จิตเกษม พรประพันธ์*
ขณะนี้สังคมเชื่อกันว่า “ข้าวไทยกำลังวิกฤติ” จากที่ไทยเคยเป็นผู้นำ บัดนี้ข้าวไทยตกอันดับในตลาดโลกแล้วทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพข้าว ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย อาทิ การทำนาแบบต่างคนต่างทำ ทำให้ไม่ประหยัดต่อขนาด และขายไม่ได้ราคาเพราะไม่มีอำนาจต่อรอง และเกษตรกรสูงวัยมีความเชื่อและคติการทำนาดั้งเดิมไม่สามารถปรับตัวสู่วิถีการทำนาแบบใหม่ที่เพิ่มผลิตภาพ เราจึงเห็นทั้งภาครัฐและเอกชนสนับสนุนการทำนาแปลงใหญ่ให้ชาวนารวมกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้/ประสบการณ์ในกระบวนการปลูกข้าว แบ่งปันหรือแชร์ปัจจัยการผลิตทำให้ประหยัดต้นทุน และการร่วมกันขายทำให้มีอำนาจต่อรองกับตลาดหรือพ่อค้าคนกลาง จนมีตัวอย่างเชิงประจักษ์แล้วว่าการรวมกลุ่มกันช่วยเพิ่มรายได้จากปริมาณผลผลิตและคุณภาพข้าวที่ดีขึ้น ทั้งนี้ นาแปลงใหญ่หลายๆกลุ่มที่สำเร็จมักมีตัวตั้งตัวตีจะคอยเป็นผู้ชี้แนะ ชักชวน และจูงใจคนในกลุ่มให้ร่วมมือกัน เข้าลักษณะเป็นผู้นำเปลี่ยนแปลงความเชื่อและคติแบบดั้งเดิม พาให้กลุ่มคล้อยตามไปสู่วิถีใหม่
บทความเรื่องข้าวนี้แบ่งเป็นสองตอน ตอนแรกจะเล่าถึงความสัมพันธ์ของภาวะผู้นำชาวนากับกระบวนการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำนาที่มีผลิตภาพดีขึ้น ตอนที่สองจะเล่าถึงผู้นำชาวนาพากลุ่มนาแปลงใหญ่ทางภาคกลางบอกเล่าถึงวิธีการปลูกข้าวลดโลกร้อนที่ “ทำถึง” เพิ่มรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตด้วย ซึ่งเป็นตัวอย่างในภาคปฏิบัติของ Thailand Taxonomy ด้านเกษตรได้เป็นอย่างดี
จากการลงพื้นที่พบผู้ประกอบการตามโครงการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและธุรกิจ (Business Liaison Program) ซึ่งรวมถึงชาวนาหลายๆท่านที่เชี่ยวชาญและเป็นผู้นำการปลูกข้าวสมัยใหม่ เช่น เมื่อปีก่อนเล่าถึงการปลูกข้าวยั่งยืนของกลุ่มชาวนาในภาคอีสาน1 ซึ่งได้พบพ่อเกรียงไกร จันทร์เพ็ง ประธานวิสาหกิจชุมชนข้าวยั่งยืนโพธิ์ใหญ่ อ.วารินชำราบ คุยกับพี่ธนู ทัฬหกิจ หจก.นาแปลงใหญ่บ้านดอนหมู อ.ตระการพืชผล ทั้ง 2 อยู่ จ.อุบลราชธานี รวมทั้งพ่อวันนา บุญกลม ประธานเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ จ.อำนาจเจริญ
มาปีนี้ได้ออกสำรวจภาวะการผลิตภาคเกษตรในภาคกลาง2 ได้พบกับกลุ่มชาวนาที่เดิมบางนางบวช สุพรรณบุรี เป็นกลุ่มนาแปลงใหญ่ โดยมี “พี่ติ๊ก คุณสวณีย์ โพธิ์รัง” ในฐานะผู้จัดการแปลงนาเดิมบางฯ เธอมีบทบาทมากมายด้านการพัฒนาปลูกข้าว ถึงขั้นเป็น celeb หรือ content creator ทีเดียว และถูกเรียกว่าเป็น smart farmer เต็มตัว เป็นต้นแบบที่หน่วยงานด้านเกษตรทั้งภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศต่างกล่าวถึงเธอครับ
