ThaiPublica > ประเด็นร้อน > Research Reports > Krungthai Compass > Krungthai COMPASS วิเคราะห์ “Blue Carbon ทางเลือกในการกักเก็บคาร์บอนและโอกาสทางธุรกิจ”

Krungthai COMPASS วิเคราะห์ “Blue Carbon ทางเลือกในการกักเก็บคาร์บอนและโอกาสทางธุรกิจ”

27 มิถุนายน 2023


Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย วิเคราะห์เรื่อง “Blue Carbon ทางเลือกในการกักเก็บคาร์บอนและโอกาสทางธุรกิจ” โดยมองว่า

……

  • ระบบนิเวศ Blue Carbon Ecosystem (BCE) ทั้งป่าชายเลนและหญ้าทะเลเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนตามธรรมชาติที่น่าสนใจ ทั้งในแง่ปริมาณคาร์บอนที่กักเก็บได้และต้นทุนการลดก๊าซเรือนกระจกอยู่ในระดับที่แข่งขันได้เมื่อเทียบกับระบบนิเวศบนบก ขณะที่ราคาซื้อขายคาร์บอนเครดิต หรือ Blue Carbon Creditsที่ได้จากการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกในภาคป่าไม้มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามความต้องการของตลาดเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net-Zero GHG Emissions
  • ผู้ประกอบการที่ต้องการคาร์บอนเครดิตจากระบบนิเวศ BCEเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิตอาจเริ่มต้นด้วยการเข้าร่วมโครงการปลูกป่าชายเลนของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง หากโครงการดำเนินการได้ตามเป้าหมาย 3แสนไร่และปริมาณคาร์บอนที่กับเก็บได้ในระยะเวลาอย่างน้อย 10ปีอยู่ที่ระดับค่าเฉลี่ยศักยภาพฯ คาดว่าจะเกิดคาร์บอนเครดิตอย่างต่ำ 28MtCO 2
  • การฟื้นฟูระบบนิเวศ BCE ยังก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วม (Co-benefit)หลายประการ อาทิ รายได้จากการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และธรรมชาติการทำประมงที่มีความยั่งยืนมากขึ้นซึ่งอาจสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเฉลี่ยมากกว่า 4 แสนล้านบาทต่อปี
  • ……

    ในปัจจุบัน ภาคส่วนต่างๆทั้งในระดับองค์กรและระดับประเทศมีความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์(Net-Zero GHG Emissions) ในระยะข้างหน้าสอดคล้องกับวาระของโลกที่มุ่งลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้จะมีความพยายามที่จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยตัวเองแต่ก็ทำได้ไม่ทั้งหมดเพราะต้นทุนส่วนเพิ่มในการลดก๊าซเรือนกระจกสูงมากจึงทำให้ยังมีความต้องการปริมาณคาร์บอนเครดิตจำนวนมากเพื่อใช้ในการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้น

    บทความฉบับนี้จะชวนทุกท่านมาทำความรู้จักกับทางเลือกใหม่ในการกักเก็บคาร์บอนที่มีประสิทธิภาพสูงผ่านระบบนิเวศชายฝั่งหรือ Blue Carbon Ecosystem(BCE)และโอกาสในการสร้างรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตที่เกิดจากโครงการฟื้นฟูหรืออนุรักษ์ระบบนิเวศ Blue Carbonรวมไปถึงการใช้ในกิจกรรมชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือที่เรียกว่ากิจกรรมชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset)เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกBlue Carbon Ecosystem เป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอน ที่มีประสิทธิภาพสูง

    Blue Carbon Ecosystem เป็นระบบนิเวศตามป่าชายเลน ที่ลุ่มน้ำเค็มที่ราบน้ำท่วมถึง และหญ้าทะเลที่มีประสิทธิภาพสูงในการทำหน้าที่ดูดซับและกักเก็บคาร์บอนในรูปของมวลชีวภาพและการทับถมของตะกอนลงสู่ชั้นดินลึกหลายเมตร

