ThaiPublica > ประเด็นร้อน > Research Reports > EIC > SCB EIC วิเคราะห์อุตสาหกรรมน้ำตาล จับตาความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก สภาพภูมิอากาศแปรปรวน

SCB EIC วิเคราะห์อุตสาหกรรมน้ำตาล จับตาความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก สภาพภูมิอากาศแปรปรวน

18 มกราคม 2025


White sugar in wooden bowl with scoop on white table. White and brown sugar cubes in background.

SCB EIC คาดว่า รายได้อุตสาหกรรมน้ำตาลในปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัวดี โดยมีปัจจัยหนุนจากปริมาณผลผลิตที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ซึ่งช่วยหักล้างผลของราคาที่มีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่จะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำตาลโลกและความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่จะกระทบต่อผลผลิตน้ำตาล กลุ่มบริษัทที่สามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเกษตรกร สร้างแบรนด์ มีประสิทธิภาพการผลิตน้ำตาลสูง มีสินค้าที่ตอบโจทย์กระแสรักสุขภาพของผู้บริโภค และมีการดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล จะประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้

ภาพรวมอุตสาหกรรม

อุตสาหกรรมน้ำตาลมีผู้เกี่ยวข้องที่หลากหลายและอยู่ภายใต้การควบคุมที่เข้มงวดโดยภาครัฐ โดยความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายหลักที่อุตสาหกรรมน้ำตาลต้องเผชิญในช่วงที่ผ่านมา

อุตสาหกรรมน้ำตาลเป็นอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรที่สำคัญของไทย โดยอุตสาหกรรมนี้มีความเชื่อมโยงกับเกษตรกรต้นน้ำในระดับสูง เนื่องจากปริมาณผลผลิตอ้อยที่เกษตรกรปลูกได้ จะกระทบโดยตรงต่อปริมาณผลผลิตน้ำตาลที่โรงงานผลิตได้ โดยผลผลิตน้ำตาลที่ได้ส่วนใหญ่ราว 74.9% จะส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ซึ่งในปี 2023 มูลค่าการส่งออกน้ำตาลอยู่ที่ 3,493 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นราว 1.2% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย โดยตลาดส่งออกหลัก คือ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ ทั้งนี้ในปี 2023 ไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำตาลมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก (รองจากบราซิลและอินเดีย) โดยมีส่วนแบ่งตลาดน้ำตาลโลกอยู่ที่ 9.0% ซึ่งอินโดนีเซีย สหรัฐฯ จีน เป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำตาลมากที่สุด 3 อันดับแรกของโลก (ดูภาคผนวก) สำหรับน้ำตาลที่ไม่ได้ส่งออกจะถูกจำหน่ายในประเทศให้ผู้บริโภคภาคครัวเรือนและผู้ผลิตสินค้าในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งในปี 2023 มูลค่าตลาดน้ำตาลในประเทศอยู่ที่ 49,635 ล้านบาท ซึ่งมูลค่านี้ยังไม่รวมมูลค่าตลาดจากการที่โรงงานน้ำตาลนำผลพลอยได้จากการผลิตน้ำตาลไปใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอื่น ๆ (รูป 1)

อุตสาหกรรมน้ำตาลแตกต่างจากอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรอื่น ๆ ในไทยค่อนข้างมาก เนื่องจากมีการกำหนดกรอบกติกาการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจนที่ผู้เล่นต้องปฏิบัติตาม ผ่าน พ.ร.บ. อ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่ 2) ปี 2022 ซึ่งกำหนดให้ภาครัฐมีอำนาจควบคุมจำนวนโรงงานน้ำตาลในประเทศให้เหมาะสมต่อปริมาณการปลูกอ้อย นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดระบบแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างชาวไร่อ้อย (70%) และโรงงาน (30%) เพื่อใช้เป็นกลไกอ้างอิงในการคำนวณและกำหนดราคาอ้อยที่โรงงานรับซื้อจากชาวไร่อ้อยในแต่ละปี ยิ่งไปกว่านั้น โรงงานน้ำตาลไม่สามารถตั้งราคาน้ำตาลหน้าโรงงานได้อย่างเสรี แต่ต้องขึ้นอยู่กับการกำหนดราคาโดยภาครัฐ

ในระยะ 1-3 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมน้ำตาลต้องเผชิญกับความท้าทายหลักจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน โดยในปีการผลิต 2023/2024 ปริมาณผลผลิตน้ำตาลปรับตัวลดลง 20.1% จากฤดูกาลก่อนหน้า เนื่องจากพื้นที่ปลูกอ้อยในไทยเผชิญปัญหาภัยแล้งรุนแรง แต่อย่างไรก็ตาม ผลผลิตที่ลดลงส่งผลกระทบต่อรายได้ธุรกิจน้ำตาลโดยรวมไม่มากนัก เนื่องจากราคาน้ำตาลปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคาน้ำตาลทรายดิบส่งออกที่บริษัทอ้อยและน้ำตาลไทยทำได้ในปี 2023/2024 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 17.9% จากฤดูกาลก่อนหน้า นอกจากนี้ นับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2023 เป็นต้นมา คณะรัฐมนตรีอนุญาตให้ปรับราคาน้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์หน้าโรงงานในประเทศขึ้น 10.5% และ 10.0% ตามลำดับ

แนวโน้มอุตสาหกรรม

SCB EIC คาดว่ารายได้ของอุตสาหกรรมน้ำตาลในปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัวดี โดยมีปัจจัยหนุนจากปริมาณผลผลิตที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ซึ่งช่วยหักล้างผลของราคาที่มีแนวโน้มลดลง ปริมาณผลผลิตน้ำตาลไทยในปีการผลิต 2024/2025 มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น 20.5% จากปีการผลิต 2023/2024 มาอยู่ที่ 10.6 ล้านตัน ตามปริมาณอ้อยเข้าหีบที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 96.7 ล้านตัน ซึ่งเป็นผลจากผลผลิตต่อไร่และพื้นที่เพาะปลูกที่มีแนวโน้มฟื้นตัว จากปัญหาภัยแล้งที่คลี่คลาย (รูปที่ 2) ในขณะที่ราคาส่งออกน้ำตาลโดยเฉลี่ยในปี 2025 จะปรับตัวลดลง 2.8%YOY มาอยู่ที่ 561.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน สอดคล้องกับราคาน้ำตาลทรายดิบรวมพรีเมียมที่บริษัทอ้อยและน้ำตาลไทยทำได้ (ใช้อ้างอิงราคาส่งออกของโรงงานน้ำตาลอื่น ๆ) ที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง 3.1% จากฤดูกาลการผลิตที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 23.0 เซนต์ต่อปอนด์ เนื่องจากแม้ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 ของปี 2024 เป็นต้นไป ราคาน้ำตาลโลกจะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงกลางปี 2024 จากภาวะขาดดุลของน้ำตาลในตลาดโลก แต่ระดับราคาจะยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าราคาน้ำตาลโลกในช่วงปลายปี 2023 และต้นปี 2024 ซึ่งเป็นช่วงเวลาการทำราคาน้ำตาลของฤดูกาลการผลิต 2023/2024 (รูปที่ 3)

สำหรับมูลค่าการส่งออกน้ำตาลปี 2025 คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 28.7%YOY มาอยู่ที่ 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากปริมาณการส่งออกที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น 32.4%YOY มาอยู่ที่ 6.5 ล้านตัน ในขณะที่มูลค่าตลาดน้ำตาลในประเทศจะอยู่ที่ 5.6 หมื่นล้านบาท ขยายตัว 1.0%YOY จากปริมาณการบริโภคในประเทศที่มีแนวโน้มขยายตัวตามการเติบโตของเศรษฐกิจไทย

อนึ่ง การเติบโตของอุตสาหกรรมน้ำตาลในปี 2025 ยังต้องเผชิญความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลก และสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว โดยภาวะเศรษฐกิจโลก จะส่งผลกระทบต่อความต้องการบริโภคน้ำตาลโลก ซึ่งหากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ชะลอลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ก็จะส่งผลให้ความต้องการบริโภคน้ำตาลโลกเติบโตต่ำกว่าที่คาด ซึ่งจะส่งผลให้ราคาส่งออกน้ำตาลลดลงมากกว่าที่คาด ในขณะที่ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศและปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ จะส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตอ้อยทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยหากบราซิลซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำตาลมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก เผชิญปัญหาภัยแล้งรุนแรงน้อยกว่าที่คาด ก็จะทำให้ราคาส่งออกน้ำตาลปรับตัวลดลงมากกว่าที่คาด ในขณะเดียวกัน หากไทยเผชิญกับความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศในช่วงเปิดหีบ (ธ.ค. 2024 – เม.ย. 2025) ก็อาจจะทำให้ผลผลิตน้ำตาลปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด

  • SCB EIC ชี้ไทยเจอฝนแล้งรุนแรงสุดรอบ 41 ปี ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง เสียหาย 2 ปี 69,000 ลบ.
  • SCB EIC วิเคราะห์อุตสาหกรรมน้ำตาลในปี 2567 ยังขยายตัวได้ แม้จะเผชิญภัยแล้งรุนแรง
  • ในระยะต่อไป อุตสาหกรรมน้ำตาลยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากนโยบายและมาตรการเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ กระแสความยั่งยืนและเทรนด์รักสุขภาพของผู้บริโภค โดยมาตรการต่าง ๆ เช่น มาตรการการค้าระหว่างประเทศ การเก็บภาษีคาร์บอน จะทำให้ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจน้ำตาลปรับตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่เมกะเทรนด์ความยั่งยืน (Sustainability) จะทำให้ผู้บริโภคหรืออุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ใช้น้ำตาลเป็นวัตถุดิบมีแนวโน้มที่จะหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาลมากขึ้นในอนาคต ส่วนกระแสรักสุขภาพ จะส่งผลให้ผู้บริโภคที่ใส่ใจการรักษาสุขภาพ หันมาบริโภคสินค้าที่ปราศจากน้ำตาลมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการบริโภคน้ำตาลปรับตัวลดลง

    ภูมิทัศน์การแข่งขัน

    โรงงานน้ำตาลจะเน้นการแข่งขันในด้านการจัดหาอ้อยเป็นหลัก โดยปริมาณอ้อยที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้การแข่งขันลดลง ผลผลิตน้ำตาลและผลพลอยได้สูงขึ้น ส่งผลดีต่อกำไรของผู้ประกอบการ

    อุตสาหกรรมน้ำตาลไทยมีอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดในระดับสูง ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดกระจุกตัวอยู่กับผู้ประกอบการเพียงไม่กี่ราย อุตสาหกรรมน้ำตาลถูกควบคุมอย่างเข้มงวดจากภาครัฐ โดยผู้ที่จะสามารถดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายได้ จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่กำหนดขึ้นโดยภาครัฐ เช่น จุดที่ตั้งโรงงานต้องห่างจากโรงงานน้ำตาลที่ได้รับใบอนุญาตไว้แล้วไม่น้อยกว่า 50 กิโลเมตร หรือต้องมีการเตรียมปริมาณอ้อยเข้าสู่โรงงานไม่น้อยกว่า 50% ของกำลังการผลิต ส่งผลให้การเข้ามาแข่งขันของผู้ประกอบการรายใหม่เป็นไปได้ยาก

    นอกจากนี้ การเข้ามาประกอบธุรกิจน้ำตาลในไทยของบุคคลต่างด้าวก็จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีและการนำเข้าน้ำตาลจะต้องได้รับการอนุมัติจากภาครัฐ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยไม่ต้องเผชิญการแข่งขันทั้งจากผู้เล่นต่างชาติและผู้เล่นรายใหม่ โดยในปีการผลิต 2023/2024 มีโรงงานน้ำตาลเปิดหีบผลิตน้ำตาลจำนวน 57 โรงงาน (ปีการผลิต 2024/2025 จะมีโรงงานเปิดเพิ่มอีก 1 โรงงาน) โดยกว่า 75% ของโรงงานทั้งหมดหรือ 43 โรงงานอยู่ภายใต้การดำเนินงานของ 13 กลุ่มบริษัท ในขณะที่อีก 14 โรงงานเป็นโรงงานอิสระ ซึ่งในปีการผลิต 2023/2024 กลุ่มผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ 5 อันดับแรกครองส่วนแบ่งตลาดปริมาณการผลิตน้ำตาลรวมกันสูงถึงราว 54% โดยกลุ่มมิตรผลมีส่วนแบ่งตลาดมากเป็นอันดับ 1 (23.9%) ตามมาด้วยกลุ่มไทยรุ่งเรือง (9.1%) โคราช (8.9%) ท่ามะกาหรือ KSL (6.4%) และไทยเอกลักษณ์หรือ KTIS (5.8%) ในขณะที่น้ำตาลครบุรี (KBS) และน้ำตาลบุรีรัมย์ (BRR) มีส่วนแบ่งตลาด 4.6% และ 3.1% ตามลำดับ

    โรงงานน้ำตาลจะเน้นการแข่งขันในด้านการจัดหาวัตถุดิบอ้อยเป็นหลัก โดยปริมาณอ้อยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจะส่งผลให้การแข่งขันลดลง ผลผลิตน้ำตาลและผลพลอยได้สูงขึ้น ส่งผลดีต่อกำไรของผู้ประกอบการในปี 2025 ในปัจจุบันอุตสาหกรรมน้ำตาลมีกำลังการผลิตมากกว่าปริมาณอ้อยในประเทศ ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องแข่งขันกันจัดหาอ้อยมาป้อนโรงงานให้ได้มากที่สุด เพื่อลดต้นทุนในการผลิตต่อหน่วยลง โดยความรุนแรงในการจัดหาอ้อยจะขึ้นอยู่กับปริมาณผลผลิตอ้อยในแต่ละปี ซึ่งในปีการผลิตที่ผ่านมาปริมาณอ้อยปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือ ส่งผลให้การแข่งขันมีความรุนแรง ซึ่งหนึ่งในแนวทางที่ผู้ประกอบการใช้ในการจัดหาอ้อย (นอกจากการทำสัญญาซื้อขายอ้อยล่วงหน้ากับชาวไร่อ้อย) คือ การให้ราคารับซื้ออ้อยที่สูงกว่าราคาอ้อยขั้นต้นที่ถูกกำหนด โดยแนวทางดังกล่าวประกอบกับผลผลิตน้ำตาลและผลพลอยได้ที่ลดลง จะมีส่วนทำให้กำไรของโรงงานน้ำตาลปรับตัวลดลง ซึ่งจากข้อมูลของผู้ประกอบการธุรกิจน้ำตาลในตลาดหลักทรัพย์ (ตารางที่ 1) พบว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ กำไรสุทธิและอัตรากำไรสุทธิของผู้ประกอบการลดลง 19.1%YOY และ 0.8 percentage points ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ผลผลิตอ้อยที่จะเพิ่มขึ้นในปีการผลิต 2024/2025 จะทำให้การแข่งขันลดลง ผลผลิตน้ำตาลและผลพลอยได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อกำไรของผู้ประกอบการ

    อนึ่ง ผู้เล่นในตลาดยังมีการแข่งขันในด้านอื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแบรนด์ การยกระดับคุณภาพสินค้า การพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพ เช่น น้ำตาลแคลอรีต่ำ และการมุ่งสู่ความยั่งยืน เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและงดรับซื้ออ้อยไฟไหม้ ดังนั้น กลุ่มบริษัทที่สามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเกษตรกร สร้างแบรนด์ มีประสิทธิภาพการผลิตน้ำตาลสูง มีคุณภาพสินค้าที่ดีและตอบโจทย์ผู้บริโภค และมีการดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล จะประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้