ThaiPublica > Sustainability > Global Issues > กฟผ. ดูความก้าวหน้าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ SMR ไห่หนาน ตัวอย่างเกาะพลังงานสะอาดปี 2030

กฟผ. ดูความก้าวหน้าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ SMR ไห่หนาน ตัวอย่างเกาะพลังงานสะอาดปี 2030

10 พฤศจิกายน 2024


กระแสและแนวโน้มของโลกกดดันให้ทั่วโลกหันมาร่วมมือเพื่อลดโลกร้อน (mitigation) และการปรับตัวรับมือโลกเดือด (adaptation) ไปพร้อมๆ กัน ณ วันนี้จำเป็นที่จะต้องเดินหน้าควบคู่กันไปทั้ง mitigation และ adaptation โดยเป้าหมายของไทยสู่ carbon neutrality ในปี 2050 และ net zero ในปี 2065 แม้เป้าหมายดูจะไกลเกินเอื้อม แต่ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะไม่ลงมือทำ เพราะวันนี้โลกร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง การช่วยกันชะลอและลดโลกร้อน รวมทั้งการปรับตัวยิ่งต้องทำอย่างจริงจัง

ท่ามกลางความต้องการ green products ของทุกคนที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตในทุกอุตสาหกรรมและบริการ จึงต้องเดินหน้าทำตัวเองให้ green ที่สุด เพื่อส่งต่อ green ไปเรื่อยๆ จนถึงปลายน้ำ เพราะปัจจุบันมีมาตรการต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ที่เป็นข้อกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ผู้ประกอบการต้องดำเนินการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

สำหรับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้าจึงต้องตอบสนองความต้องการของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวว่า ทั่วโลกต่างมีความต้องการไฟฟ้าสีเขียวเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย carbon neutrality และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน

ด้วยโครงสร้างการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ใช้เชื้อเพลิงที่มาจากฟอสซิล (เช่น ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน) เป็นส่วนใหญ่ จึงจำเป็นต้องเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องเสถียรภาพไม่สามารถจ่ายไฟฟ้าได้ตลอด การจะทำให้จ่ายไฟฟ้าได้ต่อเนื่อง 24 ชั่วโมงต้นทุนจะค่อนข้างสูง กฟผ. จึงมองหาพลังงานทางเลือกใหม่ ซึ่งหลายประเทศทั่วโลกต่างให้ความสนใจและบรรจุไว้ในแผนพัฒนาการผลิตไฟฟ้าของประเทศ คือ โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ SMR (small modular reactor) เพราะตอบโจทย์ทั้งความมั่นคงของระบบไฟฟ้าและไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และจะทำมีต้นทุนค่าไฟฟ้าที่แข่งขันได้

พลังงานทางเลือกใหม่ ดูความก้าวหน้าโรงไฟฟ้า SMR

สำหรับการเชิญคณะสื่อมวลชนมาดูงานโรงไฟฟ้า SMR ที่โรงไฟฟ้า Linglong One ในมณฑลไห่หนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ถือเป็นโรงไฟฟ้า SMR บนพื้นดินเชิงพาณิชย์รุ่นแรกของโลก ซึ่ง กฟผ. มองว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่น่าสนใจและต้องเร่งศึกษา รวมถึงเทคโนโลยี SMR ของประเทศอื่นๆ ซึ่งมีการพัฒนามากกว่า 80 แบบ จาก 18 ประเทศทั่วโลก เพื่อนำมาเปรียบเทียบว่าเทคโนโลยีใดดีที่สุดและเหมาะสมกับประเทศไทย ควบคู่กับการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนผ่านสื่อต่างๆ

