Krungthai COMPASS “ส่องแนวโน้มธุรกิจเม็ดพลาสติกไทย ท่ามกลางปัญหาสินค้าจีนทะลัก และแรงกดดันด้าน ESG” โดยมองว่า
……

…….
ธุรกิจเม็ดพลาสติกถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย ทั้งในแง่ของการผลิต การส่งออก และการใช้ภายในประเทศ โดยในปี 2566 อุตสาหกรรมพลาสติกของไทยมีมูลค่ารวม 1.28 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 7% ของ GDP อีกทั้งประเทศไทยยังเป็นหนึ่งในฐานการผลิตเม็ดพลาสติกที่สำคัญของโลก โดยเป็นผู้ส่งออกเม็ดพลาสติกอันดับที่ 12 ของโลก และอันดับที่ 2 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์
อย่างไรก็ดี ภายใต้สถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ธุรกิจเม็ดพลาสติกไทยต้องเผชิญกับความท้าทายที่มากขึ้น โดยเฉพาะการแข่งขันที่สูงจากสินค้าจีนที่เข้ามาตีตลาดอาเซียน รวมถึงไทย นอกจากนี้ ยังมีแรงกดดันจากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่มีความเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อรายได้และอัตรากำไรของธุรกิจเม็ดพลาสติก บทความนี้จึงจะฉายภาพให้ทุกท่านได้เห็นถึงแนวโน้มธุรกิจเม็ดพลาสติกไทยในปี 2568-69 พร้อมทั้งแนะนำแนวทางในการปรับตัวของผู้ประกอบการผลิตเม็ดพลาสติกไทย เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตอย่างยั่งยืน
โครงสร้างของธุรกิจเม็ดพลาสติกไทยเป็นอย่างไร
ธุรกิจเม็ดพลาสติกเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยเม็ดพลาสติกส่วนใหญ่ผลิตจากแนฟทา (Naphtha) ซึ่งได้จากการกลั่นน้ำมันดิบหรือแยกก๊าซธรรมชาติ แล้วนำเข้าสู่กระบวนการแยกโมเลกุลเพื่อให้ได้สารประกอบขนาดเล็กแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
1)สายโอเลฟินส์ (Olefins) เช่น เอทิลีน (Ethylene) และโพรพิลีน (Propylene)
2)สายอะโรเมติกส์ (Aromatics) เช่น เบนซีน (Benzene) และพาราไซลีน (Paraxylene) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตเม็ดพลาสติกประเภทต่างๆ เช่น โพลิเอทิลีน (PE) โพลิโพรพิลีน (PP) โพลิไวนิลคลอไรด์ (PVC) โพลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต (PET) เป็นต้น โดยเม็ดพลาสติกราว 50% จะถูกส่งออกไปต่างประเทศ และส่วนที่เหลือจะถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องภายในประเทศ ได้แก่ บรรจุภัณฑ์ (38%) เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (16%) ก่อสร้าง (16%) และรถยนต์ (7%) เป็นต้น
แนวโน้มธุรกิจเม็ดพลาสติกไทยในปี 2568-69 จะเป็นอย่างไร
Krungthai COMPASS ประเมินว่า ในปี 2568-25569 ปริมาณการจำหน่ายเม็ดพลาสติกในประเทศและส่งออกของไทยจะอยู่ที่ 10-11 ล้านตันต่อปี ซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าในปี 2560-2562 เฉลี่ยที่ 12.3 ล้านตันต่อปี แม้ว่าปริมาณการจำหน่ายเม็ดพลาสติกในประเทศของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการขยายตัวของการค้าออนไลน์ (e-Commerce) และการจัดส่งอาหาร (Food delivery) จะทำให้ความต้องการใช้เม็ดพลาสติกสำหรับการผลิตในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์พลาสติก ซึ่งมีสัดส่วนการใช้เม็ดพลาสติกมากถึง 38% ของปริมาณเม็ดพลาสติกทั้งหมด อีกทั้งปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งจะช่วยหนุนการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ภายในประเทศ
อย่างไรก็ดี ในปี 2568-2569 ปริมาณการส่งออกเม็ดพลาสติกของไทยมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้า และการแข่งขันกับเม็ดพลาสติกจากคู่แข่งที่สูงขึ้น โดยเฉพาะจีน ซึ่งมีความได้เปรียบจากการประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale) เนื่องจากจีนสามารถผลิตเม็ดพลาสติกในปริมาณมากด้วยต้นทุนการผลิตที่ต่ำ ทำให้ราคาเม็ดพลาสติกจีนต่ำกว่าไทย ซึ่งอาจกดดันต่อความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดโลก
ทั้งนี้ ปริมาณการจำหน่ายเม็ดพลาสติกในประเทศและส่งออกของไทยมีแนวโน้มอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าช่วง Pre-COVID กดดันต่ออัตราการใช้กำลังการผลิตของธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติกของไทย โดยคาดว่าในปี 2568-69 อัตราการใช้กำลังการผลิตเม็ดพลาสติกของไทยจะอยู่ที่ 82.1% และ 82.5% ของกำลังการผลิตทั้งหมด ตามลำดับ ซึ่งลดลงถึง 15% จากระดับ 96.6% ในปี 2560
นอกจากปัจจัยกดดันด้านปริมาณแล้ว ยังมีปัจจัยกดดันด้านราคาเม็ดพลาสติกที่มีแนวโน้มลดลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก อาจกดดันต่อรายได้ของธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติกไทย โดยคาดว่าในปี 2568-2569 ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 70.5 และ 69.6 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หรือลดลง -11.4% และ -1.3% ตามลำดับ ทำให้ราคาแนฟทาซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเม็ดพลาสติกมีแนวโน้มลดลง ประกอบกับความต้องการเม็ดพลาสติกที่อ่อนแอตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ท่ามกลางการขยายกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาเม็ดพลาสติกเฉลี่ยในกลุ่ม PE, PP และ PET ของตลาดอาเซียนมีแนวโน้มลดลงมาอยู่ที่ราว 956 และ 988 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ตามลำดับ
3 ปัจจัยกดดันธุรกิจเม็ดพลาสติกไทย ในปี 2568-69
Krungthai COMPASS ประเมินว่า การจำหน่ายเม็ดพลาสติกในประเทศและส่งออกของไทยในปี 2568-69 เผชิญ 3 ปัจจัยกดดันหลัก ดังนี้
1.ความต้องการใช้เม็ดพลาสติกในอุตสาหกรรมยานยนต์ลดลง
ความต้องการใช้เม็ดพลาสติกในอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยมีแนวโน้มลดลงตามปริมาณการผลิตรถยนต์ในประเทศ แม้ว่าปริมาณการจำหน่ายเม็ดพลาสติกในประเทศของไทยในปี 2568-2569 จะได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ แต่ยังถูกกดดันจากปริมาณการผลิตรถยนต์ของไทยที่คาดว่าจะอยู่ที่เพียง 1.47-1.53 ล้านคันต่อปี ซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในปี 2560-2562 ที่ 2.06 ล้านคันต่อปี เกือบ 30%
โดยปัจจัยกดดันมาจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่จำกัดจากหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับปัญหาเชิงโครงสร้างจากการที่ไทยเน้นผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) เป็นหลัก ขณะที่ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ ICE ที่ผลิตในไทย โดยเฉพาะรถยนต์ EV ที่นำเข้าจากจีน ทำให้ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ปริมาณการผลิตรถยนต์ ICE ของไทยยังมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลกระทบให้ความต้องการใช้เม็ดพลาสติกในอุตสาหกรรมยานยนต์มีแนวโน้มลดลงตามไปด้วย
2.การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และการแข่งขันกับสินค้าจีนที่สูงขึ้น
การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการนำเข้าเม็ดพลาสติกจากไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดย IMF ประเมินว่า ในช่วงปี 2568-2569 เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวเฉลี่ยเพียง 4.3% ต่อปี ซึ่งลดลงจากขยายตัวเฉลี่ย 6.5% ต่อปี ในช่วงปี 2560-2562 ประกอบกับปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีน และจีนมีนโยบายพึ่งพาตนเอง (Self-Sufficiency) เพื่อลดการนำเข้า ทำให้ความต้องการนำเข้าเม็ดพลาสติกสำหรับเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องในจีนมีแนวโน้มลดลง สอดคล้องกับข้อมูลของ Nexant ประเมินว่า ในปี 2568-2569 ความต้องการเม็ดพลาสติก PE และ PP ในจีนเฉลี่ยจะอยู่ที่ราว 46 และ 39 ล้านตัน ตามลำดับ หรือมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 4-5% ต่อปี ลดลงจากขยายตัวเฉลี่ย 7% ต่อปี ในปี 2560-2566 ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกเม็ดพลาสติกของไทย เนื่องจากจีนเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย คิดเป็นสัดส่วนสูงถึงราว 30% ของปริมาณการส่งออกเม็ดพลาสติกทั้งหมด
นอกจากนี้ ยังมีปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน (Over capacity) ในจีน ทำให้เม็ดพลาสติกจีนมีแนวโน้มเข้ามาตีตลาดอาเซียน รวมถึงไทยมากขึ้น ในช่วงที่ผ่านมา จีนมีการขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเม็ดพลาสติก PP จากนโยบายพึ่งพาการผลิตในประเทศ ขณะที่ความต้องการเม็ดพลาสติกในจีนมีแนวโน้มลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้ผู้ผลิตจีนส่งออกเม็ดพลาสติกเข้ามาตีตลาดอาเซียน รวมถึงไทยมากขึ้น สะท้อนจากในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ส่วนแบ่งตลาดของเม็ดพลาสติก PP ของจีนในตลาดอาเซียนสูงถึง 21% จาก 7% ในปี 2562
ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดของเม็ดพลาสติก PP ของไทยในตลาดอาเซียนลดลงเหลือเพียง 6% จาก 11% ในปี 2562 เช่นเดียวกับส่วนแบ่งตลาดของเม็ดพลาสติก PP ของจีนในไทยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 33% จาก 13% ในปี 2562 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนจากข้อมูลของ Nexant ประเมินว่า ในปี 2568-2569 จะมีกำลังการผลิตส่วนเกินของเม็ดพลาสติก PP ในจีนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 12 ล้านตันต่อปี ซึ่งอาจทำให้ผู้ผลิตเม็ดพลาสติกของไทยเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้นกับเม็ดพลาสติกจีนทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก
3.ผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอาจทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อการส่งออกเม็ดพลาสติกไทย เมื่อเดือน พ.ค. 2567 สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 25%-100% โดยครอบคลุมสินค้าต่างๆ ที่ใช้เม็ดพลาสติกเป็นส่วนประกอบ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) กระบอกฉีดยาและเข็มฉีดยา ส่วนประกอบของแบตเตอรี่ แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน และหน้ากาก เป็นต้น
นอกจากนี้ นโยบายการค้าของสหรัฐฯ ภายหลังโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง อาจทำให้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงถึง 60% อาจทำให้ความต้องการนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ จากจีนมีแนวโน้มลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเม็ดพลาสติกไทยที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตของจีน รวมทั้งอาจเพิ่มความเสี่ยงที่เม็ดพลาสติกจีนจะทะลักเข้ามาในไทยและประเทศที่ไทยส่งออกอย่างกลุ่มอาเซียนมากขึ้น
ประเด็นที่ต้องติดตามในระยะถัดไปของธุรกิจเม็ดพลาสติกไทย
1.ประเด็นด้าน ESG ของประเทศคู่ค้าที่เข้มข้นขึ้น
สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปดำเนินมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น กดดันต่อต้นทุนและความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการผลิตเม็ดพลาสติกไทย โดยปัจจุบัน สหภาพยุโรปออกมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้มาตรการอย่างเต็มรูปแบบในปี 2569 โดยสินค้าที่ถูกจัดเก็บภาษีคาร์บอนในระยะแรก ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า และไฮโดรเจน เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงในกระบวนการผลิต
อย่างไรก็ดี ในปี 2569 คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) อาจขยายขอบเขตของมาตรการ CBAM ไปยังสินค้ากลุ่มเม็ดพลาสติก ซึ่งอาจกดดันผู้ประกอบการผลิตเม็ดพลาสติกไทย โดยเฉพาะโพลิคาร์บอเนต (Polycarbonate: PC) และโพลิเอทิลีนที่มีความหนาแน่นสูง (HDPE) ซึ่งมีค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 7.78 และ 6.71 kgCO2e ต่อหน่วย ซึ่งสูงสุดเมื่อเทียบกับพลาสติกชนิดอื่น และสูงกว่าสินค้าที่ถูกจัดเก็บมาตรการ CBAM ในระยะแรกอย่างเหล็กและอะลูมิเนียม
นอกจากนี้ สหรัฐฯ อยู่ระหว่างการพิจารณากฎหมาย Clean Competition Act เพื่อจัดเก็บภาษีคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนสำหรับสินค้านำเข้า โดยคาดว่าจะเริ่มบังคับใช้ในปี 2569 ซึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบการผลิตเม็ดพลาสติกไทยมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากต้นทุนการส่งออกที่สูงขึ้น
2.Thailand Taxonomy ระยะที่ 2 ครอบคลุมกิจกรรมในภาคอุตสาหกรรมการผลิตมากขึ้น
Thailand Taxonomy คือ มาตรฐานกลางที่ใช้อ้างอิงในการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคต่างๆ สำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่การดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบัน Thailand Taxonomy ระยะที่ 2 อยู่ในช่วงรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะ โดยครอบคลุมอีก 4 ภาคเศรษฐกิจ เพิ่มเติมจากภาคพลังงานและภาคขนส่ง ได้แก่ 1) ภาคเกษตร 2) ภาคอุตสาหกรรมการผลิต 3) ภาคอาคารและอสังหาริมทรัพย์ และ 4) ภาคการจัดการของเสีย สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากบทความเรื่อง “เจาะลึก Thailand Taxonomy ระยะที่ 2 ก้าวสู่มาตรฐานสีเขียวในภาคเกษตร การผลิต อสังหาริมทรัพย์ และการจัดการของเสีย”
โดย Thailand Taxonomy ระยะที่ 2 ในภาคอุตสาหกรรมการผลิตครอบคลุมการผลิตเคมีภัณฑ์อินทรีย์ขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตเม็ดพลาสติกจากฟอสซิล อาจกระทบต่อต้นทุนของผู้ประกอบการผลิตเม็ดพลาสติกไทย เนื่องจากธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติกไทยต้องใช้เงินลงทุนที่สูง เพื่อปรับตัวให้สอดคล้องกับเกณฑ์ ESG เช่น การลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ หากบริษัทผลิตเม็ดพลาสติกไทยไม่สามารถปรับตัวได้ตามมาตรฐาน Thailand Taxonomy อาจเผชิญกับความเสี่ยงจากการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนที่เหมาะสม รวมทั้งมีโอกาสที่จะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐที่ลดลงหรือไม่ได้รับการสนับสนุนอีกด้วย
แนวทางในการปรับตัวของธุรกิจเม็ดพลาสติกไทยให้เติบโตยั่งยืน
1.ผลิตเม็ดพลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ผู้ประกอบการผลิตเม็ดพลาสติกไทยควรเพิ่มสัดส่วนการผลิตเม็ดพลาสติกจากทรัพยากรหมุนเวียนมากขึ้น เช่น เม็ดพลาสติกชีวภาพและเม็ดพลาสติกรีไซเคิล ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องตามกระแสรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะถูกจัดเก็บภาษีคาร์บอนจากประเทศคู่ค้า โดย Market Research Future (2024) และ Grand View Research (2024) ประเมินว่า ในปี 2575 มูลค่าตลาดเม็ดพลาสติกจากวัสดุชีวมวลและเม็ดพลาสติกรีไซเคิลของโลกจะสูงถึง 46 และ 90 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 9.5%CAGR และ 9.5%CAGR ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าเม็ดพลาสติกจากฟอสซิลที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 4.5%CAGR
2.ต่อยอดสู่เม็ดพลาสติกเกรดพิเศษ (Specialty Polymers) สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
Krungthai COMPASS แนะนำผู้ประกอบการผลิตเม็ดพลาสติกไทยสามารถต่อยอดสู่เม็ดพลาสติกเกรดพิเศษสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อรองรับความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการเพิ่มขึ้นของความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยกำลังเตรียมความพร้อมในการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก โดยภาครัฐออกนโยบาย 30@30 โดยมีเป้าหมายในการผลิตรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicle: ZEV) ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมด ภายในปี 2573 ซึ่งจะทำให้ความต้องการเม็ดพลาสติกเกรดพิเศษสำหรับรถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยข้อมูลจาก Credence Research (2024) ประเมินว่า ในปี 2575 มูลค่าตลาดเม็ดพลาสติกเกรดพิเศษสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของโลกจะสูงถึง 16.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสูงถึงปีละ 13.5%CAGR
เนื่องจากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจะใช้พลาสติกเป็นวัตถุดิบเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% ต่อคัน โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการลดน้ำหนัก และการเพิ่มประสิทธิภาพของรถยนต์ไฟฟ้า เช่น ตัวถัง โครงสร้างรถยนต์ และส่วนประกอบของแบตเตอรี่ เป็นต้น จึงเป็นโอกาสสำหรับเม็ดพลาสติกเกรดพิเศษที่ใช้เป็นส่วนประกอบของรถยนต์ไฟฟ้า เช่น PE Compounds และ PP Compounds เป็นต้น เนื่องจากเป็นเม็ดพลาสติกที่มีคุณสมบัติทนต่ออุณหภูมิสูง ทนทานต่อแรงกระแทก และน้ำหนักเบา ซึ่งนอกจากจะช่วยหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคาจากสินค้าเม็ดพลาสติกทั่วไป (Commercial grade) แล้ว ยังช่วยเพิ่มโอกาสทางการตลาดจากสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันของผู้ประกอบการผลิตเม็ดพลาสติกไทยในระยะยาว
3.ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมทั้งติดตั้งเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS)
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ของธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติก เช่น การใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติ (Automation) และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และลดการใช้ทรัพยากร ทั้งวัตถุดิบและพลังงาน รวมทั้งสามารถใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการคาดการณ์ความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกใหม่ที่มีคุณภาพและยั่งยืนมากขึ้น
นอกจากนี้ ธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติกไทยอาจพิจารณาประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization, and Storage: CCUS) เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยจากรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าการลงทุนในเทคโนโลยี CCUS จะมีระยะเวลาคืนทุนราว 5-10 ปีขึ้นไป ซึ่งขึ้นอยู่กับการใช้ประโยชน์จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกดักจับ โดยหากมีการขายคาร์บอนเครดิตที่ได้จากการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกดักจับมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มต่างๆ เพื่อจำหน่าย เช่น เม็ดพลาสติกจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2-Based Polymers) และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น จะสามารถลดระยะเวลาคืนทุนได้มากกว่าการกักเก็บคาร์บอนเพียงอย่างเดียวหรือไม่ได้มีการแปลงสภาพของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกดักจับ ทั้งนี้ การลงทุนในเทคโนโลยี CCUS จะช่วยลดความเสี่ยงจากภาษีคาร์บอนของประเทศคู่ค้า รวมทั้งยังช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593

……
Krungthai COMPASS มองว่า ธุรกิจเม็ดพลาสติกไทยกำลังเผชิญกับปัจจัยท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะการแข่งขันกับเม็ดพลาสติกจีนที่สูงขึ้น ผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงแรงกดดันด้าน ESG ดังนั้น ผู้ประกอบการผลิตเม็ดพลาสติกไทยควรปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆ และสร้างความสามารถทางการแข่งขันที่ยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือกันทั้ง Ecosystem ดังนี้