลับเข้าไทย (repatriation flows) อาจจะมีน้อย โดยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลี หรือมาเลเซีย จะพบว่ามูลค่าการถือครองสินทรัพย์ต่างประเทศ (หุ้นและพันธบัตร) ของไทยยังต่ำกว่ามาก จึงทำให้โอกาสที่จะมี repatriation มากดดันให้เงินบาทแข็งค่านั้นมีน้อย
นอกจากนี้ ความสนใจของนักลงทุนต่างชาติต่อสินทรัพย์ไทยก็ยังมีไม่มากนัก สะท้อนจากสัดส่วนการถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทยของนักลงทุนต่างชาติ โดยพบว่ามีนักลงทุนต่างชาติถือครองเพียงราว 9.8% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค อีกทั้ง สัดส่วนพันธบัตรรัฐบาลไทยในดัชนี JPMorgan Government Bond Index-Emerging Markets ยังถูกปรับลดลงมาอยู่ที่ 8.8% จากเดิมเคยเกิน 10% จึงทำให้แนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายที่จะไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย อาจไหลเข้าไทยไม่มากนัก “จึงเป็นที่มาที่เรามองว่าเงินบาทจะอยู่ที่ 31.5-32.5 เทียบกับดอลลาร์ในปลายปี แต่อาจอ่อนค่าจากข่าวภาษีบางช่วง”
สำหรับประเด็นที่ต้องจับตาในช่วงนี้ คือ คำพิพากษาของศาลการค้าสหรัฐฯ เกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าที่ทรัมป์ได้ดำเนินไป โดยศาลพิจารณาว่าการดำเนินมาตรการไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ยื่นอุทธรณ์ไป ทำให้มาตรการยังมีผลบังคับใช้อยู่ในช่วงสั้นๆ ซึ่งประเด็นนี้จะช่วยลดความเสี่ยงด้านการอ่อนค่าของเงินบาทได้ เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ อาจจำเป็นต้องใช้กฎหมายมาตราอื่นเพื่อกลับมาขึ้นภาษีนำเข้า เช่น มาตรา 122 ที่มีเงื่อนไขว่ารัฐบาลจะไม่สามารถขึ้นภาษีนำเข้าสูงกว่า 15% ได้ หรือมาตรา 301 ซึ่งต้องใช้เวลาในการตรวจสอบประเทศคู่ค้านาน และอาจทำให้ต้องเลือกพุ่งเป้าไปที่ประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ ก่อน ด้วยเหตุนี้ จึงมองว่า เงินบาทอาจอ่อนค่าได้ไม่มากนักแม้ไทยจะถูกประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติม โดยให้จับตาช่วงเดดไลน์ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ที่อาจเห็นแรงกดดันทำให้เงินบาทอ่อนค่าได้ โดยมองกรอบเงินบาทในระยะสั้น (1-2 เดือนนี้) ที่ราว 32.30-33.30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
นายวชิรวัฒน์กล่าวถึงแนวโน้มดอกเบี้ยของไทยว่า คาดว่า กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ ขณะที่มุมมองของตลาดเริ่มปรับในเชิง hawkish มากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้โอกาสที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอาจจะลดลงได้อีก จากที่ปรับขึ้นตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรในตลาดโลก
“ตลาดเชื่อว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยได้อย่างน้อยอีก 1 ครั้งในปีนี้ ตลาดมองว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยครั้งต่อไปในเดือนตุลาคม จากที่จะคงดอกเบี้ยไว้สองครั้ง และโอกาสที่จะลดดอกเบี้ยไปที่ 1.25% มี 70% แต่ในมุมมองของ SCB เชื่อว่า กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ จึงมีโอกาสที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะลดลง” นายวชิรวัฒน์กล่าวและว่า ในปลายปีไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทย มีความอ่อนไหวต่อ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรในต่างประเทศค่อนข้างต่ำ เพราะสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติที่เข้าถือพันธบัตรไทยมีน้อย นอกจากนี้ ฐานะด้านต่างประเทศหรือเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยค่อนข้างดี ไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงติดอันดับ 5 ของโลก มีหนี้ต่างประเทศระยะสั้นน้อย