ผู้เขียน พบว่า ชาวนาที่กล่าวถึงไม่ว่าจะเป็นพ่อเกรียงไกร พี่ธนู พ่อวันนา และพี่ติ๊ก รวมถึงผู้นำเกษตรกรพืชอื่นๆ และปศุสัตว์ อีกหลายๆท่าน จะมีคุณลักษณะของภาวะผู้นำ (leadership competencies) หลัก ๆ ที่คล้ายกันที่พอจะยกตัวอย่างได้ 3 ด้าน ได้แก่
1) เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (change agent) มีความกล้าและเปิดรับที่จะปรับตัวจากวิถีเดิมสู่สิ่งแวดล้อมใหม่ ทดลองนำวิธีการใหม่ๆเข้ามาประยุกต์ใช้ ล้มเร็วลุกเร็ว โดยผู้นำลักษณะนี้มักแสวงหาและจะขวนขวายหาความรู้ไม่ยอมจำนนกับข้อจำกัดเดิมๆ จากที่สัมผัสกับพี่ธนู และพี่ติ๊กแล้ว ผู้นำชาวนาสองท่านนี้มักกระตือรือร้นเข้าร่วมอบรม รับความรู้เชิงวิชาการจากทางการและเอกชน เมื่อรับความรู้มาแล้วพยายามทดลองปฏิบัติตามและปรับวิธีให้เหมาะสมและเข้ากับนาข้าวของตนเอง เช่น วิธีเอาชนะธรรมชาติด้วยการขุดบ่อจัดการน้ำของพี่ธนูแทนการทำนารอน้ำฝนอย่างเดียว เป็นต้น
2) การส่งเสริมความร่วมมือและการสร้างเครือข่ายกับชุมชน (participation and networking) ผู้นำชาวนาที่กล่าวถึงทุกท่านไม่ได้ทำงานแบบ “ข้ามาคนเดียว (one man show)” แต่ชอบที่จะมีส่วนร่วมสร้างทุนทางสังคม (social capital) ในด้านต่างๆของชุมชน ไม่ปฏิเสธงานเพื่อส่วนรวม พูดอีกนัยหนึ่งคือใส่หมวกหลายใบ บางท่านเป็นผู้นำ/สมาชิกสหกรณ์ กองทุนหมู่บ้าน และกลุ่มเกษตรกรที่ไม่จำกัดแค่การปลูกข้าว เช่น พี่ติ๊ก เป็นวิทยากรขาประจำถ่ายทอดความคิดแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ในวงการสัมมนาข้าวยั่งยืน ให้กับชาวนาด้วยกันเอง นักวิชาการ ข้าราชการ และบริษัทเอกชน โดยเน้นการทำงานแบบเกิดพลังร่วม (synergy) เสนอแนะข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์
3) การวางแผนและความคิดเชิงกลยุทธ์ (planning and strategic thinking) รู้จักวางแผนอย่างเป็นระบบ สังเกตได้จากทุกคนในกลุ่มนาแปลงใหญ่จะขยันจดบันทึกข้อมูลการเพาะปลูกและจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างละเอียดสำหรับประกอบการวางแผน/ตัดสินใจ และลงมือปลูกข้าวเป็นขั้นเป็นตอนโดยจัดการเชื่อมโยงห่วงโซ่การเพาะปลูกและลงมือปฏิบัติในนาข้าวให้เหมาะสมกับบริหารความเสี่ยงในแปลงนากับด้านธุรกิจเพื่อควบคุมต้นทุน ใฝ่รู้เพื่อทราบและเข้าใจความต้องการของตลาดและปรับปรุงคุณภาพผลิตผลเพื่อรักษาตลาดและรายได้ โดยสื่อสารเก่งเล่าอธิบายกระบวนการที่ฉะฉานแบบเข้าใจอย่างถ่องแท้ หรือ “ระเบิดจากข้างใน” เล่าได้ตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงรายได้จากการขาย รวมทั้งแผนงานที่จะขยายผลผลิตหรือรายได้ให้เพิ่มขึ้น
ดังนั้น ภาวะผู้นำจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยความสำเร็จของการทำนาแปลงใหญ่แบบรวมกลุ่ม ที่ผู้นำได้รับการยอมรับจากสมาชิกในกลุ่มในการทำนาในวิถีเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ต้องขอเรียนย้ำถึงหัวข้อเรื่องว่า “ผู้นำ” อย่าง พี่ติ๊ก พี่ธนู พ่อเกรียงไกร และพ่อวันทา เป็นของแทร่ แต่ไม่ได้มีเยอะ คนกลุ่มนี้ถูกเรียกว่าเป็นหัวขบวน หัวไว ใจสู้ จากที่วงวิชาการส่งเสริมการเกษตรจำแนกเกษตรกรไว้ 6 กลุ่ม แบ่งตามสัดส่วนการแจกแจงปกติ ได้แก่
- 1) หัวไวใจสู้ (innovator) 2.5%
2) ขอดูทีท่า (early adopter) 13.5%
3) เบิ่งตาลังเล (early majority) 34%
4) หันเหหัวดื้อ (late majority) 34%
5) งอมือจับเจ่า (late adopter or laggard) 13.5%
6) ไม่เอาไหนเลย (dogmatist) 2.5%
โจทย์สำคัญวันนี้เดี๋ยวนี้เราจะทำอย่างไรให้กลุ่ม 1-2-3 มีมากขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาปรับโครงสร้างการผลิตข้าวไทยที่เคยเป็นจุดแข็งให้กลับมาดีกว่าเดิม ส่งเสริมให้ไทยเรามีความมั่นคงทางอาหาร (food security) และเป็นแหล่งอาหารโลก ท่ามกลางความไม่แน่นอนและความผันผวนที่โลกเผชิญทั้งภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิเศรษฐศาสตร์ และภาวะโลกร้อน
ประเทศไทยไม่สิ้นคนดี ในแวดวงวิชาการตระหนักถึงปัญหาวิกฤติข้าวไทยและการพัฒนาผลิตภาพ ซึ่งบทความนี้ต้องกล่าวถึง อาจารย์บอย รศ.ดร.ภูมิสิทธิ์ มหาสุวีระชัย ภาควิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มุ่งมั่นกับงานวิจัยข้าวยั่งยืนและริเริ่มโครงการอบรมเกษตรกรสร้างผู้นำ/หัวขบวนให้ไปต่อยอดขยายผลการปลูกข้าวยั่งยืนหรือวิถีการปลูกข้าวสมัยใหม่ให้เป็นที่แพร่หลาย โดยปีนี้ในเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา โครงการอบรมฯมีเกษตรกรชาวอีสานเข้าร่วมกว่า 1,200 คน เป็นการสร้างเครือข่ายและกระจายองค์ความรู้/ประสบการณ์การทำนาวิถีใหม่ที่แข็งแรงและกว้างขวางขึ้นเรื่อย ๆ จึงขอชื่นชมและเอาใจช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตข้าวไทยเอาชนะวิกฤติให้ได้ครับ
สำหรับกระบวนการปลูกข้าวลดโลกร้อนและขายคาร์บอนเครดิตได้เป็นอย่างไร และช่วยเพิ่มรายได้ให้กับชาวนาได้มากน้อยเพียงใด นำไปสู่ภาคปฏิบัติด้านเกษตรของ Thailand Taxonomy เช่นไร พบกันครั้งหน้าตอนที่สองครับ
1.“นาที่นี่…ไม่มี…หนี้ที่นา” – ThaiPublica
2. ขอขอบคุณธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) โดยพี่ทรงพร ยองใย ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสาขา ภาคตะวันตก และสาขาเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี