ThaiPublica > เกาะกระแส > ครม.เห็นชอบโยก LTF เข้ากองทุน Thai ESGX ลดหย่อนภาษี 5 แสน ดึงเม็ดเงินใหม่หนุนตลาดหุ้น พ.ค.-มิ.ย.

ครม.เห็นชอบโยก LTF เข้ากองทุน Thai ESGX ลดหย่อนภาษี 5 แสน ดึงเม็ดเงินใหม่หนุนตลาดหุ้น พ.ค.-มิ.ย.

11 มีนาคม 2025


ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 11 มีนาคม 2568 เห็นชอบการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน (ESG) และเพิ่มเสถียรภาพตลาดทุนไทย โดยอนุมัติจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) และสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF เป็นหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ไม่เกิน 500,000 บาท

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในวันนี้(11 มีนาคม 2568 )กระทรวงการคลังได้เสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในการลงทุนในกองทุน LTF และ กองทุน Thai ESGX ไทยอีเอสจี เอ็กซ์ตร้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง จากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ และเพื่อให้ผู้ที่ถือครองกองทุน LTF มีทางเลือกในการตัดสินใจ

นายพิชัยกล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยที่เคยสูงถึงระดับ 1,400-1,500 จุด ในช่วง 6-7 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวลงมาที่ระดับ 1,200 จุด จากความไม่เชื่อมั่นต่อการควบคุมการขายช็อต (short-sell) รวมทั้งการซื้อขายแบบโปรแกรมเทรด ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ก็ได้ดําเนินการแก้ไขแล้ว ประกอบกับการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ใหม่ ตลาดก็กระเตื้องขึ้น แต่ปัจจุบันสถานการณ์ทั่วโลกได้รับกระทบจากนโยบายของสหรัฐที่มีต่อประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะ แคนาดา เม็กซิโก และจีน ตลาดหุ้นโลกปรับตัวลง โดยในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงแล้ว 8% อื่นด้วย ตลาดหุ้นไทย ก็ได่รับผลกระทบเช่นกัน ดัชนีไหลลงมาที่ระดับ 1,200 จุด แต่ฟื้นตัวขึ้นบ้าง

ที่ผ่านมาได้มีการลงทุนใน กองทุน LTF เพื่อประโยชน์ทางภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา ก็คือได้รับลดหย่อนภาษี เมื่อถือจนครบกำหนดทั้ง 5 ปี หรือ 7 ปีก็สามารถขายออกได้ ในขณะเดียวกันผู้ลงทุนใช้การลงทุนในกองทุน LTF เพื่อรับผลตอบแทนจากการลงทุน แต่ปัจจุบันนักลงทุนที่ถือครองมาครบกำหนดแล้วรอว่ารัฐบาลจะมีมาตรการอย่างไรต่อกองทุน ETF เพื่อตัดสินใจได้ถูกว่าควรจะขายออกหรือควรจะถือต่อไป

“มาตรการทันทีที่เราควรทํา คือ ควรจะทําให้ LTF มีทางเลือก เราจึงได้เสนอ กองทุน Thai ESGX ไทยอีเอสจี เอ็กซ์ตร้า ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งน่าจะจูงใจผู้ที่ถือครองกองทุน LTF ที่มีมูลค่ารวมกัน 180,000 ล้านบาท ไม่ขายออก ให้โยกเงินจากกองทุน LTF ที่ยังให้ผลตอบแทนในแง่เงินปันผลที่ดี มายังกองทุน Thai ESGX เพื่อรับผลประโยชน์ทางภาษีอีกครั้ง โดยให้วงเงินลดหย่อน 500,000 บาทแล้ว ในปี 2568 ก็ให้ใช้สิทธิประโยชน์ได้ 300,000 บาทและอีก 200,000 บาทก็ให้ใช้ในปีที่ 2 ปีที่ 3 ปีที่ 4 ปีที่ 5 ปีละ 50,000 บาท” นายพิชัยกล่าว

นอกจากนี้เมื่อพิจารณาจากข้อมูลการลงทุนในกองทุน LTF พบว่า เกือบ 80% ของกองทุน LTF ถือครองโดยคนกว่า 30% เท่านั้นเอง และเป็นกลุ่มคนที่ต้องการลงทุนเพิ่มจึงได้ให้สิทธิสำหรับเงินลงทุนใหม่ใน กองทุน Thai ESGX ด้วย แต่จะให้ลงทุนได้ครั้งเดียว โดยเปิดให้ลงทุนได้ในช่วงเดือนเดือนพฤษภาคม ถึงมิถุนายนเท่านั้น แต่ได้รับสิทธิประโยชน์ครั้งเดียว 300,000 บาท ดังนั้นวงเงินลดหย่อนในกองทุน THESG คือ 500,000 บาท วงเงินลดหย่อน กองทุน Thai ESGX อีก 300,000 บาทสําหรับเม็ดเงินใหม่

