ThaiPublica > Sustainability > EXIM BANK เดินหน้าบทบาท Green Development Bank หนุนผู้ประกอบการขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำ

EXIM BANK เดินหน้าบทบาท Green Development Bank หนุนผู้ประกอบการขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำ

16 ธันวาคม 2024


ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)

วันที่ 16 ธันวาคม 2567 ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) จัดงานแถลงข่าวทิศทางเศรษฐกิจและการส่งออกปี 2568 กับบทบาท EXIM BANK  โดย ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK

ดร.รักษ์ กล่าวว่า ในปี 2568 EXIM BANK จะเดินหน้าบทบาท Green Development Bank นำทัพผู้ประกอบการไทยขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำและสร้างโลกที่ยั่งยืน มุ่งสู่เป้าหมายเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อสนับสนุนธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social, and Governance : ESG) เป็น 40% ภายในปี 2568 พร้อมเปิดตัวบริการใหม่ด้านวาณิชธนกิจ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ จัดหาเงินทุนสำหรับโครงการ รวมถึงค้ำประกันหุ้นกู้ (Bond Guarantee) แก่ผู้ประกอบธุรกิจที่คำนึงถึง ESG

“EXIM BANK มองว่า สินเชื่อ ESG จะเพิ่มขึ้นเป็น 50% ของสินเชื่อรวม จาก 40% ภายในสิ้นปีนี้” ดร.รักษ์กล่าวและว่า นอกจากนี้ยังสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่เพื่อตอบสนองผู้ประกอบการมากขึ้น สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ Ignite Thailand ของรัฐบาล โดยจะขยายสินเชื่อสีเขียวอีก 5,000 ล้านบาทและสินเชื่อเพื่อการเปลี่ยนผ่าน 5,000 ล้านบาท

สำหรับบริการใหม่ด้านวาณิชธนกิจได้ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการแล้ว ดร.รักษ์ กล่าวว่า บริการใหม่ด้านวาณิชธนกิจนี้เป็นกลไกที่จะสนับสนุนการให้สินเชื่อสีเขียวภายใต้ข้อจำกัดของธนาคาร โดยหลักๆ ประกอบด้วยการจัดตั้งกองทุนดอกเบี้ยต่ำ (concessional fund) กับการค้ำประกันหุ้นกู้

ในด้านกองทุนจะมีทั้งให้กู้ดอกเบี้ยต่ำ( financing) และเงินให้เปล่า( grant) ซึ่ง EXIM BANK จะทำหน้าที่ผู้จัดการกองทุน โดยจะแสวงหาความร่วมมือจากธุรกิจในต่างประเทศ รวมถึงกองทุนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง นอกจากนี้ EXIM BANK จะร่วมสนับสนุนทางการเงินในส่วนของ financing ที่อาจจะอยู่ในรูปของ syndication รวมไปถึงการเป็นผู้ค้ำประกันหุ้นกู้ไปพร้อมกัน

ขณะเดียวกัน EXIM BANK สนับสนุนธุรกิจส่งออกและการลงทุนที่ขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน นำพาธุรกิจไทยทุกขนาดเข้าสู่ Green Export Supply Chain และมุ่งสู่เป้าหมายธนาคารด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2570 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2593 โดยสอดคล้องกับความต้องการของโลกในการสนับสนุนทางการเงินเพื่อจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Finance) ซึ่งประเมินว่าสูงถึง 8.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี แต่ตัวเลข Climate Finance ปี 2565 มีอยู่เพียง 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เท่ากับว่ายังขาดเม็ดเงินอีกมูลค่ามหาศาลในการจัดการกับปัญหาดังกล่าว

“Green financing ยังต้องการเงินอีก 6 เท่า แม้มีกระแสการเงินอย่างต่อเนื่อง ตลาด green bond และ blue bond ยังมีพื้นที่เล่นอีกมากมายมหาศาล” ดร.รักษ์กล่าว

ในการดำเนินบทบาท Green Development Bank ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2567 EXIM BANK มียอดสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพัน 179,316 ล้านบาท และคาดว่าจะสูงกว่า 190,000 ล้านบาทภายในสิ้นปี 2567 เพิ่มขึ้น 6.8% จาก 177,932 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2566 ขณะที่สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) คาดว่าจะอยู่ที่ 3.49% ลดลงถึง 1.2% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน เป็นผลจากการติดตามคุณภาพสินเชื่ออย่างใกล้ชิดของธนาคาร ทำให้คาดว่า ณ สิ้นปี 2567 EXIM BANK จะสามารถทำกำไรสุทธิได้สูงกว่า 1,000 ล้านบาท

ดร.รักษ์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 3% ด้วยแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่องจากการใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุน และการบริโภค ควบคู่กับความต้องการจากต่างประเทศในภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกซึ่งมีแนวโน้มขยายตัว เป็นผลจากเศรษฐกิจโลกขยายตัวต่อเนื่อง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกปี 2568 จะขยายตัว 3.2% (เท่ากับปี 2567) และการค้าโลกปี 2568 จะขยายตัว 3.4% (สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ราว 2.8%)

เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัว 3% เป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี จากคาดการณ์ 2.8% ในปีนี้ เนื่องจากหลายเครื่องยนต์ทำงานพร้อมกัน ได้แก่งบประมาณปี 2568 ที่มีจำนวน 3.5 ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้น 7.8% การลงทุนที่ยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนฯรอบ 9 เดือนปี 2567 มีมูลค่า 7.2 แสนล้านบาท การบริโภคยังขยายตัวและอาจจะมีมาตรการสนับสนุนต่อเนื่องทั้งการแจกเงิน 10,000 บาท และการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวัน นอกจากนี้การท่องเที่ยวก็คาดว่าจะกลับไปที่ระดับก่อนโควิดด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวถึง 40 ล้านคน สูงสุดในรอบ 10 ปี

“ปี 2568 เป็นปีที่เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ที่ทำงานพร้อมกันทั้งจากอุปสงค์ภายในและภายนอกประเทศ ขณะที่โอกาสของธุรกิจไทยยังมีอยู่อีกมากในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจที่สามารถพัฒนาสินค้าหรือบริการตอบโจทย์เทรนด์ของตลาดโลกได้ EXIM BANK จึงเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนการส่งออก ด้วยนวัตกรรมทางการเงินที่จะช่วยเสริมหรือติดอาวุธให้ผู้ประกอบการแข่งขันได้มากขึ้นในเวทีโลก นำพาธุรกิจไทยสู่ความยั่งยืน ท่ามกลางความไม่แน่นอนในตลาดการค้าโลกปัจจุบัน” ดร.รักษ์ กล่าว

ตลาดที่มีศักยภาพ ได้แก่ ตลาดเกิดใหม่ อาทิ อินเดีย CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) อาเซียน 5 ประเทศ และตะวันออกกลาง ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2568 สูงถึง 6.5%, 5.3%, 4.5% และ 3.8% ตามลำดับ ทำให้คาดว่าการส่งออกไทยปี 2568 จะขยายตัว 3% สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าเกษตรและอาหาร และสินค้าไลฟ์สไตล์ เช่น เครื่องสำอาง อาหารสัตว์เลี้ยง

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในตะวันออกกลางที่อาจส่งผลให้ค่าระวางและราคาน้ำมันผันผวน ความผันผวนของค่าเงิน และสงครามการค้ารอบใหม่ (Trade War 2.0) เป็นผลจากนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศต่าง ๆ ของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า ในปี 2568 EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง จะเป็นผู้นำผู้ประกอบการไทยรุกตลาดการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ โดยส่งเสริมการส่งออกและการลงทุนในธุรกิจที่ไทยมีศักยภาพ สอดรับกับเทรนด์ผู้บริโภคในโลกการค้ายุคใหม่ ได้แก่

1. สินค้าตอบโจทย์ความมั่นคงด้านอาหาร (Food for Security) ซึ่งประเทศไทยอยู่ในอันดับ 10 ของประเทศผู้ผลิตอาหารต่อคนมากที่สุดในโลก สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ ทูน่ากระป๋องและไก่แปรรูป น้ำตาลทราย และซาร์ดีนกระป๋อง

2. สินค้ารักษ์โลก (Good for Planet) สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ เม็ดพลาสติกชีวภาพ (Polylactic Acid : PLA) และแผงโซลาร์เซลล์

3. สินค้าและบริการที่สร้างความสุขหรือประสบการณ์ใหม่ (Mood for Joy) สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง เครื่องประดับเงิน เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ นอกจากนี้ สินค้าที่มีโอกาสเติบโตในปี 2568 ยังได้แก่ สินค้าที่ได้รับผลดีจากนโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้แก่ สินค้าเครื่องปรับอากาศและหม้อแปลงไฟฟ้าที่ไทยอาจสามารถกลับมาช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้น หากสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนและประเทศอื่น ๆ เพิ่มขึ้นตามที่ได้เคยประกาศนโยบายไว้

“เครื่องสำอางไทย ติดตลาดจีนอยู่ใน 5 อันดับแรกของสินค้าที่ได้รับความนิยม เครื่องสำอางไทยลงทุนไม่มากสามารถผลักดันเป็น softpower ได้ ส่วนกลุ่ม Medical Tourism and Overseas Healthcare ปีหน้าคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวในกลุ่มนี้ราว 3-5% ของนักท่องเที่ยวรวม” ดร.รักษ์กล่าว