ดร.สุทธิ สุนทรานุรักษ์
ต่อจากตอนที่1 The Changing Game : ทุนนิยมฟุตบอลในโลกหลังโควิด (ตอนที่ 1)
การบูมของลีกซาอุ จากน้ำมันสู่ลูกหนัง–Saudi Pro League และ Football Diplomacy
“ซาอุดีอาระเบียไม่ได้แค่ซื้อนักเตะ พวกเขากำลังซื้อ ‘Narrative’ ใหม่ให้กับประเทศ”
ฟุตบอลในฐานะเครื่องมือรัฐ
หากพูดถึงซาอุดีอาระเบียในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ภาพจำหลัก ๆ อาจวนอยู่กับน้ำมัน มาตรการอนุรักษ์นิยม และข่าวด้านสิทธิมนุษยชนที่ถูกตั้งคำถามจากเวทีโลก แต่ในโลกหลังโควิด ภาพนี้เริ่มเปลี่ยน และฟุตบอลคือ “พาหนะสำคัญ” ของการเปลี่ยนแปลง
รัฐบาลซาอุฯ ภายใต้ Vision 2030 ของมกุฎราชกุมาร Mohammed bin Salman ได้เร่งพลิกโฉมประเทศให้เข้าสู่ยุคหลังน้ำมัน โดยวาง “Soft Power ผ่านกีฬาและวัฒนธรรม” เป็นกลยุทธ์หลัก
ในปี 2023-2024 ซาอุดีอาระเบียใช้ Public Investment Fund (PIF) ซึ่งเป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งรัฐ มูลค่ากว่า 700,000 ล้านดอลลาร์ เข้าไปถือหุ้นใน 4 สโมสรชั้นนำของประเทศ และลงทุนมหาศาลในการดึงนักเตะระดับโลก เช่น:
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (Al Nassr)
คาริม เบนเซม่า (Al Ittihad)
เนย์มาร์ จูเนียร์ (Al Hilal)
เอ็นโกโล่ ก็องเต้, ซาดิโอ มาเน่, ริยาด มาห์เรซ และอีกมากมาย
ผู้สนใจโปรดดู https://www.nytimes.com/athletic/4581869/2023/06/05/saudi-arabia-pif-pro-league/
ไม่ใช่แค่ “ลีก” แต่คือ “รัฐที่แปลงร่าง”
การมาของนักเตะเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากกลไกตลาดธรรมดา แต่มาจากการออกแบบโดยรัฐ การจัดสรรงบประมาณ การปิดดีลระดับนโยบาย และการวางเป้าหมายชัดเจนว่าฟุตบอลต้องเป็นแบรนด์ระดับโลก ของซาอุฯ ภายในเวลาไม่ถึง 10 ปี
ฟุตบอลจึงถูกใช้เพื่อ สร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้โลกเห็นว่าซาอุฯ เปิดกว้าง เปลี่ยนแปลง และก้าวสู่อนาคต
SPL ถูกใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศโดยเฉพาะเมืองอย่าง Riyadh และ Jeddah ที่กำลังพัฒนาเป็น “Sports Hub”
นอกจากนี้ SPL ยังสร้างแรงบันดาลใจและความภาคภูมิใจให้กับคนรุ่นใหม่ผ่านโมเดลนักเตะที่เป็น Global Icon
ท้ายที่สุดลีกซาอุยังส่งเสริมการท่องเที่ยว กีฬา และวัฒนธรรม โดยรัฐบาลมีแผนจัด FIFA World Cup 2034
ผู้สนใจโปรดดู https://www.insidethegames.biz/articles/1144032/saudi-arabian-launches-campaign

Saudi Pro League: เอลกลาซิโอแห่งตะวันออกกลาง
ด้วยนักเตะระดับโลกหลายสิบราย และการแข่งขันที่เร้าใจในลีก 18 ทีม ปัจจุบัน Saudi Pro League ไม่ได้เป็นเพียง “ลีกทางเลือก” แต่เริ่มถูกจับตามองในฐานะ “กลุ่มอำนาจที่สาม” ที่อยู่ระหว่างยุโรป (UEFA) และอเมริกาใต้ (CONMEBOL)
ตัวอย่างเช่น เกมระหว่าง Al Nassr vs Al Hilal เริ่มถูกเปรียบเทียบว่าเป็น El Clasico ฉบับอาหรับ
SPL มีรายได้จากสิทธิ์ถ่ายทอดสดพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในจีน อินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นักเตะบางคนรับค่าเหนื่อยมากกว่าที่เคยได้รับในยุโรปถึง 3 เท่า ตัวอย่าง โรนัลโด้รับประมาณ 200 ล้านดอลลาร์ต่อปี รวมโบนัสและสิทธิภาพลักษณ์
ฟุตบอลในฐานะ “การทูตเชิงรุก” (Proactive Diplomacy)
การเคลื่อนไหวของซาอุฯ สะท้อนแนวโน้มใหม่ของ “Football Diplomacy” ที่ผสมผสานระหว่างรัฐที่มีทุนมหาศาล ตลาดผู้บริโภคที่ขยายตัว การควบคุม Narrative ผ่านกีฬาและวัฒนธรรม
คล้ายกับที่กาตาร์ใช้ฟุตบอลโลก 2022 ในการเปลี่ยนภาพลักษณ์ประเทศ….
แน่นอนว่าซาอุฯ กำลังเดินบนเส้นทางเดียวกัน แต่ก้าวเร็วกว่า กล้ากว่า และใช้ทุนเต็มที่กว่า
นักวิเคราะห์ฟุตบอลหลายคนมองว่า SPL คือ การกระจายอำนาจในวงการฟุตบอล จากเดิมที่ศูนย์กลางอยู่ที่ยุโรปมาสู่โลกอาหรับ
ในมุมหนึ่ง เราควรยอมรับว่าซาอุฯ ทำให้โลกฟุตบอลตื่นตัวและ “แข่งขัน” กันในมิตินอกสนามมากขึ้น จากเดิมที่เราคุ้นเคยกับทีมเจ้าบุญทุ่มอย่างเรอัล มาดริด และบาร์เซโลน่า
มาถึงวันนี้ลีกที่กลายเป็นเจ้าบุญทุ่มอย่างแท้จริง คือ Saudi Pro Leaugue

บทสรุปของตอนที่ 2 อาจกล่าวได้ว่า “Saudi Pro League ไม่ใช่แค่การสร้างลีกฟุตบอล แต่คือการสร้างความชอบธรรมใหม่ให้กับรัฐ ผ่านพลังของทุนและการเล่าเรื่อง”
ซาอุฯ ไม่ได้แค่ซื้อผู้เล่น… พวกเขากำลังเขียนบทใหม่ของฟุตบอลโลกในแบบของตนเอง
ผู้สนใจเรื่อง SPL โปรดอ่านบทวิเคราะห์ของ Matt Monaghan ใน https://amp.sport360.com/article/football/asia/319206/how-the-saudi-professional-league-became-essential-viewing
ในตอนถัดไป เรามาดูกันว่า “AI, Data และการกำเนิดของฟุตบอลไร้แมวมอง” ได้เปลี่ยนแปลงระบบ Scouting และการบริหารจัดการด้วย AI ที่พลิกวงการฟุตบอลสู่ยุค Data and AI Disruption