
ธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก เป็นหนึ่งในธุรกิจลำดับต้น ๆ ที่มีความเสี่ยงด้าน ESG โดยเฉพาะในมิติสิ่งแวดล้อม จากการที่ทั่วโลกได้ตระหนักถึงผลกระทบและสนับสนุนการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ผู้ประกอบการจึงต้องปรับกระบวนการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้มีความยั่งยืน และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ายุคใหม่ซึ่งสอดรับกับแนวทาง ESG
บริษัท ทีพีบีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ TPBI หนึ่งในผู้นำด้านการผลิตฟิล์มและบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในระดับสากลของไทยได้ปรับตัวสู่ ESG ผ่านหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและนำทรัพยากรที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การนำบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ผ่านการใช้งานแล้วกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลเพื่อผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ที่สามารถใช้งานได้อีกอย่างไม่รู้จบ สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าและผู้มีส่วนได้เสียในทุกภาคส่วน จนได้รับรางวัล Sustainability Excellence Best Sustainability Award จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปีที่ผ่านมา
กระบวนการผลิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นางสาวชมัยพร เอื้อไพโรจน์กิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ TPBI กล่าวถึงนโยบายความยั่งยืนว่า รากเหง้าของบริษัทมาจากธุรกิจรีไซเคิลคือ การผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลเพื่อส่งออก ก่อนที่จะเติบโตและพัฒนาเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก จึงทำให้วัฒนธรรมการรีไซเคิลถูกปลูกฝังจนเป็น DNA ขององค์กร ตั้งแต่ผู้ก่อตั้งจนถึงพนักงานในทุกระดับ
“TPBI เคยเจอมาหลายรูปแบบของวิกฤติ จากวันที่ถุงพลาสติกเป็นพระเอก ด้วยคุณสมบัติของพลาสติกที่ทีน้ำหนักเบา ขึ้นรูปเป็นสินค้าได้หลากหลาย ใช้งานได้ทนทาน ราคาถูก ช่วยให้เราใช้ชีวิตได้สะดวกสบายขึ้น จนวันที่ถูกมองเป็นผู้ร้าย เราเข้าใจดีว่าธุรกิจนี้มีการเปลี่ยนแปลงเร็วและเต็มไปด้วยความเสี่ยง แต่สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเรียนรู้และปรับตัวกับทุกสถานการณ์ ตอนนี้เรามองไปข้างหน้า เราไม่ได้ผลิตบรรจุภัณฑ์แล้วจบแค่นั้น แต่เราตั้งใจจะสร้างระบบที่ครบวงจรในการนำบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ใช้แล้วกลับมารีไซเคิลเข้าสู่กระบวนการผลิตได้อีก ซึ่งตรงนี้ผู้บริโภคปลายทางมีบทบาทสำคัญมาก เราอยากให้ทุกคนเข้าใจให้มากขึ้นว่าสิ่งนี้ไม่ใช่หน้าที่ของผู้ผลิตเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของผู้ใช้งานและทุกภาคส่วนในสังคม”
นางสาวชมัยพรกล่าวต่อว่าจาก Plastic disruption หรือการแบนถุงพลาสติก TPBI มีนโยบาย Circular economy นำ
บรรจุภัณฑ์พลาสติกมารีไซเคิล พร้อมจัดตั้งโครงการ “วน” ขึ้นมา ณ ขณะนั้น ความสนใจเรื่องการรีไซเคิล ยังมีความสนใจน้อยอยู่ แต่หลังจากนั้นความเข้มข้นของ Climate change เริ่มเข้ามา ตลาดจึงเริ่มตอบสนองและให้ความสำคัญมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคู่ค้า ลูกค้า หรือซัพพลายเออร์รายใหญ่ จะเห็นได้ว่า ซัพพลายเชนมีส่วนผลักดันให้ TPBI สามารถอยู่ในกระแส Circular economy และเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริม Circular economy โดยอาศัยความรับผิดชอบของผู้บริโภคปลายทางด้วย