    โดยที่คาร์บอนจะถูกกักเก็บได้นานนับพันปีในชั้นตะกอนหากสภาพแวดล้อมของระบบนิเวศไม่ได้ถูกทำลายจากภัยธรรมชาติหรือกิจกรรมของคน (WEF, 2021)ต่างจากระบบนิเวศบนบก (Terrestrial Ecosystem) เช่น ป่าฝนที่แม้ว่าจะกักเก็บคาร์บอนในชีวมวลได้เช่นกัน

    แต่จะปล่อยคาร์บอนกลับออกมาเมื่อต้นไม้ตาย ที่ผ่านมา การวิจัยต่างๆชี้ว่าระบบนิเวศ Blue Carbon มีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนได้สูงกว่าป่าไม้ราว5-10 เท่า 1 เนื่องจากสามารถดึงคาร์บอนประมาณ 50-90 % ไปกักเก็บไว้ในใต้ดินที่มีน้ำทะเลท่วมขังซึ่งช่วยชะลอการเน่าเปื่อยของอินทรีย์วัตถุและช่วยเพิ่มปริมาณการสะสมคาร์บอนในดินการฟื้นฟูระบบนิเวศ Blue Carbon หลายประเภทมีศักยภาพการลด CO 2ต่อหน่วยพื้นที่ สูงกว่าภาคป่าไม้ศักยภาพการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยพื้นที่ (Mitigation Potential) มีความแตกต่างกันตามประเภทกิจกรรมในแต่ละระบบนิเวศ

    โดยที่กิจกรรมการฟื้นฟูป่าชายเลน (Mangrove restoration)โดยเฉลี่ยมีศักยภาพสูงกว่ากิจกรรมการฟื้นฟูสภาพป่า (Reforestation) ในระบบนิเวศป่าไม้ และกิจกรรมการฟื้นฟูหญ้าทะเล (Seagrass restoration) ในการลดปริมาณ CO 2 ต่อหน่วยพื้นที่

    โดยรวมแล้ว Blue Carbon โดยเฉพาะที่เกิดจากกิจกรรมการฟื้นฟูป่าชายเลนเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้ภาคส่วนต่างๆ สามารถก้าวไปสู่การบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้

    อนึ่ง จากงานวิจัยล่าสุดของ McKinsey & Company (2022)ประเมินว่ากิจกรรมการฟื้นฟูและการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลน หญ้าทะเล
    และที่ลุ่มน้ำเค็มโดยรวมทั้งโลกจะมีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนราว 0.4-1.2 กิกะตันของคาร์บอนไดออกไซด์ (GtCO 2 ) ต่อปี ภายใน ปี 2050

    ต้นทุนการลดก๊าซเรือนกระจกของ Blue Carbonอยู่ในระดับที่น่าสนใจเทียบกับราคาซื้อขายในตลาดคาร์บอนจากการศึกษาต้นทุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ McKinsey & Company(2022)พบว่าต้นทุนสุทธิที่ต้องจ่ายเพิ่มในการลดก๊าซเรือนกระจกต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์ (tCO 2 ) ของ Blue Carbon ในหลายประเภทกิจกรรม/โครงการ เช่นการฟื้นฟูป่าชายเลน การอนุรักษ์ป่าชายเลน การอนุรักษ์หญ้าทะเลในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 18 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ tCO 2ซึ่งแข่งขันได้เมื่อเทียบกับกิจกรรมการกักเก็บคาร์บอนในระบบนิเวศบนบกและน่าสนใจเมื่อเทียบกับราคาซื้อขายในตลาดคาร์บอนเครดิตหากผู้ที่พัฒนาโครงการขายคาร์บอนเครดิตที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ทั้งนี้จากข้อมูลของ Abatableพบว่าราคาคาร์บอนเครดิตจาก Blue Carbon โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 30ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ tCO 2โดยที่บางประเภทโครงการมีราคาซื้อขายคาร์บอนเครดิตสูงถึง 50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อ tCO 2