โรงไฟฟ้า Hainan Changjiang NPP เป็นหนึ่งในตัวอย่างของการพัฒนาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดอย่างก้าวกระโดดของมณฑลไห่หนาน เนื่องจากเป็นพื้นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่มีทั้งขนาดใหญ่ที่เดินเครื่องแล้ว และขนาดเล็กซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยโรงไฟฟ้า SMR ที่เข้าชมในครั้งนี้มีชื่อว่า ACP100 หรือ Linglong One มีกำลังผลิต 125 เมกะวัตต์ (MWe) เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย เป็นการออกแบบพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จากขนาดใหญ่ให้มีขนาดเล็กลง มีความปลอดภัยสูงขึ้น โดยลดความซับซ้อนของอุปกรณ์ ออกแบบให้ระบบเชื้อเพลิงและระบบผลิตไอน้ำอยู่ภายในโมดูลปฏิกรณ์แบบสำเร็จรูปจากโรงงาน มีระบบระบายความร้อนไม่ต้องพึ่งพาไฟฟ้า ซึ่งมีขนาดเล็ก สูง 10.8 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 4 เมตร หรือเทียบเท่ารถบัส 1 คัน หนักประมาณ 300 ตัน โดยใช้เทคโนโลยีน้ำอัดแรงดัน หรือ PWR (pressurized water reactor) ซึ่งใช้น้ำเป็นตัวกลางระบายความร้อน สามารถหยุดการทำงานได้เองเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ระบบระบายความร้อนไม่ต้องพึ่งพาไฟฟ้า

ส่วนเชื้อเพลิงที่ใช้คือยูเรเนียมออกไซด์ (ความเข้มข้นของ U-235 น้อยกว่า 5%) ปล่อยพลังงานความร้อนจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องเปลี่ยนเชื้อเพลิงนานถึง 24 เดือน นอกจากนี้การออกแบบที่มีความปลอดภัยมากขึ้นทำให้พื้นที่ในการจัดเตรียมแผนฉุกเฉินลดลงด้วย โดยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่อาจมีรัศมีถึง 16 กิโลเมตร ขณะที่โรงไฟฟ้า SMR มีรัศมีน้อยกว่า 1 กิโลเมตร เท่านั้น โดยคาดว่าจะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ภายในปี 2569 จะมีอายุการใช้งานถึง 60 ปี โดยใช้ขนาดพื้นที่ของโรงไฟฟ้าเพียง 125 ไร่เท่านั้น

ส่วนการประเมินเงินลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้า SMR คาดว่าจะสูงกว่าโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมประมาณ 2–3 เท่า แต่เนื่องจากโรงไฟฟ้า SMR มีอายุการใช้งาน 60 ปี และมีต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่ต่ำมาก ดังนั้น หากคำนวณต้นทุนค่าไฟฟ้าเฉลี่ยตลอดอายุของโรงไฟฟ้าก็ถือว่าใกล้เคียงกับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม และในอนาคตมูลค่าการลงทุนโรงไฟฟ้า SMR ก็จะถูกลงอีก ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้ามีราคาที่แข่งขันได้มากยิ่งขึ้น

นายเทพรัตน์กล่าวย้ำว่า “ไฟฟ้าเป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และเป็นต้นทุนของทุกอุตสาหกรรม ดังนั้น การพัฒนาโรงไฟฟ้า SMR เป็นอีกทางเลือกที่ตอบโจทย์ความมั่นคง ไฟฟ้าสีเขียว มีราคาแข่งขันได้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจและการแข่งขันของประเทศ”

เมืองไห่โขว่ มณฑลไห่หนาน หรือเกาะไหหลำ

โรงไฟฟ้า SMR มณฑลไห่หนาน สู่ “เกาะพลังงานสะอาด” 2030

มณฑลไห่หนาน หรือเกาะไหหลำ ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของจีน เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของจีน รองจากไต้หวัน มีประชากรประมาณ 8.86 ล้านคน และชนกลุ่มน้อยกว่า 37 ชนเผ่า โดยมีเมืองสำคัญอยู่ 2 เมือง คือ เมืองไห่โข่ว ซึ่งเป็นเมืองเอกของมณฑลไห่หนาน และเมืองซานย่า โดย GDP ของมณฑลไห่หนานในปี 2023 อยู่ที่ 9.2% หรือประมาณ 755 ล้านหยวน ปัจจัยสำคัญจากการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

มณฑลไห่หนานเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษของจีน การเติบโตของเศรษฐกิจและประชากรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าในปี 2026–2035 อัตราการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 5.2 ต่อปี โดยปัจจุบันพลังงานไฟฟ้าส่วนใหญ่ของมณฑลไห่หนานผลิตจากเชื้อเพลิงถ่านหินและพลังงานนิวเคลียร์ โดยรัฐบาลจีนตั้งเป้าหมายว่า ภายในปี 2030 มณฑลไห่หนานจะเป็นเกาะพลังงานสะอาด (clean energy island หรือ CEI) ด้วยการสนับสนุนนวัตกรรมและเทคโนโลยีพลังงานลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงถ่านหิน ส่งเสริมเทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และห้ามจำหน่ายยานยนต์ที่ใช้น้ำมัน

ต่อมารัฐบาลมณฑลไห่หนานได้ออก “แผนปฏิรูปพลังงาน” ตั้งเป้าหมายใช้พลังงานสะอาด (ก๊าซธรรมชาติ นิวเคลียร์ พลังงานหมุนเวียน) สัดส่วน 50% และใช้พลังงานสะอาด 100% ภายในปี 2035 โดยแผนปฏิรูปพลังงานยังครอบคลุมถึงระบบบริหารการจัดการพลังงานเพื่อกระจายไปยังพื้นที่ชนบท การพัฒนาตลาดพลังงานให้เปิดกว้างและเกิดการแข่งขัน การพัฒนาสิ่งแวดล้อมทางด้านนโยบายของกลุ่มพลังงาน (energy sector)

ดังนั้น การสร้างโรงไฟฟ้า Hainan Changjiang SMR หรือ Linglong One จึงตอบโจทย์เป้าหมายข้างต้น เป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก ขนาด 125 เมกะวัตต์ (MWe) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า SMR ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และยังไม่ได้ใส่เชื้อเพลิง จึงสามารถเข้าไปศึกษาดูงานได้อย่างใกล้ชิด

ที่มาภาพ : โรงไฟฟ้า Hainan Changjiang SMR พัฒนาโดย China National Nuclear Corporation (CNNC)

โรงไฟฟ้า Hainan Changjiang SMR

โรงไฟฟ้า Hainan Changjiang SMR พัฒนาโดย China National Nuclear Corporation (CNNC) ซึ่งเริ่มพัฒนาและออกแบบเมื่อปี 2553 และผ่านการตรวจสอบด้านความปลอดภัยจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ของสหประชาชาติ ในปี 2559 จากนั้นเริ่มก่อสร้างเมื่อเดือนกรกฎาคม 2564 คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ภายในปี 2569 มีอายุการใช้งาน 60 ปี

  • ชนิดของเครื่องปฏิกรณ์
  • SMR module ของโรงไฟฟ้า Hainan Changjiang SMR เป็นโมดูลสำเร็จรูปมีขนาดเล็ก สูง 10 เมตร รัศมี 3.35 เมตร หรือเทียบเท่ารถบัส 1 คัน หนักประมาณ 300 ตัน โดยใช้เทคโนโลยีน้ำอัดแรงดัน หรือ PWR (pressurized water reactor) แบบ ACP100 ใช้น้ำเป็นตัวกลางระบายความร้อน และออกแบบให้อุปกรณ์ทั้งหมดทั้งระบบเชื้อเพลิง ระบบผลิตไอน้ำอยู่ภายในเครื่องปฏิกรณ์ เชื้อเพลิงที่ใช้คือ ยูเรเนียมออกไซด์ (ความเข้มข้นของ U-235 น้อยกว่า 5%) ปล่อยพลังงานความร้อนจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องเปลี่ยนเชื้อเพลิงนานถึง 24 เดือน

  • การออกแบบระบบความปลอดภัย
  • โรงไฟฟ้า Hainan Changjiang SMR ถูกออกแบบให้สามารถหยุดการทำงานได้เองเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน และมีระบบป้องกันความปลอดภัยที่สูงขึ้น โดยลดความซับซ้อนของระบบ มีการรวมอุปกรณ์สำคัญไว้ภายในเครื่องปฏิกรณ์ จึงช่วยลดการใช้ปั๊ม จำนวนท่อและข้อต่อต่างๆ ทำให้อุบัติเหตุที่เกิดจากการรั่วไหลของน้ำหรือสารระบายความร้อนลดลง อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีระบายความร้อนที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าหรือพนักงานเดินเครื่องในการควบคุม แต่ใช้หลักธรรมชาติ เช่น แรงโน้มถ่วง การถ่ายเทความร้อน ทำให้โรงไฟฟ้าไม่เกิดความเสียหาย แม้ไม่มีกระแสไฟฟ้าในระบบได้นานถึง 72 ชั่วโมง นอกจากนี้ขนาดของโรงไฟฟ้าที่เล็กลงยังทำให้พื้นที่รัศมีในการปล่อยสารกัมมันตรังสีลดลงด้วย โดยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่อาจมีรัศมีถึง 16 กิโลเมตร ขณะที่โรงไฟฟ้า SMR มีรัศมีน้อยกว่า 1 กิโลเมตร

  • ข้อดีของโรงไฟฟ้า SMR
  • 1. ช่วยเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า เพราะสามารถผลิตไฟฟ้าในปริมาณมากได้อย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีต้นทุนค่าไฟฟ้าที่แข่งขันได้ เนื่องจากใช้เชื้อเพลิงน้อย (เชื้อเพลิง 1 แท่ง ผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่องนานถึง 24 เดือน) และราคาเชื้อเพลิงไม่ผันผวนเหมือนก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน
    2. เป็นมิตรต่อสิ่งแวลด้อม ผลิตไฟฟ้าโดยไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
    3. ใช้พื้นที่น้อยประมาณ 100 ไร่ (โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วไปใช้ประมาณ 1,000 ไร่)
    4. ลดระยะเวลาในการก่อสร้างเหลือประมาณ 3–4 ปี (โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วไปใช้เวลาก่อสร้าง 5–6 ปี)
    5. สามารถใช้งานได้หลากหลายทั้งผลิตไฟฟ้า ผลิตความร้อนสำหรับอุตสาหกรรม และผลิตไฮโดรเจน
    6. อุปกรณ์หลักประกอบเบ็ดเสร็จจากโรงงาน ทำให้สามารถควบคุมมาตรฐานการผลิตและมาตรฐานความปลอดภัยได้ดียิ่งขึ้น
    7. การจัดทำแผนฉุกเฉินสำหรับ SMR มีรัศมีน้อยกว่า 1 กิโลเมตร (โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วไปมีรัศมีประมาณ 16 กิโลเมตร)
    8. ระบบความปลอดภัยอาศัยหลักธรรมชาติ ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า ทำให้มีความปลอดภัยสูง

  • ข้อจำกัดของโรงไฟฟ้า SMR
  • 1. โรงไฟฟ้า SMR ยังไม่ได้นำไปใช้อย่างกว้างขวางสำหรับการผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์
    2. ใช้เงินลงทุนสูงกว่าโรงไฟฟ้าอื่นๆ เนื่องจากมีระบบความปลอดภัยและการป้องกันรังสีที่เข้มงวด
    3. การสร้างความเข้าใจและการยอมรับของประชาชนต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
    4. ต้องมีการจัดการกากกัมมันตรังสีและเชื้อเพลิงใช้แล้ว

  • SMR การหวนกลับมาของนิวเคลียร์ ตอนที่ 1 : กลับมาเพราะอะไร
  • SMR การหวนกลับมาของนิวเคลียร์ ตอนที่ 2: มาหลายแบบ เลือกอย่างไรดี
  • SMR การหวนกลับมาของนิวเคลียร์ ตอนที่ 3: ไปดูเทคโนโลยี SMR ของจีน
  • พลังงานเซลล์แสงอาทิตย์–ไฮโดรเจน

    การดูงานครั้งนี้นอกจากพลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์แล้วยังได้ไปเยี่ยมชมกิจการการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานเซลล์แสงอาทิตย์ Yinggehai มณฑลไห่หนาน กำลังผลิตสูงถึง 400 เมกะวัตต์ พร้อมติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานรวม 200 เมกะวัตต์–ชั่วโมง พัฒนาบนพื้นที่นาเกลือที่เลิกใช้ประโยชน์แล้ว และพื้นที่ชายฝั่งให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่นเดียวกับการพัฒนาโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำในเขื่อนของ กฟผ. ที่ติดตั้งบนพื้นที่ผิวน้ำในเขื่อน จึงไม่กระทบต่อพื้นที่ทางการเกษตรและไม่มีต้นทุนค่าที่ดิน สามารถใช้อุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เดิมอย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้มีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่สามารถแข่งขันได้ ปัจจุบัน กฟผ. มีแผนจะเร่งดำเนินการโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำในเขื่อน กฟผ. จำนวน 2,656 เมกะวัตต์ ให้เสร็จสิ้นภายในปี 2573 โดยโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ ชุดที่ 1 กำลังผลิต 140 เมกะวัตต์ เป็นโครงการฯ ที่ 3 ของ กฟผ. และอยู่ระหว่างขออนุมัติโครงการต่อคณะรัฐมนตรี

    โรงไฟฟ้าพลังงานเซลล์แสงอาทิตย์ Yinggehai มณฑลไห่หนาน

    การพัฒนารถและเชื้อเพลิงไฮโดรเจน

    ส่วนการเยี่ยมชมการพัฒนาเชื้อเพลิงไฮโดรเจน มณฑลไห่หนานได้พัฒนาสถานีไฮโดรเจน ไห่โข่ว ผลิตไฮโดรเจนสีเขียวจากไฟฟ้าที่ได้จากโซลาร์เซลล์ กำลังผลิต 5 เมกะวัตต์ ด้วยกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (electrolysis) แยกน้ำเป็นไฮโดรเจนด้วยไฟฟ้า ซึ่งสามารถผลิตไฮโดรเจนสีเขียวได้ 100 กิโลกรัมต่อวัน จากนั้นนำไปกักเก็บไว้ในถังเก็บไฮโดรเจนสามารถเติมให้รถที่ใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนได้

    สำหรับประเทศไทย กฟผ. มีโครงการ Wind Hydrogen Hybrid ที่โรงไฟฟ้าลำตะคอง จ.นครราชสีมา สามารถผลิตไฮโดรเจนสีเขียวจากไฟฟ้าที่ได้จากกังหันลมด้วยกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส ทำงานร่วมกับเซลล์เชื้อเพลิง (fuel cell) กำลังผลิต 300 กิโลวัตต์ เปลี่ยนไฮโดรเจนให้เป็นพลังงานไฟฟ้าจ่ายให้ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ลำตะคอง โดยเริ่มใช้งานตั้งแต่ปี 2559 ปัจจุบัน กฟผ. มีโครงการที่ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา คือ โครงการผลิตไฮโดรเจนและแอมโมเนียสะอาดจากพลังงานหมุนเวียนบนพื้นที่ศักยภาพของ กฟผ. ซึ่งมีเป้าหมายเริ่มดำเนินโครงการต้นแบบในปี 2573 นอกจากนี้ กฟผ. อยู่ระหว่างศึกษาศักยภาพและพัฒนาการนำไฮโดรเจนมาใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วมกับก๊าซธรรมชาติสัดส่วน 5% ในโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ที่มีอยู่เดิม โดยมีเป้าหมายทดสอบภายในปี 2573

    การพัฒนาเชื้อเพลิงไฮโดรเจน มณฑลไห่หนาน

    ศูนย์ข้อมูลด้านพลังงานไห่หนาน “Hainan Energy Data Center”

    นอกจากนี้คณะสื่อมวลชนได้เยี่ยมชมศูนย์ข้อมูลด้านพลังงานไห่หนาน (Hainan Energy Data Center) เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ณ เมืองไห่โข่ว สาธารณรัฐประชาชนจีน

    นายธวัชชัย สำราญวานิช รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ กฟผ. กล่าวว่า จากแนวโน้มพลังงานโลกที่มุ่งเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานสีเขียว ส่งผลให้ข้อมูลด้านพลังงานเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยวางแผนการพัฒนาพลังงานเพื่อรองรับการใช้พลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนนำไปใช้เป็นตัวชี้วัดในการพยากรณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ ทางมณฑลไห่หนานได้จัดตั้ง “ศูนย์ข้อมูลด้านพลังงานไห่หนาน” โดยเปิดใช้เมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2566 เพื่อรองรับการเปลี่ยนสู่อุตสาหกรรมพลังงานสีเขียวและคาร์บอนต่ำ การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงเป็นฐานข้อมูลในการพัฒนานโยบายด้านพลังงานของมณฑลไห่หนาน

    ปัจจุบัน ศูนย์ข้อมูลด้านพลังงานไห่หนานได้พัฒนาแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อรองรับและสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด เช่น

  • Hainan Energy Guarantee Operation Dispatching Monitoring System Platform แพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลด้านพลังงานต่างๆ ของมณฑลไห่หนาน ทั้งการผลิตและการใช้ไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และแหล่งพลังงานอื่นๆ รวมถึงข้อมูลการใช้พลังงานของประชากรและบริษัทอุตสาหกรรมทั้งในปัจจุบันและอดีต เพื่อช่วยในการกำหนดแนวทางการวางแผนพัฒนาพลังงานต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ
  • Hainan Free Trade Port (Energy) Economic Insight Platform แพลตฟอร์มที่รวมข้อมูลการใช้พลังงานของภาคอุตสาหกรรมในมณฑลไห่หนาน ร่วมกับข้อมูลทางเศรษฐกิจและการค้าจากหน่วยงานภาครัฐ สำหรับจัดทำนโยบายที่แก้ปัญหาของแต่ละอุตสาหกรรม
  • Hainan Energy and Carbon Intelligent Management Platform แพลตฟอร์มที่รวมข้อมูลการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในพื้นที่ต่างๆ
  • สำหรับ กฟผ. ได้จัดตั้งศูนย์พยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (RE Forecast Center) นำข้อมูลการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ของผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) จำนวน 29 แห่ง ที่เชื่อมต่อกับระบบของ กฟผ. มาวิเคราะห์และประมวลผล จากนั้นจึงนำผลการพยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนไปใช้วางแผนการผลิตไฟฟ้าร่วมกับโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงประเภทอื่นๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศ รวมทั้งเป็นการนำข้อมูลด้านพลังงานมาใช้วิเคราะห์และวางแผน ตอบโจทย์การบริหารจัดการพลังงานสีเขียวในอนาคตอย่างเป็นรูปธรรม

    “ข้อมูลการพยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในระยะเริ่มต้นมาจาก SPP เป็นหลัก หากในอนาคต สามารถนำข้อมูลการผลิตไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) จากหน่วยงานอื่นๆ มาร่วมประมวลผล จะยิ่งทำให้การพยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของประเทศมีความแม่นยำสูงขึ้น ส่งผลดีต่อการบริหารจัดการพลังงานของประเทศในภาพรวมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น”

    นายธวัชชัย สำราญวานิช รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ กฟผ.

    นอกจากนี้ จีนยังมีแผนปรับปรุงโครงข่ายระบบไฟฟ้าให้มีความมั่นคงมากขึ้นเพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานในรูปแบบของโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ (pumped storage hydropower) จำนวนมาก เนื่องจากเป็นระบบกักเก็บพลังงานขนาดใหญ่ที่มีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยต่ำเมื่อเทียบกับระบบกักเก็บพลังงานในรูปแบบอื่นๆ โดยนำพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ในช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าต่ำสูบน้ำไปกักเก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำตอนบน และปล่อยกลับมาผลิตไฟฟ้าในเวลาที่ต้องการ ทำให้สามารถผลิตไฟฟ้าทดแทนพลังงานหมุนเวียนได้อย่างทันท่วงที โดยปัจจุบันประเทศไทยมีโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ 3 แห่ง รวม 1,531 เมกะวัตต์ ได้แก่

  • โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับเขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี กำลังผลิต 360 เมกะวัตต์
  • โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับเขื่อนภูมิพล จ.ตาก กำลังผลิต 171 เมกะวัตต์
  • โรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา จ.นครราชสีมา กำลังผลิต 1,000 เมกะวัตต์
  • และ กฟผ. มีแผนพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับในอนาคตเพิ่มอีก 3 แห่ง ประมาณ 2,480 เมกะวัตต์ ได้แก่

  • โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับเขื่อนจุฬาภรณ์ จ.ชัยภูมิ กำลังผลิต 800 เมกะวัตต์
  • โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับเขื่อนวชิราลงกรณ จ.กาญจนบุรี กำลังผลิต 900 เมกะวัตต์
  • โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับเขื่อนกะทูน จ.นครศรีธรรมราช กำลังผลิต 780 เมกะวัตต์
  • สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ กฟผ. ต้องเร่งพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานในรูปแบบต่างๆ ให้เพียงพอต่อการบริหารจัดการเมื่อพลังงานหมุนเวียนหายไปจากระบบ ซึ่งการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับจะช่วยสร้างความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้า ในต้นทุนที่เหมาะสม ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียว มุ่งสู่เป้าหมาย carbon neutrality ของประเทศ