“ตอนช่วงเริ่มต้นของ ESG นั้น TPBI ไม่ใช่บริษัทที่มีขนาดใหญ่พอที่จะเป็น Game Changer ได้ในทุกเรื่อง เราเข้าใจสถานะและจุดยืนของตัวเองดี เราเชื่อมั่นว่าขนาดไม่ได้เป็นตัวกำหนดศักยภาพของเราและความมุ่งมั่นของเราในเรื่องนี้ จึงใช้ความคล่องตัวของการเป็นบริษัทขนาดกลาง ในการปรับตัวและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพหลังจากที่ได้เข้าร่วมฟัง COP28 และ COP29 เราเห็นภาพชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงด้าน ESG กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และนี่คือโอกาสสำคัญที่เราจะต้องอยู่ในเกมนี้ให้ได้ เราอาจไม่ได้เป็นผู้นำในทุกเรื่อง แต่ในบางด้าน TPBI ก็ก้าวขึ้นมาอยู่แนวหน้าได้ด้วยความมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เรามองว่า บทบาทของเราคือการสร้างความเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เราทำได้จริงๆและเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศที่ยั่งยืน เพราะสุดท้ายแล้ว การเดินหน้าด้วยความตั้งใจและความรับผิดชอบจะช่วยให้ TPBI เติบโตอย่างมั่นคงในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา”
นางสาวชมัยพรกล่าวต่อว่า “TPBI เติบโตจากความเชี่ยวชาญด้านการหลอมเม็ดพลาสติกรีไซเคิล ซึ่งทำให้เราเข้าใจความสำคัญของการเพิ่มสัดส่วนวัตถุดิบรีไซเคิลลงไปในสินค้าที่เราผลิต ไม่เพียงตอบโจทย์สิ่งแวดล้อม แต่ยังสอดคล้องกับความต้องการของตลาดส่งออกที่เป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของฐานลูกค้าเรา แต่ความท้าทายคือมาตรฐานที่แตกต่างกันของแต่ละลูกค้า ซึ่งหากมี Global Standard ที่ชัดเจนก็จะช่วยให้การบริหารจัดการในการผลิตของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมี Pain point แบบนี้สำหรับธุรกิจ OEM แต่เราก็พร้อมที่จะใช้ความเชี่ยวชาญของเราในการผลักดันอุตสาหกรรมรีไซเคิลต่อไปในอนาคต”
จากแนวโน้มกระแสตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้หลายบริษัทเพิ่มความต้องการการใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิลชนิดที่ผ่านการใช้งานโดยผู้บริโภคมาแล้ว (Post Consumer Resin) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า เม็ด PCR หลายบริษัทกำหนดให้ใช้เม็ด PCR ในบรรจุภัณฑ์ของสินค้าต่าง ๆ มากขึ้น เช่น เนสท์เล่ ที่ตั้งเป้าหมายเพิ่มการใช้ PCR ในบรรจุภัณฑ์ของเนสท์เล่ถึงระดับ 30% หรือ ลอรีอัล ที่ตั้งเป้าหมายการใช้ PCR ในระดับ 50% เลยทีเดียว นอกจากนั้น กฎหมายในหลายประเทศเริ่มบังคับให้ต้องมีส่วนผสมของ PCR (PCR Content) ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ในรัฐแคลิฟอเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
ดังนั้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา TPBI ได้พัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิต โดยตั้งเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ ที่เป็น Green Products ให้ได้ 30% ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของเรา รวมถึงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิตให้ได้ 30% ภายในปี 2025
สร้างความยั่งยืนด้วย “Mono Material”
จากกระแสเรื่องรีไซเคิลที่เกิดขึ้น TPBI จึงลงทุนพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยั่งยืนแบบ Mono Material หรือ บรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากวัสดุชนิดเดียวกันทั้งชิ้นในการผลิตบรรจุภัณฑ์ประเภท Flexibles ซึ่งปกติประกอบไปด้วยพลาสติกหลายชนิดประกบชั้นกัน
ซึ่ง Mono Material มีข้อดี คือ ช่วยทำให้กระบวนการรีไซเคิลได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องแยกพลาสติกแต่ละประเภท ซ้ำยังช่วยลดขยะ ลดการใช้ทรัพยากร และช่วยสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน เกิดการวนใช้ซ้ำอย่างมีคุณค่า ยกตัวอย่างเช่น การใช้วัสดุ PE (Polyethylene) หรือ PP (Polypropylene) ทั้งหมด มาผลิตเป็นฟิล์มชั้นต่าง ๆ โดยยังคงคุณสมบัติการใช้งานเหมือนกับบรรจุภัณฑ์แบบเดิม ไม่ว่าจะเป็นซองใส่อาหารแช่แข็ง ซองใส่ผลิตภัณฑ์ซักผ้า หรือซองใส่ขนมต่าง ๆ เป็นต้น
นางสาวชมัยพรเล่าว่า “TPBI เริ่มศึกษาและให้ความสำคัญกับเรื่อง Mono Material มาหลายปีแล้ว แต่ในปีนี้เราเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้น เมื่อผู้ประกอบการรายใหญ่ในอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งเป็นหนึ่งในลูกค้ารายสำคัญของเรา เริ่มให้ความสำคัญและตอบรับกับแนวทางนี้ ตลอดจนมีแผนงานชัดเจนเกี่ยวกับ Mono Material จึงช่วยสนับสนุนให้ TPBI สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
TPBI เรามองว่าเนื่องจาก Mono Material เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จึงมีความสำคัญมากในการช่วยทำให้โลกเรามีความยั่งยืน และถ้า Brand owner รายอื่น ๆ มีแผนที่ชัดเจน TPBI เราในฐานะผู้ผลิตฟิล์มและบรรจุภัณฑ์รักษ์โลกชนิดนี้ ก็มีความมั่นใจในการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนและช่วยกันผลักดันในการใช้บรรจุภัณฑ์ดังกล่าว ซึ่งทำให้เกิดการรีไซเคิลวัตถุดิบซ้ำและลดการใช้เม็ดพลาสติกใหม่ได้เรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และที่สำคัญ Mono Material นี้ยังปล่อยก๊าซคาร์บอนน้อยกว่าวัตถุดิบจากเม็ดพลาสติกใหม่ด้วย
กล่าวโดยสรุป ข้อดีของ Mono Material Packaging คือ
-
1. รีไซเคิลได้: การใช้พลาสติกชนิดเดียวในการผลิตบรรจุภัณฑ์ทำให้รีไซเคิลได้หลังการใช้งาน
2. ลดขยะ: ช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ ซึ่งจะช่วยลดการสะสมของขยะในหลุมฝังกลบและในทะเล
3. ลดการใช้ทรัพยากร: การรีไซเคิลขยะพลาสติกเก่ากลับมาใช้ใหม่ ช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในการผลิตพลาสติกใหม่
4. ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน: ช่วยสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนโดยขยะพลาสติกต่าง ๆ จะกลับมามีชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง
พลัง “วน” กับโลกสีเขียว
เราพบปัญหาซึ่งเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ในการรีไซเคิลขยะพลาสติก นั่นคือยังไม่มีหน่วยงานใดที่รณรงค์การรีไซเคิลขยะพลาสติกยืดชนิดต่าง ๆ ในขณะที่เราต้องการนำพลาสติกชนิดนี้ที่ใช้งานแล้วกลับมารีไซเคิลเพื่อใช้งานใหม่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ในปี 2018 TPBI จึงได้ก่อตั้งโครงการ “วน” เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้บริโภคและส่งเสริมการนำขยะชนิดนี้มารีไซเคิลเป็นเม็ดพลาสติก PCRเข้าสู่กระบวนการผลิตถุงพลาสติกต่อไปได้ไม่รู้จบ โดยปัจจุบัน TPBI ได้ร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชน ทำจุดรับพลาสติกกว่า400 แห่งทั่วประเทศ
นอกจากนี้ เรายังได้ขยายกรอบความคิดออกไปถึงการวิจัยพัฒนา ผลิตภัณฑ์พลาสติกอื่น ๆ ที่สามารถใช้ส่วนผสมของ PCR ได้ด้วย เช่นการพัฒนา Pallet Plactic ที่ใช้วางและขนส่งสินค้าที่ผลิต จาก PCR ให้เป็นทางเลือกกับผู้ผลิตสินค้าในอุตสาหกรรม โดยได้ร่วมมือกับคู่ค้ารายสำคัญของเรา จนประสบความสำเร็จ สามารถผลิตและ จัดจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ ได้แล้วเรายังได้ขยายผลโครงการ “วน” ไปสู่โรงเรียน เพื่อปลูกฝังความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมและการคัดแยกพลาสติกให้แก่เด็ก ๆ โดยมูลค่าพลาสติกที่สะสมได้ จะนำมาคืนให้เด็ก ๆ ในรูปแบบของอุปกรณ์กีฬา เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทางกายภาพและสุขภาพของพวกเขาในโรงเรียนและชุมชนต่อไป
จาก ‘พลาสติกเป็นผู้ร้าย’ ใช้ครั้งเดียว (Single-use Plastics) โดยเฉพาะถุงพลาสติกชนิดหูหิ้วแบบบาง กล่องโฟมบรรจุอาหาร หลอดพลาสติก และแก้วน้ำดื่มแบบบาง มาสู่ ‘โครงการ วน’ โดยใช้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy: CE) เพื่อให้พลาสติกหมุนเวียนอยู่ในระบบ ช่วยลดปริมาณขยะพลาสติก
ทั้งนี้ พลาสติกที่ ‘วน’ รับ สังเกตได้จากความยืดหยุ่น ซึ่งเป็นคุณสมบัติเด่นของพลาสติกประเภทโพลิเอทีลีน (PE) สามารถทดสอบอย่างง่ายโดยการใช้นิ้วมือดันถุงและฟิล์มพลาสติก หากสามารถยืดได้ ไม่ฉีกขาดง่าย สามารถส่งเข้าร่วมกับโครงการได้ ตัวอย่างเช่น ถุงหูหิ้ว ถุงชอปปิ้ง ฟิล์มห่อสินค้า (ทิชชู่ ผ้าอนามัย และผ้าอ้อมเด็ก) ฟิล์มหุ้มแพ็คขวดน้ำดื่ม ฟิล์มหุ้มแพ็คกล่องนม พลาสติกกันกระแทก ซองไปรษณีย์พลาสติก ถุงซิปล็อกซองยา ถุงน้ำแข็ง ถุงขนมปัง ถุงน้ำตาลทราย ถุงผักและผลไม้ เป็นต้น หากมีสติ๊กเกอร์หรือกระดาษติดอยู่ จะต้องตัดหรือแกะออกก่อนส่งมา “วน” จากนั้น โครงการจะนำถุงและฟิล์มพลาสติกเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล (Mechanical Recycling) ให้กลับมาเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิล (Post Consumer Recycle Resin: PCR) ที่สามารถกลับมาเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในกระบวนการผลิตอีกครั้ง โดยผ่านการออกแบบสินค้าและผลิตภัณฑ์ให้มีความยั่งยืนมากขึ้น เพื่อเป็นการลดปริมาณการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ใหม่ และเป็นการช่วยลดปัญหาขยะพลาสติกได้ ซึ่งทุก ๆ 1 กิโลกรัม ของถุงและฟิล์มพลาสติกคุณภาพดีที่ TPBI ได้รับบริจาค มีมูลค่า 5 บาท ทางโครงการจะรวบรวมเงินไปบริจาคต่อให้กับมูลนิธิหรือโครงการด้านสิ่งแวดล้อมหรือสาธารณประโยชน์
‘ESG’ ต้อง in the game ในทุกมิติ
นางสาวชมัยพรกล่าวต่อว่า “การทำ Green Plastic โดยเฉพาะการรีไซเคิล ถือเป็นความท้าทาย เพราะยังมีข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีที่ทำให้คุณสมบัติและต้นทุนยังไม่เทียบเท่า Virgin Plastic ดังนั้น การสร้างสมดุลและจับทิศทางให้ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับ TPBI เรามีทิศทางที่ชัดเจนและได้รับ Commitment ที่แข็งแกร่งจากผู้บริหารระดับสูง (Tone from the top) โดยเราได้ปลูกฝังแนวคิดความยั่งยืนและ ESG เข้าไปใน KPI ของทุกฝ่ายในองค์กร รวมถึงการรายงานความคืบหน้าเรื่องความยั่งยืนต่อคณะกรรมการบริษัทในทุกไตรมาส สิ่งเหล่านี้ช่วยผลักดันให้นวัตกรรมและความต่อเนื่องในด้าน ESG กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กรอย่างแท้จริง”
“เราติดตามเรื่อง ESG ในทุกมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม บรรษัทภิบาล รวมถึงเศรษฐกิจ ผ่านการประชุมติดตามงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เราเข้าใจความเสี่ยงในแต่ละด้านและเตรียมรับมือได้อย่างทันท่วงที
ในโลกปัจจุบันที่ ESG กลายเป็นหัวใจสำคัญของทุกภาคส่วน เราไม่อาจปล่อยให้ตัวเองตกขบวนได้ เพราะนี่ไม่ใช่แค่การปรับตัว แต่คือการตัดสินว่าเราจะ In the game หรือ Out of the game และ TPBI มุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนนี้อย่างแน่นอน” นางสาวชมัยพร กล่าว
นอกเหนือจากโครงการด้านสิ่งแวดล้อม TPBI ยังให้ความสำคัญกับการร่วมดูแลสังคมให้มีความเป็นอยู่ที่ดี รวมถึงการกำกับดูแลกิจการที่ดี เช่น อุดหนุนและส่งเสริมสินค้าของคนในชุมชนรอบโรงงานผ่านโครงการทัชใจชุมชน สนับสนุนความเท่าเทียมในโรงงานผ่านการมีสัดส่วนพนักงานชายและหญิงหนึ่งต่อหนึ่ง ไม่นับรวมการจัดหางานที่เหมาะสมให้กับพนักงานที่เป็น LGBTQ และผู้พิการ ซึ่งมีอยู่ในบริษัทจำนวนไม่น้อย
นอกจากนี้ TPBI ยังทำเรื่อง Human Rights Due Diligence ให้มีความชัดเจน ตรวจสอบได้ หรือแม้แต่การทำเรื่อง Employee Engagement เพื่อให้ทราบถึง voice of employee อย่างแท้จริง จนพัฒนามาเป็นการตอบสนองพนักงานผ่าน การทำกิจกรรม Well being ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแอโรบิค โยคะ หรือบริการนวดโดยผู้พิการทางสายตา จากศูนย์ฝึกอาชีพหญิงตาบอดที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
พร้อมกันนี้ ยังเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนจากแสงอาทิตย์ มีการติดโซลาร์เซลล์ทั่วโรงงาน เน้นลดขยะอุตสาหกรรมจากการผลิต ไปจนถึงการจัดอบรมให้ความรู้แก่พนักงานเพื่อตระหนักถึงการทำงานและการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

‘ความท้าทาย’ การก้าวที่ยั่งยืน
นางสาวชมัยพรกล่าวว่า “เราไม่กังวลกับความท้าทายในองค์กร เพราะเราได้ตระหนักและเตรียมพร้อมมาตั้งแต่ก่อนที่ถุงพลาสติกจะถูกห้ามหรือยกเลิก เมื่อเรามองเห็นแนวโน้มนี้ในช่วงแรก เราจึงเริ่มปรับตัวโดยขยายการผลิตสินค้าให้หลากหลายมากขึ้น เพื่อสร้างพอร์ตโฟลิโอให้สมดุลมากที่สุด”
โดยนางสาวชมัยพรมองว่าความท้าทายหรืออุปสรรคที่บริษัทจะต้องเผชิญในเรื่องความยั่งยืน คือ
-
1.ความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
2. Global Standard
3. Stakeholders ผู้มีส่วนได้เสีย
“TPBI มุ่งมั่นที่จะปรับตัวให้ทันกับทิศทางของการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทั้งในเรื่องเทคโนโลยีและการปรับตัวให้สอดคล้องกับ Global Standard ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่เรายังคงพัฒนาและเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งที่เราห่วงที่สุดคือเรื่องของผู้มีส่วนได้เสียภายนอก เช่น รัฐบาลและหน่วยงานราชการ ที่บางครั้งยังขาดความชัดเจนในกฎเกณฑ์หรือการดำเนินการที่ต่อเนื่อง
ความไม่แน่นอนเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจลงทุนของเราและผู้ประกอบการอื่นๆ ทำให้เราต้องคาดเดาทิศทางของกฎ กติกา ซึ่งบางครั้งเหมือนต้องทำทุกอย่างพร้อมกัน การทำทุกอย่างในขณะเดียวกันอาจทำให้เราเสียโฟกัสและทรัพยากร โดยที่ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนหรือบางครั้งอาจเกิดผลขาดทุน ซึ่งนี่คือความยากและความท้าทายที่เราต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน”
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ก็ถือเป็นความท้าทายที่เปลี่ยนโลกพอสมควร ดังนั้น บริษัทต้องประเมินและเตรียมข้อมูลเพื่อรับกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้ทันท่วงทีต่อไป