ปตท. ปรับกลยุทธ์ใหม่ โฟกัสธุรกิจหลัก Hydrocarbon ลดความเสี่ยง สร้างเสถียรภาพการลงทุน เล็งไฮโดรเจนและ SMR เป็นพลังงานในอนาคต พร้อมปรับ Net Zero ปี 2050 เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อม

การปรับกลยุทธ์ใหม่ปี 2025 ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. ถือเป็นความท้าทาย จากการหันกลับมาเน้นธุรกิจที่มีความถนัดเชี่ยวชาญ คือ ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมัน ขณะที่ทั่วโลกต้องการการสร้างสมดุลสิ่งแวดล้อมการลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และเปลี่ยนผ่านธุรกิจพลังงานไปสู่พลังงานสะอาด
เมื่อเร็วๆนี้ ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ได้ยืนยันผ่านการบรรยายการปรับวิสัยทัศน์ใหม่ ภายใต้สโลแกน “ปตท.แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” หรือ “TOGETHER FOR SUSTAINABLE THAILAND, SUSTAINABLE WORLD” ว่ากลุ่มปตท.จะเดินหน้าธุรกิจไปคู่กับการสร้างความยั่งยืนและการเดินไปสู่ Carbon Neutrality และ Net Zero Emissions ตามที่ประกาศไว้ได้ตามเป้าหมาย
สำหรับเหตุผลการปรับกลยุทธ์ใหม่ของกลุ่ม ปตท.ดร.คงกระพัน บอกว่า มาจากสถานการณ์โลกที่มีความเปลี่ยนแปลง ผันผวน และมีปัญหา ทำให้เราต้องใช้เงินอย่างชาญฉลาด ขณะที่ปัจจัยภายในก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ปตท. จึงต้องดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้สมดุล จึงปรับกลยุทธ์ในการทำธุรกิจ ตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป โดยจะเน้นสร้างความมั่นคงเติบโตด้วยการลงทุนที่ดี ลดความเสี่ยง ไปพร้อมกับการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
“จะเน้นสร้างความมั่นคงเติบโตด้วยการลงทุนที่ดี ลดความเสี่ยงกับสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เพราะปตท.เห็นแล้วว่าทั้งปัจจัยภายนอกภายในที่มันวุ่นวายไปหมด ความผันผวนทั้งเรื่องพลังงาน เศรษฐกิจ ความสำเร็จกับความเสี่ยงในการลงทุนมันไม่เท่าเทียมกัน เราจะลงทุน แต่ไม่ต้องลงเยอะ แต่ลงทุนให้ดี เพราะโอกาสในการลงทุนที่ดี เติบโตแบบก้าวกระโดด มันมีน้อย โอกาสที่การลงทุนแล้วจะชนะมีน้อย เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญคือการสร้างเสถียรภาพ เพราะ ปตท.เป็นบริษัทที่มั่นคง มีหน้าที่สำคัญในการช่วยเหลือประเทศ เราต้องแข็งแรง ร่วมกับสังคมไทย แล้วเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน โดยการสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานให้กับประเทศ”
ดร.คงกระพัน ย้ำว่า ปตท.จะโฟกัสความแข็งแรงในธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจพลังงานฟอสซิล/Hydrocarbon ไปพร้อมการเติบโตเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อม โดยพัฒนา Carbon Capture and Storage (CCS) หรือการกักเก็บคาร์บอน และโครงการพลังงานไฮโดรเจน โดยจะใช้ไฮโดรเจนเป็นพลังงานทดแทนในโรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรม เพราะการสร้างความยั่งยืนถือเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจอยู่แล้ว
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของปตท. แบ่งออกเป็น 3 ระยะดังนี้
ระยะสั้น จะเน้นการลงทุนเพื่อสร้าง Synergy ในกลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่น ที่เรียกว่าโครงการ D1-Domestic Products Mgmt โดยตั้งเป้าจะสามารถทำกำไรเพิ่มกว่า 3 พันล้านบาทต่อปี ภายใน 3 ปี และจะนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดต้นทุน ภายใต้โครงการที่เรียกว่า MissionX – Operational Excellence เพื่อเพิ่ม EBITDA ตั้งเป้าทั้งกลุ่ม ปตท. ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท
ระยะกลาง ต้องมองหาพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งด้านการตลาด หรือด้านเทคโนโลยี เข้ามาร่วมถือหุ้นกับ ปตท. ที่ถืออยู่ใน PTTGC IRPC และไทยออยล์ โดยที่ ปตท. ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นหลัก รวมถึงการเป็นศูนย์กลางการค้า LNG ในภูมิภาค หรือ LNG Hub
ระยะยาว คือการเข้าไปลงทุนในธุรกิจกักเก็บคาร์บอน ที่จะดำเนินการผ่าน ปตท.สผ. และพลังงานไฮโดรเจน เพื่ออุตสาหกรรมที่เริ่มต้นด้วยการนำเข้าไฮเดรเจนจากประเทศที่มีต้นทุนการผลิตไฮโดรเจนที่ต่ำเช่นจากอินเดียหรือกลุ่มตะวันออกกลาง และมองหาโอกาสการลงทุนในโรงไฟฟ้าปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ SMR อยู่ระหว่างศึกษาโดย บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC
สำหรับธุรกิจ Non-Hydrocarbon จะมีการปรับลดความเสี่ยงในธุรกิจ เช่น การเลิกกิจการธุรกิจด้านโลจิสติกส์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องพลังงาน การลดสัดส่วนการถือหุ้นในโรงงานประกอบรถยนต์ไฟฟ้า โดยจะยังเน้นการลงทุนเฉพาะ EV Charging ผ่านทางโออาร์ ส่วนที่เป็นธุรกิจ Life & Science ที่ยังทำกำไร จะเปิดทางให้พันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจเข้ามาร่วมถือหุ้นและการจัดหาแหล่งเงินทุนให้ทำธุรกิจอยู่รอดได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาบริษัทแม่
ดร.คงกระพัน กล่าวด้วยว่า ทั้ง 3 กลยุทธ์คือธุรกิจหลักที่เป็นหน้าที่ของปตท.และเป็นสิ่งที่ปตท.ถนัดและทำให้ประเทศมีพลังงานที่เหมาะสม เพราะฉะนั้นในปีนี้ยังไม่ไปลงทุนเยอะ ถ้าเรายังไม่มั่นใจ อาจมีความเสี่ยง”
ทบทวนเป้าหมายNet Zero ปี 2050
ส่วนในเรื่องของการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบันที่มีเรื่องโลกร้อนและสิ่งแวดล้อม กลุ่ม ปตท.ยังคงให้ความสำคัญโดยมีแผนดำเนินการควบคู่กันไป
“ธุรกิจหลักของ ปตท.มีการปล่อยคาร์บอน แต่ด้วยสถานการณ์ที่ทั่วโลกเห็นตรงกันว่าในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดในอนาคต ทั้ง แก๊สธรรมชาติและน้ำมัน ยังเป็นพลังงานสำคัญของทั่วโลกอย่างน้อยในอีก 30 ปีข้างหน้า เพราะฉะนั้นแก๊ส ยังต้องมีการใช้ไปอีกนาน เราจึงยังคงต้องเน้นการทำธุรกิจเรื่องแก๊สเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม เพราะปตท.ถนัด ทำมาตั้งแต่ ยุคโชติช่วงชัชวาล เราต้องทำให้ดีและไม่แพ้ใครในโลก ขณะเดียวกันเราต้องสร้างสมดุลเรื่องสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆกัน”
การสร้างความสมดุลระหว่างการทำธุรกิจหลักคือ แก๊สธรรมชาติและน้ำมัน จึงถือเป็นความท้าทายของ ปตท. แต่ด้วยระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน และเพื่อทำให้เกิดการลงทุนด้วยต้นทุนที่เหมาะสม ไม่สร้างภาระให้กับผู้บริโภค ปตท.จึงอยู่ระหว่างการทบทวนกรอบระยะเวลา (Time Line) ของการดำเนินการที่ยังมุ่งไปสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero ปี 2050
“เรากำลังทบทวนว่าเป้าหมายปี 2050 จะมีรายละเอียดดำเนินการอย่างไร ถึงจะเหมาะสม อาจจะเร็วหรืออาจจะช้าด้วยต้นทุน และอาจจะเร็วบ้างนิดหน่อยกับบางบริษัทในกลุ่ม ซึ่งเรากำลังทบทวนเพื่อให้เกิดความชัดเจนมากขึ้นในกลุ่มบริษัทของเรา”
ดร.คงกระพันบอกว่ากำลังปรับ Portfolio องธุรกิจหลักในกลุ่มปตท. ทั้งแก๊สธรรมชาติ น้ำมัน และ ปิโตรเคมี โดยจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint)ให้ต่ำลงเรื่อยๆ คาดว่าจะลดคาร์บอนฯได้ประมาณ 30% ในปี 2030
“แม้วิธีเก็บคาร์บอนที่ดีที่สุดคือการปลูกป่า และเราได้ปลูกไปแล้ว 2 ล้านไร่ แต่ขณะนี้ไม่มีพื้นที่ปลูกป่าเพิ่ม และต้องปปรับปรุงประสิทธิภาพโรงงานด้วยการนำพลังงานสะอาดมาใช้ ขณะที่กลุ่ม GPSC ต้องลดการปล่อยคาร์บอนลง ไม่ใช้ถ่านหินและใช้พลังงานทดแทน/ไฮโดรเจนมากขึ้น รวมถึงการไฟฟ้าจากปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ SMR ”
นอกจากนี้กลุ่มปตท.ตั้งเป้าหมายเดินไปสู่ Net Zero ปี 2050 ด้วยการลงทุนใน 2 โครงการหลักคือ 1.พัฒนาโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Capture and Storage (CCS) โดยบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) 2.โครงการพัฒนาไฮโดรเจน ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีและต้นทุนที่สูง ทำให้ในเบื้องต้นจะนำเข้าไฮโดรเจน โดยคาดว่าจะนำเข้ามาใช้ได้หลังจากที่รัฐกำหนดสัดส่วนไฮโดรเจนในแผนพลังงานแห่งชาติในปี 2030
ดร.คงกระพันกล่าวว่าเรื่อง CCSไม่ได้ตั้งเป้าหมายแค่การลดคาร์บอนในกลุ่ม ปตท. แต่ยังหมายถึงภาพรวมของเป้าหมายประเทศ ซึ่งปตท.จะเป็นตัวหลักในการเริ่มต้น โดยจะให้บริการกับกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทยทั้งหมด ที่ต้องการจัดเก็บคาร์บอน
“ความเป็นไปได้ในการลดคาร์บอนเป็นศูนย์ตามเป้าหมาย ต้องมีโครงการ CCS ดังนั้น ปตท.จะเป็นคนเก็บและทำ CO2 ให้เป็นของเหลว ใส่ท่อวิ่งไปที่มีหลุมแก๊สที่เอาแก๊สมาใช้หมดแล้ว เพื่อเอา CO2 ไปเก็บไว้ โดยขณะนี้เรื่องเทคโนโลยีในต่างประเทศทำได้แล้วเหลือเพียงแค่กฎหมายที่ต้องรอภาครัฐมากำหนด”

เดินหน้า 3 กลยุทธ์สร้างความยั่งยืน
นายรัฐกร กัมปนาทแสนยากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ความยั่งยืนองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของ ปตท.คือ “แข็งแรงร่วมกับสังคมไทย” และ “เติบโตในระดับโลก” อย่างยั่งยืน ดังนั้น กุญแจสำคัญคือ ความยั่งยืน ปตท.จึงต้องเดินหน้าทำธุรกิจคู่กับเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อม
สำหรับกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืนของกลุ่ม ปตท. ประกอบด้วย 3 กลยุทธ์คือ
- ธุรกิจที่มีความยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศ Climate-Reilience Business โดยปรับ portfolio ลดการใช้ฟอสซิล เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน และบริหารจัดการด้านต้นทุน
- ธุรกิจที่ใส่ใจเรื่องคาร์บอน Carbon Conscious Business รวมถึงผนึกพันธมิตรธุรกิจ โดยใช้เทคโนโลยีในการลดคาร์บอน เพิ่มประสิทธิภาพสินค้าให้เป็น Green Energy
- การร่วมมือ การสร้างสรรค์ เพื่อทุกคน Coalition, Co-creation & collective Efforts for All การพัฒนาโครงการการดักจับและการจัดเก็บคาร์บอน (CCS) และการใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนเป็นส่วนผสมในกลุ่มอุตสาหกรรม ตามแผน PDP ฉบับใหม่ สัดส่วน 5% รวมถึงการปลูกป่า
นายรัฐกรกล่าวว่าโครงการ CCS จะดำเนินการทั้งซัพพลายเชน ซึ่งกลุ่ม ปตท.มีการปล่อยคาร์บอนประมาณ 50 ล้านตันต่อปี จึงต้องหาเทคโนโลยีในการเก็บคาร์บอน เบื้องต้นมองว่าจะสามารถกักเก็บประมาณ 10 ล้านตันต่อปี ส่วนจะเชิงพาณิชย์จะต้องใช้เวลามาก โดยคาดว่าอาจจะเกิดขึ้นหลังปี 2035
สำหรับปัญหาของการทำ CCS ขณะนี้ยังไม่มีกฎหมายในการสนับสนุนการวิจัยและศึกษาเพื่อสำรวจพื้นที่ใต้ทะเลจากรัฐบาล ดังนั้นรัฐจะต้องออกกฎระเบียบให้ชัดเจนรวมถึงงบประมาณ เพื่อให้เอกชนได้เดินหน้าศึกษาและลงทุน และหลังจากนั้นเมื่อดูโมเดลเสร็จ จึงสามารถเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสม ซึ่งขณะนี้ได้มีการหารือทั้งกระทรวงพลังงาน และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อยู่บ้างแล้ว
ส่วนโครงการไฮโดรเจนเพื่อภาคอุตสาหกรรมอาจจะยังไกล โดยวันนี้กลุ่ม ปตท.จะยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas) ในปริมาณหลัก แต่วันที่ไฮโดรเจนมีราคาต่ำลงและเทียบเท่ากับ Natural Gas วันนั้นจะมีการใช้ไฮโดรเจนมากขึ้น เพราะไฮโดรเจนเผาไหม้โดยไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนเลย โดยต้นทุนเบื้องต้นต่อหน่วยของไฮโดรเจนเมื่อเทียบกับการใช้ Natural Gas อยู่ที่ 4-5 เท่า
นายรัฐกร กล่าวว่า ในระยะสั้นเรายังผลิตไม่ได้เพราะต้นทุนยังสูง จะนำไฮโดรเจนเข้ามาผสมกับ Natural Gas 5% ตามแผน PDP ซึ่งมองว่าการส่งมาจากอินเดียจะคุ้มกว่า โดย PTT trading การนำเข้ามาในรูปแบบแอมโมเนีย สามารถนำไปบริหารจัดการที่โรงไฟฟ้าถ่านหินได้ทันที ไม่ต้องเปลี่ยนเป็นไฮโดรเจน คือ การส่งแอมโมเนียไปที่โรงไฟฟ้าถ่านหินโดยตรง หรือนำเข้าแอมโมเนียมาเปลี่ยนเป็นไฮโดรเจนและส่งไปให้โรงไฟฟ้า ซึ่ง ปตท. อยู่ระหว่างศึกษาทั้ง 2 รูปแบบ เพื่อทำให้ไทยเป็น International Gas
อย่างไรก็ตาม นายรัฐกร กล่าวว่าทั้ง CCS และ ไฮโดรเจน เป็นหนทางทำให้กลุ่ม ปตท. และประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero โดยรัฐบาลต้องสนับสนุน ออกนโยบายต่างๆ เพื่อเปิดทางให้สามารถดำเนินการได้โดยไม่ติดข้อกฎหมาย เช่น การดำเนินการเรื่อง CCS ที่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีกฎหมายอนุญาตให้ทำการสำรวจพื้นที่ใต้ทะเล ดังนั้น จึงจะต้องออกกฎระเบียบให้ชัดเจน รวมถึงงบประมาณสนับสนุน เพื่อให้เอกชนได้เดินหน้าศึกษาและลงทุนได้