“นี่คือสิ่งที่เราทําขึ้นมา เพื่อที่จะให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจ และทั้ง ก.ล.ต. กับตลาดหลักทรัพย์กําลังทำความเข้าใจกับบริษัทจดทะเบียนเกี่ยวกับ การสร้างความยั่งยืนด้วย ESG ต้องช่วยกันปรับตัว” นายพิชัยกล่าว

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ร่วมกับ ตัวแทนสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและ สมาคมบริษัทจัดการลงทุนร่วมแถลงข่าวสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน (ESG) วันที่ 11 มีนาคม 2568

ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ร่วมกับ ตัวแทนสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและ สมาคมบริษัทจัดการลงทุนร่วมแถลงข่าวสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน (ESG)

นายพรชัยเปิดเผยว่า วันที่ 11 มีนาคม 2568 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ร่างกฎกระทรวงฯ) ตามมาตรการการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน (ESG) และเพิ่มเสถียรภาพตลาดทุนไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาเสถียรภาพและยกระดับการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และการบริหารเงินลงทุนของผู้ลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long-Term Equity Fund: LTF) ตลอดจนส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนกิจการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environment, Social and Governance: ESG) โดยมาตรการดังกล่าว มีสาระสำคัญ สรุปได้ ดังนี้

1. จัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) และสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF เป็นหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX ให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จัดตั้งกองทุนขึ้นมาใหม่ โดยยื่นขออนุมัติจัดตั้งกองทุน Thai ESGX ที่มีนโยบายการลงทุนในทรัพย์สินที่ออกโดยผู้ออกหรือกิจการในประเทศไทยที่มีคุณสมบัติด้านความยั่งยืน โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) และจะต้องลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืนเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของ NAV ทั้งนี้ บลจ. จะเปิดให้ผู้ลงทุนสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนของ LTF ทั้งหมดที่ถืออยู่ในทุก บลจ. เป็นหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX รวมทั้งเปิดขายให้กับผู้ลงทุนทั่วไป

2. มาตรการภาษีเพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดทุนไทยและส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทยตามร่างกฎกระทรวงฯ ประกอบด้วย
2.1 การลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ลงทุนที่ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX
2.1.1 สิทธิประโยชน์ทางภาษี

    1) เงินที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX สามารถนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในอัตราไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมิน เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท โดยจะต้องซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX ภายในระยะเวลา 2 เดือน ตั้งวันที่ 1 พฤษภาคม – วันที่ 30 มิถุนายน 2568
    2) เงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้รับจากการขายหน่วยลงทุนตามข้อ 1) ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

2.1.2 เงื่อนไขการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี

    ผู้ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX ต้องถือหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX ไม่น้อยกว่า 5 ปีนับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน

2.2 การลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ลงทุนที่ถือหน่วยลงทุนในกองทุน LTF และได้สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนดังกล่าวเป็นหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX
2.2.1 สิทธิประโยชน์ทางภาษี

    1) มูลค่าของหน่วยลงทุนทั้งหมดที่ผู้มีเงินได้ถือในกองทุน LTF และได้สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนดังกล่าวเป็นหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX สามารถนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ไม่เกิน 500,000 บาท โดยปีภาษี 2568 ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท และปีภาษี 2569 – 2572 ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเฉพาะส่วนที่เกิน 300,000 บาท แต่ไม่เกิน 500,000 บาท โดยได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคลลธรรมดาเป็นจำนวนเท่า ๆ กันในแต่ละปีภาษี กล่าวคือ ไม่เกินปีละ 50,000 บาท
    2) เงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้รับเนื่องจากการขายหน่วยลงทุนตามข้อ 1) ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

2.2.2 เงื่อนไขการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี

    ผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุน LTF จะต้องแสดงความประสงค์สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนทั้งหมดในกองทุน LTF ทั้งจำนวนเป็นหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ภายใน 2 เดือนนับแต่วันที่กองทุน Thai ESGX เปิดให้สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนครั้งแรก แต่ไม่เกินวันที่ 30 มิถุนายน 2568 โดยจะต้องถือหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX ไม่น้อยกว่า 5 ปีนับตั้งแต่วันที่สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน ทั้งนี้ การคำนวณเงินได้ที่ได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ใช้จำนวนหน่วยลงทุน ณ วันที่คณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติ และมูลค่าหน่วยลงทุนให้ถือราคา ณ วันที่แจ้งความประสงค์

สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ในปี 2568 วงเงินลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับกองทุน Thai ESGX เป็นวงเงินเพิ่มเติมจากวงเงินลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปัจจุบันสำหรับกองทุน Thai ESG และสำหรับในปี 2569 เป็นต้นไป วงเงินลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับกองทุน Thai ESGX จะรวมอยู่ในวงเงินลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเดียวกับวงเงินลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปัจจุบันสำหรับกองทุน Thai ESG

โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวเพิ่มเติมว่า ร่างกฎกระทรวงฯ จะช่วยเพิ่มการลงทุนในกิจการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล และเป็นการเพิ่มทางเลือกในการลงทุนสำหรับนักลงทุน ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญสนับสนุนไม่ให้เงินลงทุนไหลออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อันจะเป็นการเพิ่มเสถียรภาพของตลาดทุนไทยและสร้างบรรยากาศที่ดีในการลงทุน

นายพรชัยกล่าวว่า ปัจจุบันกองทุน LTF โดยรวมมีมูลค่า 180,000 ล้านบาท คาดว่าจากมาตรการนี้จะมีเงินจากกองทุน LTF เดิมโยกมาที่กองทุน Thai ESGX ประมาณ 75% คิดเป็น 135,000 ล้านบาท และมีเม็ดเงินใหม่ไหลเข้ากองทุน Thai ESGX อีกประมาณ 30,000 ล้านบาท และหากเงินจากกองทุน LTF เดิมทั้งหมดโยกมาที่กองทุน Thai ESGX ก็จะมีเม็ดเงินที่ไหลเข้าตลาดทั้งหมด 210,000 ล้านบาท แม้กระทรวงการคลังจะสูญเสียรายได้ภาษีประมาณ 50,000 ล้านบาท แต่หากไม่มีมาตรการนี้เงินที่อยู่ในกองทุน LTF อาจจะไหลออกจากตลาดไปทั้งหมด

นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งร่วมแถลงข่าวด้วยกล่าวว่า ผู้ที่ถือครองกองทุน LTF อยู่ มีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะโยกเงินในกองทุน LTF ไปยังกองทุน Thai ESGX หรือไม่โยกก็ได้ ในกรณีที่เลือกโยกเงินไปยังกองทุน Thai ESGX ก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่ต้องโยกมาทั้งหมด แต่ในกรณีที่ไม่เลือกก็ทำตามเกณฑ์ปกติ

สำหรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี กองทุน Thai ESG ได้วงเงินลดหย่อน 300,000 บาท กองทุน Thai ESGX ที่เป็นเงินลงทุนใหม่ได้ลดหย่อนอีก 300,000 แต่ต้องเข้าลงทุนในระยะเวลาที่กําหนด ประมาณ 2 เดือน ไม่เกิน วัน 30 มิถุนายน 2568 สิทธิลดหย่อนจากเงินลงทุนเดิมในกองทุน LTF คือ 300,000 บาทในปีนี้และอีก 200,000 ทยอยลดหย่อนปีที่ 2 ถึงปีที่ 5 รวมทั้งหมด 500,000 บาท

เงื่อนไขการลงทุนของ กองทุน Thai ESGX เหมือนกับ กองทุน Thai ESG โดยต้องลงทุนในหุ้นไทยขั้นต่ำ 65% ขั้นต่ํา และรวมแล้วต้องหุ้นที่อยู่ใน ESGไม่ต่ํากว่า 80% การลงทุนในกองทุน Thai ESGX ที่จะได้รับประโยชน์ทางภาษีต้องลงทุนครบ 5 ปี สำหรับกองทุน Thai ESGX หลังจากวันนี้ภาคเอกชนต้องแสดงความจํานงและขออนุญาตจัดตั้งกองทุน Thai ESGX ต่อสํานักงานก.ล.ต. เม็ดเงินใหม่ที่เข้ากองทุน Thai ESGX ในช่วงเดือนพฤษภาคม และมิถุนายนจะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีม่เกิน 300,000 บาทในปีภาษีนี้

กองทุน LTF ปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 180,000 ล้านบาทหลังจากมีการทยอยขายออกในปีที่แล้วจากมูลค่าประมาณ 240,000 ล้านบาท เนื่องจากถือครองมาครบกำหนด

ปัจจุบันหุ้นที่อยู่ใน ESG มีประมาณ 240 กว่าหุ้น อย่างไรก็ตามตลาดหลักทรัพย์ฯร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีแผนที่จะให้ผู้ระดมทุน ก็คือบริษัทจดทะเบียนดำเนินธุรกิจบนหลัก ESG ซึ่งมีหลายเงื่อนไขมาก แต่จะส่งผลดีในระยะยาวกับบริษัท สิ้นปีนี้จำนวนบริษัทในรายชื่อ ESG น่าจะเพิ่มขึ้นในระดับ 300-400 หุ้น