    ชายฝั่งทะเลไทยก็มีระบบนิเวศป่าชายเลนและหญ้าทะเลเป็นอีกโอกาสสำคัญในการกักเก็บและดูดซับ CO 2ระบบนิเวศ Blue Carbon กระจายตัวอยู่ตามชายฝั่งทะเลทั่วโลก ครอบคลุมพื้นที่ราว185 ล้านเฮกตาร์ และมีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนสูงกว่า 30,000 TgC
    (Nature, 2021) 2 สำหรับประเทศไทยนั้น มีระบบนิเวศ Blue Carbonทั้งป่าชายเลนและหญ้าทะเลซึ่งอยู่ตามชายฝั่งทะเลในจังหวัดหรือหมู่เกาะต่างๆ ทั้งนี้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งประเมินว่าไทยมีพื้นที่ป่าชายเลนคงสภาพเป็นป่าอยู่ 1.74 ล้านไร่โดยบางส่วนจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูจากการบุกรุกและใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ ที่กระทบระบบนิเวศป่าชายเลน

    ขณะที่พื้นที่ที่มีศักยภาพเป็นแหล่งหญ้าทะเลมีอยู่ราว 160,628 ไร่แต่จากข้อมูลล่าสุดปี 2564 มีพื้นที่เพียง 99,325 ไร่ ซึ่งแสดงว่าไทยยังมีพื้นที่อีก 38% ที่สามารถฟื้นฟูหญ้าทะเลให้เป็นระบบนิเวศที่ช่วยกักเก็บคาร์บอนได้

    ภาครัฐตั้งเป้าฟื้นฟูป่าชายเลน 3 แสนไร่ เพื่อเป็นแหล่งกักเก็บก๊าซเรือนกระจกผ่านความร่วมมือจากภาคเอกชน

    กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ได้จัดทำ“โครงการปลูกป่าชายเลนเพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต” ในพื้นที่ 23 จังหวัดจำนวน 3 แสนไร่ในช่วง 2565-2574 โดยมีผู้ที่เกี่ยวข้องหลัก 3 ฝ่าย ได้แก่ (ก) ทช.เป็นเจ้าของโครงการและผู้พัฒนาโครงการ (ข) อบก.เป็นผู้ขึ้นทะเบียนโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) หรือ T-VER มาตรฐานขั้นสูง (Premium T-VER)และรับรองคาร์บอนเครดิตให้กับผู้พัฒนาโครงการ (ค) องค์กรเอกชนชุมชนท้องถิ่นหรือชายฝั่ง เป็นผู้พัฒนาโครงการโดยสามารถเลือกกรอบระยะเวลาดำเนินการครั้งละ 10, 20, และ 30 ปี(ขอต่ออายุได้ครั้งละ 10 ปี ไม่จำกัดจำนวนครั้ง) อนึ่งในแต่ละปี ทช.จะประกาศเชิญเข้าร่วมโครงการปลูกป่าชายเลน กำหนดพื้นที่เป้าหมายและพิจารณาจัดสรรพื้นที่ดำเนินโครงการปลูกป่าชายเลนให้กับผู้ที่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติ โดยในปีที่ผ่านมา ได้มีการจัดสรรพื้นที่ 4.1 หมื่นไร่ให้กับองค์กรเอกชนจำนวน 14 ราย ในการดำเนินโครงการฯ

    สำหรับองค์กรเอกชนที่เข้าร่วมเป็นผู้พัฒนาโครงการปลูกป่าชายเลนจะได้ประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตที่เกิดขึ้นในระยะข้างหน้าหากการดำเนินโครงการเป็นไปตามระเบียบของ ทช.ที่เกี่ยวกับการปลูกและบำรุงป่าชายเลนและการแบ่งปันคาร์บอนเครดิต

    อนึ่งการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตระหว่าง ทช. กับบุคคลภายนอก กำหนดสัดส่วนเท่ากับ 10: 90 หรือตามที่ตกลง โดยที่ ทช. จะได้รับสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 10จากโครงการปลูกป่าชายเลน เพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต Blue Carbon Credit สร้างโอกาสในเชิงเศรษฐกิจและธุรกิจ รวมถึง Co-benefits ต่อหลายภาคส่วน

    ป่าชายเลนมีศักยภาพในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิ 9.4 tCO 2 ต่อไร่ต่อปี อ้างอิงจากผลการศึกษาศักยภาพการกักเก็บคาร์บอนในป่าชายเลนในพื้นที่ 9 จังหวัดของไทยทั้งในโซนอ่าวไทยและโซนอันดามันของคณะทำงานร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยและหน่วยงานรัฐ 3 ในเบื้องต้นสมมติว่าหาก ทช.สามารถดำเนินโครงการปลูกป่าชายเลนได้ครบตามเป้าหมาย 3 แสนไร่พร้อมกับกักเก็บปริมาณคาร์บอนได้ที่ระดับเดียวกับค่าเฉลี่ยศักยภาพข้างต้น และได้รับการรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตอย่างน้อย 10 ปี คาดว่าจะเกิดคาร์บอนเครดิตอย่างต่ำ 28 MtCO 2

    นับเป็นโอกาสสำหรับภาคธุรกิจทั้งที่เป็นผู้พัฒนาโครงการเพื่อรับประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตหรือผู้ที่ต้องการซื้อคาร์บอนเครดิตจากผู้ที่พัฒนาโครงการปลูกป่าชายเลนดังกล่าว เพื่อใช้ในกิจกรรมชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset)เพื่อลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่องค์กรปล่อยเข้าสู่ชั้นบรรยากาศซึ่งจะช่วยทำให้ผู้ประกอบการเข้าใกล้เป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net-Zero GHG Emissions ได้อีกทางหนึ่ง
    และเป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เช่น เป้าหมาย SDG

    ด้านการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์มหาสมุทรและทรัพยากรทะเลอย่างยั่งยืนรวมทั้งเป็นการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับธุรกิจท่ามกลางกระแสความตื่นตัวของผู้บริโภคทั่วโลกที่ใส่ใจปัญหาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

    อนึ่งผู้ที่พัฒนาโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจที่ขึ้นทะเบียนโครงการกับ อบก. จะได้ประโยชน์จากมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับกำไรสุทธิที่เกิดจากการขายคาร์บอนเครดิตในประเทศเป็นระยะเวลา 3 รอบบัญชีต่อเนื่องกัน และยังสร้างรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตด้วย

    นอกจากนี้ โครงการปลูกป่าชายเลนยังสร้างผลประโยชน์ร่วม (Co-benefit)หลายด้านที่นอกเหนือจากการลดก๊าซเรือนกระจกของภาคธุรกิจและประเทศ เช่น เป็นแหล่งรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่นจากรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงนิเวศทางทะเล (Marine Ecotourism) ปรับปรุงคุณภาพน้ำและระบบนิเวศชายฝั่งทะเล รวมถึงเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำซึ่งช่วยสนับสนุนด้านการทำประมงชายฝั่งอย่างยั่งยืน โดยรวมแล้วนับเป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจในชุมชนและอื่นๆ รวมถึงส่งเสริมการพัฒนาอาชีพใหม่ๆ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม #####

    ในเบื้องต้นระบบนิเวศทางทะเลดังกล่าวอาจสร้างมูลค่าเศรษฐกิจโดยรวมให้กับประเทศโดยเฉลี่ยปีละ 4.8 แสนล้านบาทในช่วง 20 ปี (2557-2576)อ้างอิงจากการประมาณการมูลค่าเศรษฐกิจรวมของระบบนิเวศป่าชายเลนและหญ้าทะเล (รวมถึงแนวปะการัง)ของสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งปี 2557 4

    ทั้งนี้มูลค่าทางเศรษฐกิจโดยส่วนใหญ่เป็นรายได้จากภาคการท่องเที่ยวและการทำประมงประโยชน์จากการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง การดูดซับและกักเก็บคาร์บอนอย่างไรก็ดี เนื่องจากการศึกษาดังกล่าวประเมินไว้ในปี 2557 ผ่านมา 9 ปีประมาณการมูลค่าเศรษฐกิจโดยรวมอาจเปลี่ยนแปลงไปตามบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนไปแต่อย่างน้อยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่มีต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม

    …….

  • การดำเนินโครงการการฟื้นฟูและอนุรักษ์ระบบนิเวศ Blue Carbon Ecosystem (BCE) เป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการกักเก็บคาร์บอนสำหรับภาคเอกชนที่ต้องการสร้างรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตหรือนำคาร์บอนเครดิตไปใช้ในการชดเชยปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนหรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เนื่องจาก BCE มีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนได้จำนวนมากในขณะเดียวกันมีต้นทุนในการดำเนินการเพื่อกักเก็บคาร์บอนในระดับที่แข่งขันได้เมื่อเทียบกับระบบนิเวศบนบก
  • ในปัจจุบัน คาร์บอนเครดิตจากสาขาป่าไม้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากโดยมีปริมาณซื้อขาย ราคาและมูลค่าการซื้อขายคาร์บอนเครดิตสูงเมื่อเทียบกับสาขาอื่น ๆ เรามองว่าในอนาคตราคาและปริมาณความต้องการคาร์บอนเครดิตจากโครงการประเภทการดูดซับ(Carbon Removal) อย่างเช่นกิจกรรมการปลูกป่าชายเลนมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับคาร์บอนเครดิตจากโครงการประเภทการลดก๊าซเรือนกระจก (Carbon Reduction)เนื่องจากภาคส่วนต่างๆ มีความต้องการใช้คาร์บอนเครดิตที่มีคุณภาพสูงเพื่อบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net-Zero GHG Emissions
  • ภาคเอกชนที่สนใจใน BCE อาจเริ่มจากการเข้าร่วมใน“โครงการปลูกป่าชายเลนเพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต” ในพื้นที่ 23จังหวัด ซึ่งจัดทำโดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.)โดยองค์กรภาคเอกชนที่เข้าร่วมในการปลูกและบำรุงรักษาป่าชายเลนจะได้ประโยชน์จากการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตภายใต้มาตรฐาน T-VERหรือมาตรฐานขั้นสูง Premium T-VERซึ่งเป็นการยกระดับมาตรฐานคาร์บอนเครดิตให้ทัดเทียมกับมาตรฐานสากลโดยสามารถนำไปชดเชยปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือจะสร้างรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตที่มีคุณภาพดีโดยที่กำไรสุทธิจากการขายคาร์บอนเครดิตภายใต้โครงการ T-VERยังได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 3 รอบบัญชีต่อเนื่องอีกด้วย
  • นอกจากนี้ โครงการประเภท BCE ยังสร้างผลประโยชน์ร่วม (Co-benefit)หลายประการต่อชุมชนและธุรกิจท้องถิ่น เช่นประโยชน์ทางด้านสันทนาการและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศทางทะเล (Marine Ecotourism) การปรับปรุงคุณภาพน้ำและระบบนิเวศชายฝั่งทะเลรวมถึงการเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำซึ่งช่วยสนับสนุนด้านการทำประมงชายฝั่งอย่างยั่งยืนโดยรวมแล้วนับเป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจในชุมชนและส่งเสริมการพัฒนาอาชีพใหม่ๆ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
  • หมายเหตุ

    1. อ้างอิงจากบทความต่างๆ อาทิ Economist Impact (2022), World Economic Forum (2021),
    Mcleod et al. (2011), TGO (2022)

    2. Teragrams of Carbon (TgC) โดยที่ 1 TgC มีค่าเท่ากับ 1 ล้านตันคาร์บอน

    3.ความร่วมมือระหว่าง ทช. อบก. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยศิลปากร

    4. ศึกษาและประเมินโดย รศ.ดร.อรพรรณ ณ บางช้าง-ศรีเสาวลักษณ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช