วันที่ 17 กันยายน 2567 สถาบันการศึกษาระดับสูงของกองทัพ 5 สถาบัน ได้แก่ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรฯ วิทยาลัยเสนาธิการทหารฯ วิทยาลัยการทัพบก วิทยาลัยการทัพเรือฯ และวิทยาลัยการทัพอากาศฯ ร่วมกันจัดงานแถลงผลการศึกษาเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อนำเสนอผลงานทางวิชาการของนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรฯ(วปอ.) รุ่นที่ 66 โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตรนายกรัฐมนตรี เป็นประธานรับฟังการแถลงผลการศึกษาฯ
การนำเสนอผลงานทางวิชาการ มาจากกระบวนการจัดทำยุทธศาสตร์ของรุ่น ประกอบด้วยสถานการณ์และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายครอบคลุมความท้าทาย 12 ด้าน ที่แบ่งออกเป็น 6 หัวข้อหลักคือ เปลี่ยนใหญ่ประเทศไทย ซ่อมฐานราก ผลัดใบเศรษฐกิจ ยกเครื่องระบบราชการ เสริมสร้างกองทัพรองรับความท้าทาย Thailand Next พร้อมระบุ ถึงเวลาต้องตัดสินใจ เปลี่ยนใหญ่ประเทศ เพื่อไปสู่การเป็น “Thailand Next”
Thailand Next มาพร้อม 12 จุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับประเทศไทย
มิติแรก “่ซ่อมฐานราก” ประกอบด้วย 3 จุดเปลี่ยน คือ 1)ลงทุนในคุณภาพการศึกษา 2)พัฒนาระบบน้ำทั่วประเทศ, 3)สานพลังเอกชนลดเหลื่อมล้ำ
มิติที่สอง “ผลัดใบเศรษฐกิจ” ประกอบด้วย 4 จุดเปลี่ยน คือ 4)WELLBEING ECONOMY 5) INDUSTRY 5.0 & AI 6) OPEN THAILAND 7) GREEN THAILAND
มิติที่สาม “ยกเครื่องระบบราชการ” มี 3 จุดเปลี่ยนได้แก่ 8) เร่งสร้าง DIGITAL GOVERNMENT, 9) ลดขนาดภาครัฐและบริหารบุคลากร 10) สะสางกฎหมายล้าสมัย และมิติสุดท้าย “เสริมสร้างกองทัพ รองรับความท้าทาย” ประกอบด้วย 2 จุดเปลี่ยนคือ 11) พัฒนาสู่ RTARF NEXT และ 12) ผลักดัน DEFENSE INDUSTRY
นักศึกษาวปอ.รุ่นที่ 66 ที่ร่วมนำเสนอผลงานได้แก่ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน) ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรสามิต นายธีระชุณ บุญสิทธ์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ นางสาวปิยะธิดา ประดิษฐบาทุกา กรรมการ บริษัทอิสริยาพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ดร.ณัฐริกา วายุภาพ นิติพน รองผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก(อบก.) ดร.นพ.ธนกฤติ จินตวร รองผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่(องค์การมหาชน) นายเฉลิมชัย ก๊กเกียรติกุล ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม พลอากาศตรีจักรกฤษ์ ธรรมวิชัย รองเจ้ากรมยุทธการทหารอากาศ กองทัพอากาศ

ต้องไม่ลังเลเปลี่ยนใหญ่ประเทศสู่ Thailand Next
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ตัวแทนนักศึกษา วปอ.รุ่นที่ 66 คนแรกที่นำเสนอผลงานทางวิชาการที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญ ที่ต้องเปลี่ยนใหญ่ ประเทศ โดยกล่าวว่า ปัจจุบันภัยมาจากสิ่งที่กําลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วรอบๆข้างเรา ซึ่งไทยต้อง “เร่งปรับตัว เร่งปรับโครงสร้าง เร่งตัดสินใจ เพราะประเทศไทยกําลังอยู่ในช่วงของความเสื่อมถอย” สัญญาณต่างๆที่เห็นในช่วงที่ผ่านมาชี้เป็นทิศทางเดียวกันว่า “ประเทศไทยกําลังเข้าสู่ช่วงของการเสื่อมถอยครั้งสําคัญ”
“เศรษฐกิจ เราเป็นประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตต่ำที่สุดในอาเซียน โรงงานสําคัญๆทยอยปิดกิจการ ย้ายฐาน อุตสาหกรรมหลักของเรา อย่างปิโตรเคมีกําลังอยู่ในช่วงขาลง ฐานรากเรามีปัญหาความเหลื่อมล้ำทวีความรุนแรง เกษตรกรอ่อนแอเป็นหนี้ สูญเสียที่ดินทํากิน ประชาชนนับล้านเป็นเอ็นพีแอล”
“คน คุณภาพของคนเรากําลังตกต่ำลง เด็กเราสอบได้คะแนนลดลงต่อเนื่อง สู้กับเพื่อนบ้านก็ไม่ได้ แรงงานที่เรามีขาดทักษะที่ตลาดต้องการ ทรัพยากรธรรมชาติเรามีปัญหาเรื่องบุกรุกทําลายป่ากลายเป็นเขาหัวโล้น น้ำแล้ง น้ำหลาก น้ำท่วม ดินถล่มจะมีความรุนแรงยิ่งขึ้นในยุค global boiling”
แล้วท้ายที่สุด “ระบบราชการ ระบบราชการเต็มไปด้วยความซับซ้อน ขั้นตอนต่างๆ ข้าราชการรายได้ไม่พอเพียง กฎหมายล้าสมัย มีปัญหาทุจริตคอรัปชัน”


ดร.กอบศักดิ์กล่าวว่า ปัญหาทั้ง 5 ด้านนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในระยะหนึ่งแล้ว เพียงแต่ว่าเราไม่ใส่ใจ เราคิดว่าเป็นปัญหาระยะสั้น แต่สิ่งที่น่ากังวลใจก็เพราะว่า ทั้งหมดนี้กําลังเกิดขึ้นในยุคใหม่ที่เรียกว่า “ยุค Great Disruption” ซึ่งเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนใหญ่ในโลกกําลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ 4 นํามาซึ่งเรื่อง AI เทคโนโลยีใหม่ๆต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ดร.กอบศักดิ์กล่าวว่า การเปลี่ยนศูนย์กลางมาที่เอเชียทําให้เกิดผู้เล่นใหม่ๆ คู่แข่งใหม่ๆ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ซึ่งมาแข่งกับประเทศไทย global boiling ทําให้เกษตรกร 20 ล้านคนกําลังประสบปัญหาครั้งใหญ่ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ทําให้เกิดสงครามในที่ต่างๆไม่ว่าจะอยู่ในตะวันออกกลาง ยุโรป หรือแม้กระทั่งทะเลจีนใต้ ทั้งหมดนี้กําลังเป็นทั้งโอกาสและเป็นทั้งความท้าทาย ประเทศที่สามารถหยิบฉวยชนิดใหม่ๆอย่างเช่น robotic AI ก็จะกลายเป็นประเทศที่ สามารถก้าวนํา กลายเป็นผู้นําของภูมิภาค เป็นประเทศที่ไม่สามารถปรับตัว ไม่สามารถปรับโครงสร้างเพื่อจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
“สําหรับประเทศที่เสื่อมถอยอย่างประเทศไทย เราจะเสื่อมถอยในอัตราเร่ง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นระฆังเตือนภัย เป็นระฆังที่บอกว่าประเทศไทยต้องเร่งปรับตัว เพื่อให้ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางกระแสความเชี่ยวกรากทางการเปลี่ยนแปลง มุ่งหน้าไม่ลังเล เข้าสู่การเปลี่ยนผ่านครั้งสําคัญที่เรียกว่า The Great Transition ซึ่งเป็นการเปลี่ยนใหญ่ของประเทศไทยที่ต้องผลัดใบตนเอง สร้างคนไทยรุ่นใหม่ นวัตกรรมยุคใหม่ผลัดใบเศรษฐกิจ มุ่งสู่ low carbon economy สร้าง digital government ขณะเดียวกันสร้าง position ที่จะเป็นกลางระหว่างความขัดแย้งให้เปิดโอกาสใหม่ๆ ให้ประเทศไทย”
ดร.กอบศักดิ์กล่าวว่า ความกังวลใจเหล่านี้ วปอ.รุ่น 66 ในหนึ่งปีที่ผ่านมาได้รวบรวมอบรมความคิดเห็น ผ่านกระบวนการต่างๆ จากที่อาจารย์สอน จากวิทยากร รวบรวมสรุปเป็นยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า “เปลี่ยนใหญ่ประเทศไทย Thailand Next” รวมเป็น 12 ข้อเสนอใน 4 มิติ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสําคัญเป็น game changer ที่ทําให้บ้านเก่าของเรากลายเป็นบ้านใหม่ที่ทันสมัย ทําให้เรือผุๆเก่าๆของเรา กลายเป็นเรือเดินสมุทรที่มีความทันสมัย สามารถทนคลื่นลมแรงกระแทกจากการเปลี่ยนผ่านทั้งหมดได้
ทั้ง 4 มิตินี้ประกอบด้วย “ซ่อมฐานราก” เราต้องเปลี่ยนฐานรากที่อ่อนแอของเราให้กลับมาเข้มแข็งอีกครั้งหนึ่ง เป็นศักยภาพที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศ ไทยเราต้อง “ผลัดใบเศรษฐกิจ” จากโรงงานต่างๆที่ล้าสมัย ตกยุคแล้ว ให้การเป็นยุคใหม่ที่ สามารถแข่งขันได้ เราต้องปรับเปลี่ยนระบบราชการของเราที่ทําด้วยความขั้นตอนต่างๆ เป็นต้นทุนแฝงให้กับระบบเอกชน รัฐบาลเอง ให้กลายเป็นระบบยุคใหม่ และสุดท้ายเราต้อง “เสริมสร้างกองทัพ” เพื่อให้พัฒนา แล้วก็ “รองรับความท้าทาย” ที่เกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงทั้ง 4 ด้านนี้จะช่วยประเทศไทยสามารถพัฒนาได้แค่ทัดเทียมกับผู้อื่นทําให้ประเทศไทยไม่แพ้ใคร
“ถึงเวลาแล้วครับท่านนายก ที่ประเทศไทย ที่พวกเราทุกคน จะต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในเรื่องจุดเปลี่ยนสําคัญๆต่างๆเหล่านี้ เพื่อพลิกสถานการณ์ของประเทศไทยให้เราสามารถแข่งขันได้ กําหนดอนาคตของประเทศร่วมกัน แล้วก็สร้างอนาคตที่สดใสให้กับลูกหลานคนไทยต่อไป”

พัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเติมเต็มโอกาส
นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน) ในฐานะประธานนักศึกษา วปอ.รุ่น 66 นำเสนอว่า เชื่อว่าทุกคนมองเห็นมีความสําคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ในอีกหนึ่งมิติที่สําคัญอย่างยิ่งคือความแข็งแกร่งของฐานรากที่จะช่วยเป็นทางที่มั่นคงที่ทําให้เราสามารถที่จะเดินก้าวไปได้อย่างยั่งยืน
มวลรวมของทางด้านเศรษฐกิจ GDP ของเราอยู่ที่กว่า 18 ล้านล้านบาท ในมิติที่สำคัญคือ“กว่า 21 ล้านคนที่อยู่ในฐานรากหรืออาจจะยังไม่มีโอกาสในการที่เสริมสร้างพัฒนา ในการท้าทายที่สามารถจะเพิ่มมูลค่าทางด้านสินค้าหรือได้รายได้เพิ่มเติมสูงมากยิ่งขึ้น” มีตัวแปรอื่นที่สําคัญคือ พวกเขาอาจจะยังไม่ได้เข้ามาอยู่ในระบบของทางด้านเศรษฐกิจที่เอื้อประโยชน์ ที่เสริมสร้างทั้งศักยภาพและประสิทธิภาพในการประกอบอาชีพสัมมาชีพในการคาขาย
ในประชากรไทยกว่า 67 ล้านคน มีผู้สูงอายุเกินกว่า 60 ปีกว่า 15 ล้านคน มีกลุ่มเยาวชนกว่า 12 ล้านคน แสดงว่าต้องมีประชากรอยู่ประมาณ 40 ล้านที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่สิ่งสําคัญ 19 ล้านคน อยู่ในระบบของทางด้านเศรษฐกิจที่มีการซื้อขาย ชําระภาษีอยู่ในระบบที่คุ้นเคยกัน แต่อีกกว่า 40 ล้านที่อยู่ในส่วนนั้นมีอีกกว่า 20 แสนล้านคนที่อาจจะไม่ได้บวกรวมเข้ามา เพราะว่าเป็นแรงงานทางด้านการเกษตรหรืออาจจะเป็นพ่อค้าแม่ค้า ทางด้านmicro/nano SMEs แล้วก็รวมไปถึงทางด้านภาคบริการ ทั้งอาหารและเครื่องดื่ม หรือรวมไปถึงในด้านบริการทางการขนส่งหรือจักรยานยนต์รับจ้าง แล้วก็ในประเภทอื่นๆอีกเช่นเดียวกัน
นายฐาปนกล่าวว่า ขอเน้น 2 สองประเด็นแรกคือใน 7 ล้านคน ถ้ารัฐบาลวางรากฐานในเรื่องของ หนึ่งผลิตภัณฑ์หนึ่งตําบล OTOP ในวันนี้รัฐบาลกําลังวางนโยบายในเรื่องของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง One Family One Softpower ซึ่งจะเติมในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ แล้วเสริมโอกาสทางด้านเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ถ้าเกษตรกรชาวนาชาวไร่ชาวสวน สามารถที่จะพลิกผันตัวเองมาประกอบธุรกิจการค้า ก็สามารถที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มแล้วก็รายได้สูงขึ้น
นายฐาปนยกตัวอย่างมาให้เห็น 3 ตัวอย่าง ตัวอย่างแรกเป็นการค้าขายอาหารที่รับประทานง่ายในตลาดชุมชน คือ ปาท่องโก๋ที่ขายราคาตัวละ 3 บาท แต่ละวันพ่อค้าที่ทอดปาท่องโก๋อาจจะขายได้ประมาณ 350 ตัว อาจจะได้เงินรายได้ถึง 1,050 บาท แต่ต้องหักค่าใช้จ่ายทั้งแก๊สหุงต้ม แป้งสาลี น้ํามันพืชต่างๆ ซึ่งหมายถึงว่าเมื่อหักค่าใช้จ่ายไปแล้วจะมีกําไรประมาณ 450 บาท แล้วก็อาจจะมีรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 13,5000 บาท และขอใช้ตัวเลขนี้เป็นเกณฑ์เบื้องต้น
แต่เมื่อมองปาท่องโก๋ของการบินไทยที่หลายคนชื่นชอบ มีการสร้างสรรค์เพิ่มเติม ซึ่งความเป็นจริงไม่ได้อยู่ที่ปาท่องโก๋อย่างเดียว แต่อยู่ที่สังขยามันม่วง หรือสังขยาชาไทย อาจจะขายได้ถึง 50 บาทหรือ 60 บาท ต่อชุด แต่มีปาท่องโก๋ 3 ตัว แสดงว่าปาท่องโก๋หนึ่งตัวมูลค่าเพิ่มไปถึง 10 บาท เพราะว่ามีสังขยา หรือสร้างโครงสร้างที่แตกต่างและก็รวมไปถึง packaging
ตัวอย่างที่สองเป็นเรื่อง ผ้าขาวม้า เป็นผ้าไทยที่เป็นระดับท้องถิ่นที่คุ้นเคยกัน จากป้าสุจินผ้าขาวม้า อยู่ที่สุโขทัย ป้าสุจินมีลูกสาวที่เรียนทางด้านแฟชั่นดีไซน์เนอร์ แล้วลูกสาวซึ่งอยู่ที่นนทบุรี ได้ทำการค้าขาย ด้วยการซื้อผ้าจากป้าสุจิน และไม่ใช่ซื้อแค่ในชุมชนของบ้านตัวเองเท่านั้น แต่ซื้อมาถึงเครือข่ายชุมชนในพื้นที่ที่อําเภอและจังหวัดอื่นๆด้วย มาประกอบในการออกแบบ และก็เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคือ ในกลุ่มลูกค้า สามารถที่จะ customize คือเลือกในจุดเด่นของสินค้าของตัวเอง ที่เป็นไปตามความต้องการของลูกค้า ป้าสุจินได้เงินต่อปีปีละมาณ 640,000 บาท ส่วนลูกสาวเองได้ประมาณกว่า 870,000 บาท แสดงว่ารายได้ต่อเดือน ลูกสาวสามารถจะเอาไปเสริมให้คุณแม่ได้ประมาณกว่า 72,000 บาท แต่ต้องหักค่าแรง ค่าใช้จ่าย
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ข้าวหอมมะลิ ตะพานหิน จังหวัดพิจิตร เจ้าของชื่อวิษณุ เป็นเกษตรกรอินทรีย์ที่อยู่ในพื้นที่ มีลูกสองคน เป็นลูกชายกับลูกสาว ลูกชายช่วยคุณพ่อทํานาของเกษตรอินทรีย์ ส่วนลูกสาวบอกว่าอยากขายของพ่อให้ได้ราคาเท่ากับข้าวของประเทศญี่ปุ่น และวันนี้ในครอบครัวนี้เริ่มผันในการที่สร้างโอกาส ในการทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ตัวเองคุ้นเคยมีการออกแบบในเรื่องของ packaging ซึ่งเป็นข้าวของทางงิ้วราย ตะพานหิน จังหวัดพิจิตร สามารถที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มเช่นเดียวกัน
ฉะนั้นถ้าพ่อค้าแม่ค้าที่เป็นในกลุ่มของ micro หรือ nana SME เราสามารถที่จะเติมเต็ม โดยเฉพาะถ้าสามารถที่จะดึงเยาวชนจบระดับอุดมศึกษา ก้าวเข้ามาเป็นผู้ประกอบการ แล้วสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพ่อแม่ที่อยู่ในภาคการผลิต ที่ผลิตวัตถุดิบทางด้านภาคการเกษตร หรือแม้กระทั่งว่าเป็นผลิตภัณฑ์แบบท้องถิ่นก็ตาม ที่สามารถจะสร้างมูลค่าเพิ่ม
“จาก 7 ล้านรายที่พูดถึงด้วยมูลค่าประมาณ 13500 บาท ถ้าเราเทียบกับตัวอย่างด้านบนที่เป็นเกณฑ์ เพราะว่าผ้าจะได้มากกว่านั้น ข้าวมีโอกาสได้มากกว่านั้น แสดงว่าโอกาสในการที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเรา ถ้ารายได้เหล่านี้ผ่านเข้ามาอยู่ในระบบ อาจจะเป็นตัวเลขบวกเพิ่มอีกกว่า 1.1 ล้านล้านบาทหรืออาจจะเปรียบเทียบเป็นเกณฑ์ประมาณถึง 5-6% ของ GDP เรา”
“ผมเชื่อมั่นใจอย่างยิ่งว่า ฐานรากเป็นสิ่งสําคัญที่พวกเรากําลังจะเสริม เติม ฉะนั้นถ้าเรา ซ่อม เสริม เติมเต็มโอกาส เพื่อไทยที่ยั่งยืนตลอดไป”

ลงทุนยกระดับคุณภาพการศึกษา
นางสาวปิยะธิดา ประดิษฐบาทุกา กรรมการ บริษัทอิสริยาพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด นำเสนอถึงการลงทุนในคุณภาพการศึกษา ว่า ฐานรากจะแข็งแรงต้องเริ่มจากการศึกษา การศึกษาจะสร้างคนที่มีคุณภาพ พาครอบครัวออกจากความยากจนลดปัญหาของสังคม คนไทยจะมีกินมีใช้มีเกียรติมีศักดิ์ศรี คุณภาพการศึกษาจึงเป็นเรื่องที่สําคัญอย่างยิ่งที่จะต้องเริ่มทําตั้งแต่วันนี้
จากปัญหาของคุณภาพการศึกษาที่ตกลงอย่างต่อเนื่องโดยมีสาเหตุหลักๆ จากปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ รวมทั้งประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากร รวมถึงหลักสูตรและการเรียนการสอนที่ล้าสมัย ไม่เอื้อต่อการสร้างทักษะที่จําเป็นสําหรับตลาดแรงงานในโลกยุคใหม่ จึงจําเป็นต้องเปลี่ยนแปลงทั้งกระบวนการศึกษาไทย โดยเริ่มตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนโตเข้าสู่ระบบแรงงาน โดยมีแนวทางจัดการดังต่อไปนี้
จากทั้งสามแนวทางวปอ. 66 มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายดังต่อไปนี้
ข้อแรกให้การพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นวาระแห่งชาติ ข้อเสนอต่อมาการให้เงินอุดหนุนเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 6 ปีและถ้วนหน้า จะเห็นได้ว่าระบบสวัสดิการของรัฐให้แบบถ้วนหน้าครอบคลุมเกือบทุกช่วงอายุแล้ว ยกเว้นเด็กปฐมวัย ทั้งที่งานวิจัยประเมินว่าใช้เงินไม่เกิน 0.13% ของ GDP และแนวโน้มจะลดลงเรื่อยๆตามการเกิดที่น้อยลง
นางสาวปิยะธิดากล่าวว่า ข้อเสนอที่สาม โครงการปรับปรุงคุณภาพศูนย์เด็กเล็ก และการยกระดับคุณภาพการเลี้ยงดูของผู้ปกครองที่มีรายได้น้อยซึ่งมีความสําคัญต่อการพัฒนาในระยะยาวของเด็ก ข้อเสนอต่อมาในการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก โดยหลากหลายวิธีตามบริบทตัวอย่างเช่น การจัดคลัสเตอร์โรงเรียนให้ผู้อำนวยการหนึ่งคนดูแลโรงเรียนในตําบลหลายโรงเรียน แก้ปัญหาเรื่องการเดินทางโดยใช้รถโรงเรียนในตําบล และสร้าง education platform และ eLearning
ข้อเสนอต่อมา การสร้างโรงเรียนรูปแบบใหม่ที่มุ่งเน้นพัฒนาทักษะที่จําเป็นในอนาคตให้กับผู้เรียน เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอนด้วยการใช้เทคโนโลยี AI ช่วยสอนร่วมกันกับครู ข้อเสนอในการปลดล็อกมหาวิทยาลัยชั้นนํา ต่างชาติที่สนใจเข้ามาตั้งสถาบันภายในประเทศไทย และข้อเสนอสุดท้าย ข้อเสนอนี้พบว่า ภาคเอกชนมีระดับการสนับสนุนเงินทุนเพื่อการศึกษาเพียง 1 ใน 10 ของวงเงินที่สามารถบริจาคได้สูงสุด ดังนั้นจึงมีข้อเสนอให้รัฐออกมาตรการส่งเสริมการระดมทุนและเงินบริจาคกับภาคเอกชน ได้แก่ การร่วมลงทุนผ่านนโยบายสําคัญของรัฐบาลเช่น Learn to Earn หรือ Thailand Zero Dropout เป็นต้น การส่งเสริมการออกพันธบัตรและตราสารต่างๆเช่น การออกตราสารหนี้เพื่อสังคม เพื่อการศึกษา
“และสุดท้าย การลงทุนในคุณภาพการศึกษา เพื่อให้เด็กทุกคนมีโอกาสเติบโตเป็นคนที่มีคุณภาพต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้เวลานี้”

พัฒนาระบบน้ำทั่วประเทศ
นายธีระชุณ บุญสิทธ์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ นำเสนอจุดเปลี่ยนที่สอง การพัฒนาระบบน้ำทั่วประเทศ โดยกล่าวว่า ภาวะน้ำท่วมกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนคงไม่อยากประสบกับสถานการณ์นี้ด้วยตนเอง เพราะว่าความเสียหายและผลกระทบที่ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ไม่ว่าสาเหตุจะเกิดจากสภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การใช้ทรัพยากรอย่างไม่ถูกต้องหรือจากสาเหตุอะไรก็ตาม
“วันนี้เราต้องเริ่มมองภัยจากน้ำเป็นภัยที่ส่งผลคุกคามรุนแรง ซึ่งจะต้อง ควบคุม หรือลดภัยนี้ลง”
นักศึกษาวปอ.รุ่นที่ 66 มีข้อเสนอและแนวคิดเพื่อพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำทั่วประเทศใน 3 แนวทาง คือ 1) ซ่อมปรับปรุงบํารุงรักษา2)เสริมอนุรักษ์ฟื้นฟู และ 3)สร้างพัฒนา
สำหรับแนวคิดประการที่หนึ่ง การซ่อมปรับปรุงบํารุงรักษา ประเทศไทยมีแหล่งน้ำทั่วประเทศทั้งห้วย หนอง คลอง บึง ในสถานที่เหล่านั้นมีการก่อสร้างอาคารชลศาสตร์เพื่อป้องกันในการควบคุม “ถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องซ่อมปรับปรุงเพื่อสร้างเสริมและให้พ้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป” ข้อเสนอนี้ คือ ต้องให้ทุกหน่วยงานตรวจสอบ ซ่อมแซม ปรับปรุงให้ทุกโครงการสามารถรองรับกับทุกสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบันและให้เกิดประสิทธิสูงสุดในทุกโครงการ
ข้อเสนอต่อมาคือ การเสริมอนุรักษ์ฟื้นฟู ปัจจุบันระบบนิเวศโดยเฉพาะนิเวศแหล่งน้ำได้รับผลกระทบที่รุนแรง ดังนั้นระบบนิเวศน์จะต้องฟื้นคืนโดยการดําเนินการที่เป็นรูปธรรม จากแนวทางการดําเนินการดังนี้
ในพื้นที่ป่าสมบูรณ์ ต้องเพิ่มจํานวนฝ่ายต้นน้ำ รวมถึงการสร้างระบบพัฒนาแหล่งน้ำ โดยสร้างความเชื่อมโยงเป็นโครงข่าย เป็นอ่างพวงและเสริมระบบการกระจายน้ำเพื่อการเข้าถึงของประชาชนในทุกลุ่มน้ำ ขณะเดียวกันในการดําเนินการ ต้องมีระบบเพื่อช่วยในการตัดสินใจและตรวจสอบวิเคราะห์ สถานการณ์ข้อมูลน้ำ เพื่อจะให้ทําให้การตัดสินใจสามารถตัดสินใจได้และแจ้งเตือนภัยได้อย่างทันท่วงที รวมถึง การพัฒนาและปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย ก็เป็นสิ่งจําเป็นที่จะต้องทํา เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติสําคัญ การฟื้นฟูในพื้นที่ป่าต้นน้ำโดยเฉพาะการเสริมแหล่งน้ําในพื้นที่ คทช. หรือแหล่งน้ำในพื้นที่สําคัญ เช่น ทะเลสาบสงขลาและแหล่งน้ำสําคัญ
ทั้งสองแนวทางที่กล่าวไป ไม่ว่าการซ่อมสร้างเสริมอาจจะยังไม่เพียงพอรองรับกับสถานการณ์ของโลกวันนี้ที่เปลี่ยนแปลงไปรวดเร็ว จึงนำมาสู่แนวทางที่ 3 คือ การสร้างและพัฒนา เพื่อปัจจุบันและอนาคต โครงการทางด่วนจําเป็นต้องคิดและเริ่มมี รองรับและเพิ่มประสิทธิภาพการระบาย โครงการก่อสร้างระบบและอาคารชลศาสตร์เพื่อป้องกันน้ําทะเลหนุน เพื่อรองรับอนาคต ที่อาจจะเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้นี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องตัดสินใจในเชิงนโยบายเพื่อปฏิบัติเช่นเดียวกัน
โครงการสํารองน้ำในชั้นใต้ดิน ในชั้นทรายในพื้นที่เสถียรภาพเช่น ที่ราบลุ่มภาคกลางมีชั้นทรายที่สามารถนําน้ำมาเก็บไว้ในฤดูที่น้ำหลากในขณะเดียวกัน สามารถสํารองไว้สําหรับเอาไปช่วยในยามเกิดภัยแล้งได้ และวันนี้ฝนไม่ได้ตกในพื้นที่ต้นน้ำต่อไป
“ฝนไม่ได้ตกในพื้นต้นน้ำอีกต่อไป ฝนสามารถตกหนักได้ในพื้นที่กลางน้ำและปลายน้ำ ก็จำเป็นอย่างยิ่งแล้ว ที่จะต้องมีพื้นที่เพื่อเก็บกักเป็นน้ำต้นทุนไว้ สําหรับรองรับการใช้งานอย่างเกิดประสิทธิภาพ และคงไม่สามารถมองข้ามเรื่องการผันน้ําข้ามลุ่ม เพื่อรองรับพื้นที่เศรษฐกิจสําคัญ เช่น โครงการสตึงมนัม เพื่อสนับสนุนเพิ่มประสิทธิภาพ การเก็บกัก และเพิ่มความมั่นใจให้นักลงทุนในพื้นที่ ECC”
“น้ำคือ ชีวิตเป็นทั้งวิกฤติและโอกาส วันนี้จุดเปลี่ยนนี้โอกาสนี้อยู่ในมือท่านนายกรัฐมนตรี เริ่มตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้น้ำเป็นคำตอบสําหรับทุกคน”

ผลัดใบเศรษฐกิจ เกษตร-อุตสาหกรรม-ท่องเที่ยว
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรสามิต นำเสนอมิติ ผลัดใบเศรษฐกิจใน 3 จุดเปลี่ยน คือ WELLBEING ECONOMY, INDUSTRY 5.0 & AI และ OPEN THAILAND โดย กล่าวว่า สาเหตุที่ต้องผลัดใบเศรษฐกิจ ก็เพราะอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา เคยโตเฉลี่ยที่ 9% ในยุคทศวรรษที่ 40 หลังวิกฤติเศรษฐกิจโตอยู่ที่ 4.8% ทศวรรษที่ 50 เหลือ 3.1% และทศวรรษ 60 ปัจจุบันนี้เหลือแค่ 2%
เนื่องจากเศรษฐกิจไทยประเทศไทยไม่ได้ลงทุนมานาน ก่อนวิกฤติปี 40 การลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนรวมกันอยู่ที่ประมาณ 40% ของ GDP โดยภาคเอกชนประมาณ 31% ภาครัฐประมาณ 77% หลังวิกฤติ 40 การลงทุนเหลือแค่ประมาณ 20% หายไปครึ่งหนึ่ง ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะเอกชน นอกจากนั้น เครื่องจักรก็คือการลงทุนเก่า เวลาจะผลิตของออกมาก็ได้ของที่ไม่มีคุณภาพ ไม่ตรงความต้องการตลาดโลก
เครื่องจักรเก่าแล้วยังมีแรงงานไม่พอ โครงสร้างประชากรไทย เปรียบเสมือนเจดีย์ อัตราการเกิดของประเทศไทยน้อยมากในช่วงที่ผ่านมาเปรียบเหมือนเจดีย์ถูกเซาะร่องไปเรื่อยๆ
อัตราการเกิดของไทยน้อยลง แล้วคนอายุยืนขึ้น แรงงานไม่พอ กลายเป็นภาระต่อมาในการดูแลผู้สูงอายุ ปัจจุบันนี้คนแก่หนึ่งคนมีกำลังแรงงานดูแล 4.5 คน แต่อีกไม่นานคนแก่หนึ่งคนจะมีคนดูแลแค่ 2.5 คน
นอกจากนั้นแรงงานไทยยังไม่มีคุณภาพเลย จะเห็นว่า…
“โครงสร้างกําลังแรงงานของประเทศไทย เน้นการศึกษาอุดมศึกษา ปริญญาตรีต่างกับประเทศอื่น ประเทศไทยเรียนปริญญาตรี 17.5% สิ่งที่เกิดขึ้นมาจบปริญญาตรีแล้วออกมาตกงาน เราผลิตแรงงานที่ไม่ตรงความต้องการกับตลาดแรงงาน
ขณะเดียวกันอาชีวะศึกษาของเรามีแค่ 14.9% น้อยกว่าเพื่อนบ้าน คือ เวียดนาม 31% นี่คือเหตุผลหลักข้อแรกที่ทําไมนักลงทุนต่างประเทศถึงเลือกไปลงทุนที่เวียดนาม เพราะเขามีแรงงานที่มีทักษะโดยเฉพาะทักษะสมัยใหม่ไม่ว่าจะเป็น AI, digital นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร นักคณิตศาสตร์
ดร.เอกนิติกล่าวต่อว่า เมื่อเจาะลึกโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ปัจจุบันนี้พึ่งพาภาคเกษตรถึง 63% พึ่งภาคอุตสาหกรรม 31% ภาคบริการอีก 12% แต่กําลังแรงงานอยู่ในภาคเกษตรประมาณ 12 ล้านคนหรือ 30% คน 30% ของกําลังแรงงานประมาณ 12 ล้านผลิตมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจได้แค่ 6.3% สะท้อนว่าแรงงานมีน้อยและอยู่ไม่ตรงที่อีก
“แล้วเราจะต้องทําอะไร สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือว่าหากเราไม่ยอมเปลี่ยนแปลง เราจะเสื่อมถอยในอัตราเร่ง และนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรรุ่น 66 จึงเสนอถึงการผลัดใบ”
ผลัดใบที่หนึ่ง ต้องลงทุนเทคโนโลยีการผลิตเกษตรแม่นยำ ที่ผ่านมามีคำพูดว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว แต่เกษตรยุคใหม่ต้องวัดให้ได้ว่าในน้ำมีแร่ธาตุอะไร เหมาะจะเลี้ยงปลาหรือเลี้ยงกุ้ง ในนาต้องวัดได้ควรปลูกข้าวหรือปลูกอย่างอื่น เกษตรสมัยใหม่มีเทคโนโลยี จะเพาะปลูกช่วงไหนต้องเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้ได้ ต้องใช้เอกชนมาร่วมลงทุนกับภาครัฐ โดยเฉพาะในท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ลักษณะเดียวกันมหาวิทยาลัยในต่างจังหวัด ต้องเร่ง upskill, reskill เกษตรกร แล้วก็เอาภาครัฐมาร่วมกับเอกชน พัฒนาเกษตรกร แล้วให้เรียนรู้กับเทคโนโลยีสมัยใหม่ และควรจะเป็น sandbox ในทุกจังหวัดไหม
อีกทั้งต้องเร่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมเกษตร อุตสาหกรรมอาหาร คนอยากมีสุขภาพดี อาหารออร์แกนิกจะเติบโตมาก แล้วก็ใช้ทั้ง 3 เรื่องควบคู่กันไป
ผลัดใบที่สอง คือ ผลัดใบอุตสาหกรรม ต้องทําให้อุตสาหกรรม ต้องมุ่ง Industry 5.0 และ AI Industry 5.0 คือ ออโตเมชั่น อินเทอร์เน็ตออฟธิง เทคโนโลยีต่างๆที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว
“ประเทศไทย มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี เช่น ระบบประปา ที่ดี ระบบไฟฟ้าที่ดี เพราะฉะนั้นไฟฟ้าเราไม่ตกเหมือนกับหลายประเทศ เรามีดีอยู่แล้ว แต่ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานด้าน big data , digital infrastricture และที่สำคัญพลังงานสะอาด นักลงทุนทจะเข้ามาถามว่าใช้ไฟจากไหน พลังงานทดแทนมีเท่าไร ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไร สําคัญมาก ที่เราต้องเร่งลงทุนในส่วนนี้”
ดร.เอกนิติกล่าวอีกว่า ทักษะของอุตสาหกรรมยุคใหม่ไทยมีน้อย ทักษะของคนเก่งไม่ว่าจะเป็น AI ด้านดิจิทัล ต้อง Open Thailand for Talent ต้องมีวีซ่าพิเศษสําหรับทักษะที่เรียกว่า skilled labour
ส่วนทักษะที่รองรับคนไทยเอง ควรมีทักษะ 6 ข้อเรียกว่า DAD skill for future โดยด้านแรก Digital ด้านที่สอง AI ด้านที่สาม Data ซึ่งการดำเนินโครงการ ดิจิทัล วอลเล็ต ระยะต่อไป ควรพ่วงเรื่องนี้เข้าไปในการพัฒนาสร้างสรรค์เป็น skill สิงคโปร์ใช้เครดิตให้เรียนอะไรก็ได้ ด้วยการให้เอกชนพัฒนาหลักสูตร แล้วให้เครดิต ปัจจุบันประเทศไทยก็ทําได้ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต
ผลัดใบบริการ ด้วยการวางส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีมาก มีสนามบินที่ดี มีการยกระดับสนามบินดอนเมืองมาเป็นสุวรรณภูมิซึ่งดีมากทําให้การท่องเที่ยวขยายตัว แต่ภูมิภาค ที่ระนองมีแหล่งน้ําแร่ที่ไม่แพ้ญี่ปุ่น ที่เกาะเต่า ที่ชุมพรมีแหล่งดำน้ําไม่แพ้ออสเตรเลีย แต่สนามบินเล็กมาก ต้องยกระดับสนามบินแล้วเชื่อมโยงกันให้ได้ จึงจะมีการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและต้องเน้นคุณภาพไม่เน้นปริมาณ นอกจากนั้นต้องใช้จุดแข็งบริการทางการแพทย์ อุตสาหกรรมบริการท่องเที่ยวทางการแพทย์ wellness โตมาก หมอเก่ง พยาบาลเก่ง มีโรงพยาบาลที่ได้การรับรองมาตรฐานระดับสากล JCI ถึง 7 แห่ง มากที่สุดในอาเซียน มากกว่าสิงคโปร์ มากกว่ามาเลเซีย
แต่หมอไทยหนึ่งคนดูแลประชากร 1300 คน ไทยผลิตหมอไม่พอ ผลิตพยาบาลไม่พอ ขณะที่ธุรกิจ wellness โตมาก ประมาณเฉลี่ยเดือนละ 21% เพราะฉะนั้นต้องเชื่อมโยงกันให้ได้ ต้องให้เอกชนมาช่วย มิฉะนั้นไม่พอ
นอกจากนี้“ต้องก้าวข้ามการท่องเที่ยวพื้นฐานสู่การท่องเที่ยว high end” ต้องไม่ควรตั้งเป้าที่จะมีนักท่องเที่ยว 40 ล้านคนอย่างเดียว ต้องเน้นรายจ่ายต่อหัวต่อวันปัจจุบัน มีจำนวน 4,000 บาท ต้องเพิ่มขึ้นสองเท่าเป็น 8,000 บาทต่อคนต่อวัน ซึ่งเชื่อว่าใน 3 ปีทำได้และต้องมีเป้าหมายทุกพื้นที่ทุกจังหวัด
“นักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรรุ่น 66 เราคํานวณว่าถ้าเราผลัดใบทั้ง 3 ใบนี้จะทําให้เศรษฐกิจไทยจะโตเฉลี่ยจาก 2% มาโต 4.5% เพื่อให้อยู่ดี กินดี มีความสุขที่ประเทศไทย”

ใช้ภาษีจูงใจมุ่ง Green Thailand
ดร.ณัฐริกา วายุภาพ นิติพน รองผู้อำนวยการองค์การบริการจัดการก๊าซเรือนกระจก(อบก.) นำเสนอจุดเปลี่ยนที่ 7 Green Thailand ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพตอนนี้ ถือเป็นภัยคุกคามในระดับโลกที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนทุกเพศทุกวัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาโลกได้เผชิญกับคลื่นความร้อนที่อุณหภูมิความร้อนพุ่งสูงขึ้นผิดปกติ แต่ในห้วงเวลานี้ไทยกําลังเผชิญกับปัญหาภัยพิบัติที่สืบเนื่องจากความรุนแรงของสภาพภูมิอากาศ น้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนในหลายพื้นที่
“แต่ข่าวร้ายก็คือปัญหาภัยพิบัติเหล่านี้จะไม่มีวันที่จะลดน้อยถอยลงไป มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น ทั้งในเชิงความถี่และความรุนแรง ประเทศไทยจึงต้องดําเนินการในเรื่องของการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คาดการณ์ รีบจัดทํา early warming system ป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติที่เกิดขึ้น แต่ในขณะเดียวกันเราตั้งรับและปรัยตัวอย่างเดียวก็ไม่ได้เราต้องลดในสิ่งที่เป็นสาเหตุของปัญหา คือ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ประเทศไทยได้ตั้งเอาไว้ มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน 2050 มุ่งศูนย์ net zero ปี 2065”
วปอ.รุ่น 66 ได้จัดทําข้อเสนอทางยุทธศาสตร์เปลี่ยนใหญ่ประเทศไทยผลัดใบเศรษฐกิจ Green Thailand 4 ข้อ ประกอบด้วย
ประการแรกไทยต้องเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด โครงสร้างพลังงานต้องเปลี่ยนสู่การใช้พลังงานทดแทน เพิ่ม renewable energy อย่างน้อย 70% ในปี 2050 ส่งเสริมการผลิตและการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ยุติการใช้ผ่านหิน แสวงหาและลงทุนเทคโนโลยีใหม่ๆ carbon capture utilization and storage พลังงานไฮโดรเจน รวมถึงพัฒนานวัตกรรมนโยบายส่งเสริมการอนุรักษ์รพลังงาน
ประการที่สองมาตรการต่างๆ เพื่อเข้าสู่ carbon neutralityต้องมีการพัฒนากฎหมายนโยบายเครื่องมือกลไกให้ถึงพร้อม ปัจจุบันกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อยู่ระหว่างจัดทําร่างพ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมฉบับแรกของประเทศไทย ภายใต้โครงสร้างของร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้จะมีทั้งในส่วนของนโยบายมาตรการและมาตรการภาคบังคับมาตรการส่งเสริมเสริมต่างๆ
สำหรับมาตรการภาคบังคับที่ต้องคำนึงถึง ภาคเอกชนก็ต้องเตรียมตัว จัดทําและส่งรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับนิติบุคคล แต่เมื่อส่งแล้วถ้าหากว่าปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเกินกว่าระดับที่กำหนด ต้องเข้ามาตรการบังคับลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เรียก emission trading scheme แต่ต้องรวมไปถึงในส่วนของภาษีคาร์บอนซึ่งปัจจุบันกระทรวงการคลังก็อยู่ระหว่างดําเนินการ
ในขณะเดียวกันก็มีมาตรการส่งเสริม คือการส่งเสริมการพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิตที่นําไปสู่การลดก๊าซเรือนกระจก เมื่อมีการตรวจสอบใบรับรองแล้วสามารถนําไปสู่การซื้อขายในตลาดคาร์บอนได้ ซึ่งในปัจจุบันสํานักงานอบก.ได้ร่วมหารือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเรื่องแพลตฟอร์มซื้อขายคาร์บอนเครดิต เพื่อให้เป็นตลาดคาร์บอนของประเทศไทย ที่สร้างความน่าเชื่อถือในระดับสากล
มาตรการในส่วนที่ 3 การมุ่งสู่ carbon neutrality จะสัมฤทธิ์ผลไม่ได้ถ้าหากปราศจากบทบาทความสําคัญของภาคป่าไม้ ซึ่งจะต้องเพิ่มพื้นที่ป่าให้ได้ 55% ของพื้นที่ประเทศ ทั้งป่าธรรมชาติ พื้นที่ป่าเศรษฐกิจ พื้นที่สีเขียวในเมืองและชนบทและโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาครัฐควรส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมช่วยภาคประชาชน ป่าชุมชนให้สามารถพัฒนาเป็นโครงการลดก๊าซเรือนกระจก ในเรื่องของคาร์บอนเครดิตได้ด้วย
ข้อเสนอประการสุดท้าย หากว่ามีมาตรการบังคับแล้วก็ต้องส่งเสริมให้เกิดแรงจูงใจ ลดหย่อนทางภาษีจะได้สมดุลทั้งบทลงโทษและการให้สิ่งจูงใจ ทั้งให้การลดหย่อนภาษีกับผู้ซื้อผู้ขายคาร์บอนเครดิต กระตุ้นให้เกิดโครงการเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น ส่งเสริมโครงการปลูกป่าเพิ่มพื้นที่สีเขียว ในเรื่องของ carbon capture utilization and storage เพราะต้องอาศัยการลงทุนที่สูงและเทคโนโลยีที่สูง
“เชื่อมั่นว่าหากเราสามารถดําเนินตามมาตรการข้อเสนอทั้ง 4 ประการนี้ เราสามารถนําไปสู่การเปลี่ยนใหญ่ประเทศไทยผลัดใบเศรษฐกิจและGreen Thailand เป็นที่แน่นอน”

ยกเครื่องระบบราชการ
สำหรับข้อเสนอในมิติที่สาม “ยกเครื่องระบบราชการ” ซึ่งมี 3 จุดเปลี่ยนได้แก่ 8) เร่งสร้าง DIGITAL GOVERNMENT, 9) ลดขนาดภาครัฐและบริหารบุคลากรนั้น ดร.นพ.ธนกฤติ จินตวร รองผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่(องค์การมหาชน) เป็นผู้นำเสนอ โดยกล่าวว่า การขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล สิ่งสําคัญก็คือ จะต้องมีบุคคลากรที่เป็นข้าราชการ แต่ปัญหาปัจจุบันข้าราชการมีอายุที่มากขึ้น ทําให้งบประมาณส่วนใหญ่ไปอยู่ที่งบบุคคลากร ส่วนงบเพื่อการพัฒนาแทบจะไม่มี
วิธีการแก้ปัญหาเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องของแค่การเสริมบุคลากรทั่วไป แต่เป็นการพัฒนาที่เรียกว่า การ “ยกเครื่องระบบราชการ”ซึ่ง ประกอบด้วยสองประเด็นสําคัญ คือ Digital transformation และการพัฒนาประสิทธิภาพระบบราชการ
ด้าน Digital Transformation ประเทศหนึ่งที่ต้องพูดถึง คือ ประเทศเอสโตเนีย มีอายุเพียง 30 ปี แยกตัวออกมาจากสหภาพโซเวียตเป็นประเทศที่ยากจน ไม่มีทรัพยากร ไม่มีเงิน ไม่มีโครงสร้างพื้นฐาน แต่สิ่งสำคัญ คือผู้นํามองว่าโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศจะต้องเป็นระบบดิจิทัล ที่จะทําให้ทุกคนสามารถเข้ามาใช้บริการ เข้าถึงภาครัฐ ด้วยการยืนยันตัวตนโดยใช้ digital ID ที่เรียกว่า Single Source of Truth ที่จะเข้าใช้บริการภาครัฐได้ เมื่อเกิดการใช้บริการของภาครัฐเสร็จเรียบร้อย ข้อมูลต่างๆ สามารถถจะร้อยเรียงกันและก็แลกเปลี่ยนข้อมูลภายใต้ถนนข้อมูลที่เรียกกัน X-Road
ความสําเร็จในเรื่องนี้เกิดจากหนึ่ง ผู้นํามีวิสัยทัศน์ สองความร่วมมือร่วมใจองคนในชาติที่อยากจะทําให้ประเทศชาติประสบความสําเร็จ สาม มีแพลตฟอร์มที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ แล้วก็มีประสิทธิภาพ
“สําหรับประเทศไทยเราเอง ก็ได้ทําสิ่งนี้มาเป็นระยะเวลานานแล้ว ไม่ว่าตั้งแต่การเกิดขึ้นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัลต่างๆ ซึ่ง ณ เฟสวันนี้ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจให้พวกเราทุกคนสามารถจะผลักดันให้เราไปสู่อีกระดับหนึ่ง ไปสู่สังคมแห่งความผาสุกด้วยระบบดิจิทัลต่อไป”
ดร.นพ.ธนกฤติ นําเสนอใน 3 ประเด็นหลักที่สามารถทําสําเร็จได้ภายใน 3 ปี ภายใต้แนวคิด Next Generation Thailand โดยใช้ประชาชนเป็นจุดศูนย์กลาง ข้อที่หนึ่ง จะต้องเป็นประเทศที่เป็น Data Driven Nation คือ การบริหารจัดการโดยใช้ข้อมูลจริง เพราะว่าข้อมูลตรงนี้เป็นอํานาจ ข้อมูลทำให้รู้ว่าเข้าสู่เป้าหมายมากน้อยแค่ไหน ข้อมูลทําให้รู้ว่าเรามีประสิทธิภาพหรือไม่
ข้อที่สอง ต้องมี platform พื้นฐานเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึง อินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ มีระบบที่ทําให้ประชาชนมั่นใจว่ามีความมั่นคงปลอดภัย มีการรักษาอธิปไตยข้อมูล และอธิปไตยทางด้านดิจิทัล
ข้อที่สาม ต้องมี smart service เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการภาครัฐและบริการต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ในประเทศเพื่อลดเวลาและเพื่อประสิทธิภาพ
พื้นฐานที่สำคัญที่จะสร้างให้สิ่งเหล่านี้แข็งแรงก็คือ ระบบธรรมาภิบาล เรื่องของ data privacy หรือ PDPA หรือแม้กระทั่งเรื่องของ cyber security ส่วนระบบการเข้าใช้งาน ต้องมีระบบในการยืนยันตัวตน ซึ่งถ้าประเทศไทยจะใช้ระบบ ID ในการยืนยันตัวตนเข้าใช้ระบบของภาครัฐจะต้องทําให้ adoption ของ ID เกิน 90% ขึ้นไป
เพื่อเป็นแพลตฟอร์มหลักในการเข้าใช้ระบบของภาครัฐได้ ต้องมีเรื่องของ digital signature และหากต้องการจะให้มีแอปพลิเคชั่นเพื่อเข้าสู่บริการภาครัฐซึ่งอาจจะเป็นบริการของทางรัฐ ก็ต้องทําให้บริการของรัฐทั้งหมดสามารถจะเชื่อมโยงบนแอปพลิเคชั่นตัวนี้ได้
“ในการทํางานในเรื่องของ cloud storage หรือ computing ผมเห็นด้วยกับนโยบาย cloud first policy และสิ่งนี้เราสามารถจะคิดต่อยอดได้ ก็คือ การแลกเปลี่ยนข้อมูล และการใช้ข้อมูลเพื่อทําให้เกิด national dasboard ในการที่จะบริหารประเทศหรือกํากับนโยบายของรัฐบาล”
โครงการที่สามารถจะเกิดผลสําเร็จได้ทันทีเลย คือโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ โครงการนี้มีข้อแม้ข้อเดียว คือการให้ข้อมูลของคนไข้จากต้นทางไปสู่โรงพยาบาลปลายทางได้ ซึ่งปัจจุบัน ภายใต้สํานักปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการแพทย์เป็นการภายในสํานักปลัดแล้ว ส่วนภายนอกสํานักปลัดกระทรวงสาธารณสุขไม่ว่าจะเป็นกลาโหม อว. หรือกรุงเทพมหานคร ก็ได้มีแพลตฟอร์มที่แลกเปลี่ยนข้อมูลทางการแพทย์ที่เรียกว่า Health Link เพียงแค่สองระบบนี้สามารถจะเชื่อมโยงกันได้ก็จะทําให้บริการ 30 บาทรักษาทุกที่ สามารถประสบความสําเร็จได้เร็วกว่า
สิ่งหนึ่งที่ให้อยากจะเห็น คือการที่มี single portal เพื่อให้ประชาชนเข้าใช้บริการภาครัฐทุกอย่าง ภายใต้การคลิกเพียงครั้งเดียว ซึ่งจะทําให้ประหยัดเวลาแล้วก็เพิ่มประสิทธิภาพ
ด้านการพัฒนาประสิทธิภาพของข้าราชการ อันดับแรก คือ การพัฒนาหน่วยงานภายใน
“อาจจะถึงยุคแล้วที่เราอาจจะต้องนําระบบเอกชนมาช่วยในการที่จะพัฒนาหน่วยงานไทยแลนด์ของเราเปรียบเสมือนว่าหน่วยงานของเรานั่นคือหนึ่งบริษัท และ หัวหน้าหน่วยงานก็คือเป็นซีอีโอของบริษัท มีระบบในการประเมิน มีระบบในการต่อสัญญา มีระบบในการขึ้นเงินเดือน หรืออะไรต่างๆ มีการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานต่างๆที่เป็นลักษณะ one stop service มีการพัฒนาในระบบของ HR ที่มีการประเมินอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม”
ส่วนการต่อต้านคอรัปชั่น มีการนํา AI, big data มาใช้ในการตรวจจับ(detection) เป็นต้น
“ด้วยความที่ท่านนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ ผมเชื่อมั่นว่าด้วยความเปิดรับของท่าน ด้วยความมุ่งมั่นในการใช้งานต่างประเทศท่านสามารถจะขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ให้ประสบความสําเร็จได้ภายในยุคของรัฐบาลท่าน ขอเป็นกําลังใจให้”

สะสางกฎหมายล้าสมัย พลิกเป็นโอกาส
นายเฉลิมชัย ก๊กเกียรติกุล ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม นำเสนอการสะสางกฎหมายว่า กฎหมายเก่าที่ยังมีผลใช้บังคับอยู่ สร้างปัญหา อุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจของภาคประชาชน นอกจากนี้ปัญหาอีกประการอื่นๆเป็นของกฎหมาย คือ กฎหมายนั้นขาดคุณภาพ
“จากการสํารวจของภาคเอกชนพบว่ากฎหมายหลายฉบับ ได้มีหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน มีต้นทุนที่เกิดขึ้นในการประกอบธุรกิจจึงไม่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจภายใต้บริบทโลก นอกจากนี้รายการงานวิจัยยังตอกย้ําว่ากฎหมายที่ไม่มีคุณภาพ ได้สร้างผลที่ไม่จําเป็นต่อสภาพเศรษฐกิจ ถึง 1% ของมูลค่า GDP ของประเทศ อื้อต่อการทุจริตคอร์รัปชันและลดการจูงใจในการลงทุน”
นอกจากนี้โลกที่ผันผวนสูงในปัจจุบัน เกิดสงครามทางการค้า ห่วงโซ่อุปทานโลกที่เปลี่ยนไปเพราะเทคโนโลยีจะเปลี่ยนไป ประเทศไทยต้องมีการปรับตัวและต้องมีการทบทวนกฎหมาย เพื่อตอบสนองต่อปัญหาและความท้าทายที่เปลี่ยนแปลงไป
“ในการนําเสนอเปลี่ยนใหญ่ประเทศไทย เราได้มีการเสนอให้มีการสะสางกฎหมาย โดยเน้นที่คุณภาพของกฎหมาย ไม่ใช่จำนวนของกฎหมาย ถึงเวลาแล้วที่เราต้องสะสางกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ หากกฎหมายที่ออกมาผลลัพธ์ไม่เป็นไปอย่างที่ต้องการ ก็จําเป็นการทบทวนให้เหมาะสม ให้ถูกต้อง แก้ปัญหาให้ตรงจุด ตรงประเด็น ถึงเวลาแล้วที่ต้องยกระดับคุณภาพกฎหมายให้ทันสมัย ต้องประเมิน ก่อนออกกฎหมาย โดยกฎหมายนี้จะต้องลดต้นทุน ลดดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ต้องมีความชัดเจน”
“ถึงเวลาแล้วที่จะต้องพัฒนาคุณภาพระบบรัฐบาล เพื่อให้บริการประชาชนเป็นไปอย่างทั่วถึง พร้อมใจกันทําให้กฎหมายลดการคอรัปชั่นลดต้นทุนของภาคประชาชน วปอ.รุ่นที่ 66 ได้นําเสนอเกี่ยวกับการทําการสะสางกฎหมาย 4 ประการ
หนึ่ง ออกกฎหมายที่ส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันในประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายที่เปิดรับการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆไม่ว่าจะเป็น new economy อุตสาหกรรม 5.0 หรือการออกกฎหมายที่สนับสนุนอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์อย่างเช่น ประเทศ
เกาหลีใต้ได้ออกมาเป็นแพ็คเกจ
ข้อสองแก้กฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับบริบท ในปัจจุบันด้วยการทํา guillotine กฎหมาย และหากเป็นกฎหมายใหม่ก็จะเป็นต้องมีการประเมินผลกระทบ วิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ ประโยชน์ที่เกิดจากกฎหมายต้องมากกว่าต้นทุนที่เกิดจากกฎหมาย
ข้อสาม การแก้กฎหมายที่ให้ดุลยพินิจแก่เจ้าหน้าที่มากจนเกินไป จะต้องลดลง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนและลดการทุจริตคอรัปชั่นและ ข้อสุดท้ายจะต้องออกกฎหมายใหม่ที่ต้องทันต่อพัฒนาการของเทคโนโลยี เพื่อให้ประเทศไทยเป็นแหล่งบ่มเพาะของเทคโนโลยี ที่จะสามารถให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันในเวทีโลกได้ แต่ก็ต้องคุ้มครอง ประชาชน ผู้บริโภคที่เกิดจากเทคโนโลยีเหล่านี้
“ด้วยสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ต้องเผชิญความยากลําบาก ควรจะพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ด้วยการเปลี่ยนกฎหมายที่เป็นอุปสรรคทั้งหลายให้เป็นเครื่องมือที่สร้างโอกาสแทน การสะสางกฎหมายนี้จะสามารถลดต้นทุนต่างประเทศ สร้างโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำ และที่สำคัญใช้งบประมาณน้อย สามารถดำเนินการได้ทันที”

พัฒนาสู่ RTARF NEXT-ผลักดัน DEFENSE INDUSTRY
เสริมสร้างกองทัพ รอรับความท้าทายที่มีจุดเปลี่ยนคือ พัฒนาสู่ RTARF NEXT และุ ผลักดัน DEFENSE INDUSTRY นั้น พลอากาสตรีจักรกฤษ์ ธรรมวิชัย รองเจ้ากรมยุทธการทหารอากาศ กองทัพอากาศ นำเสนอถึง การพัฒนาสู่ RTARF NEXT ว่า ในปัจจุบันการปฏิบัติการทหารนั้นให้ความสําคัญกับการปฏิบัติการร่วมของกําลังรบในทุกมิติ การบริหารจัดการความมั่นคงแบบองค์รวม และการบูรณาการความมั่นคงแห่งชาติทุกทุกด้าน เพื่อป้องกันประเทศรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์แห่งชาติ ส่งผลให้กองทัพไทยต้องปรับรูปแบบการพัฒนามุ่งสู่การจัดการหลายมิติหรือ Multi-operations ซึ่งเป็นกองทัพมีประสิทธิภาพทันสมัย เท่าทันเทคโนโลยี
โดยได้เริ่มกําหนดแนวทางการดําเนินการ เพื่อให้เหล่าทัพนําไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาขีดความสามารถ ให้ประสานสอดคล้องกัน “อาจจะกล่าวได้ว่าวันนี้กองทัพไทยรู้แล้วเข้าใจกันอย่างดียิ่งว่าต้องทําอะไร ในการเตรียมการครั้งนี้”
นักศึกษาวิทยาลัยป้องกันอาณาจักรรุ่นที่ 66 ขอนําเสนอแนวทางด้วยหลักคิด SMART ในการดําเนินการ โดย S หมายถึง Sructure โครงสร้างกําลังรบที่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงในปัจจุบัน โดยต้องปรับรูปแบบและวิธีการในการเตรียมและใช้กําลังให้พร้อมรองรับการกําหนดการร่วม แม้ว่าจะมุ่งพัฒนาเชิงคุณภาพ แต่กองทัพไทยยังคงจําเป็นต้องมีขนาดโครงสร้างกําลังรบที่เหมาะสมทั้งในด้านกําลังพลและยุทโธปกรณ์ ไม่มากหรือไม่น้อยจนเกินไป บนพื้นฐานความพอประมาณและความมีเหตุผลมาก ว่าใช้ทําอะไร มีไปเพื่อปฏิบัติภารกิจอะไร ทั้งยังคงต้องใช้งานได้ มีสภาพความพร้อมรบอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
M ตัวอักษรที่สอง Modernaization การยกระดับเพื่อพัฒนาขีดความสามารถให้เท่าทันเทคโนโลยี ซึ่งต้องยกระดับพัฒนาระบบบัญชาการและควบคุมร่วมหลายมิติ ในการปฏิบัติการที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้สามารถสั่งการควบคุมการใช้กําลังได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้องเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ทั้งยังต้องทําแผนในการจัดหายุทโธปกรณ์ ให้รองรับภัยคุกคามและความท้าทายในทุกมิติอันเป็นการสร้างเสริมขีดความสามารถในเชิงป้องปราม
ตัวอักษรที่ 3 A Acquisition การจัดหายุทโธปกรณ์เข้าแทนเท่าที่จําเป็น มุ่งเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ ต้องเท่าทันเทคโนโลยีและรูปแบบการสงครามในอนาคต โดยต้องวางแผนและปรับรูปแบบวิธีการจัดสรรยุทโธปกรณ์ปให้สามารถใช้เงินงบประมาณได้อย่างคุ้มค่าและเกิดอุบัติเหตุสูงสุด ยกตัวอย่างเช่น การวางแผนจัดหายุทโธปกรณ์ทั้งระบบในคราวเดียวไม่แบ่งเป็นระยะ โดยขอยืดระยะเวลาในการจ่ายเงินเพื่อเพิ่มอํานาจในการเจรจาต่อรอง และลดภาระในการค่าใช้จ่ายของการดำเนินการโครงการในภาพรวม
ตัว R Resource Management การบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อให้สามารถใช้งานยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่ได้อย่างเต็มความสามารถ โดยต้องพัฒนาสู่ความสามารถด้านการส่งกําลังและซ่อมบํารุง เพื่อถ่ายทอดความพร้อมรบ บนพื้นฐานของความคุณค่าและการใช้จ่ายงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ
T Training การฝึกศึกษาในการสร้างและพัฒนากําลังพลด้วยทหารอาชีพมีคุณภาพ มีทัศนคติพื้นฐาน ความคิดค่านิยมที่เหมาะสม มีทักษะและขีดความสามารถพร้อมรองรับการปฏิบัติการหลายมิติ จัดการฝึกปฏิบัติการร่วมด้วยหลักคิดฝึกเหมือนรบจริง รบจริงเหมือนฝึก และประยุกต์ใช้เทคโนโลยี simulation และปัญญาประดิษฐ์ AI ในการเสริมประสิทธิภาพ
นอกเหนือจากการพัฒนาขีดความสามารถด้วยหลักคิด SMART แล้วรัฐบาลและกระทรวงกลาโหมก็ให้ความสําคัญ กับการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ในประเทศ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยีและการพัฒนาขีดความสามารถอย่างยั่งยืน รวมทั้งจะมีโอกาสที่รัฐบาลเสริมเพิ่มเติมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย
โดยต้องดําเนินมาตรการนโยบายที่สําคัญ ประกอบด้วย ส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศด้วยมาตรการทางภาษีด้วยการสนับสนุนเงินเพิ่มเติมจากรัฐบาล ด้วยการวางโครงสร้างพื้นฐานรองรับ รวมทั้งผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศ การกําหนดนโยบายให้กองทัพจัดหายุทโธปกรณ์ที่สามารถผลิตใช้งานได้เองในประเทศ และ ต้องแสวงหาประโยชน์จากนโยบายการชดเชยการนำเข้ายุุทโธปกรณ์ (Defense Offset Policy) แบบเหมือนกับว่าการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศผู้ผลิตและการผลักดันที่อุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยนั้นเป็นส่วนหนึ่งของ supply chain
“การเสริมสร้างกองทัพรองรับความท้าทายจําเป็นต้องใช้งบประมาณเป็นจํานวนมาก ต้องรับการสนับสนุนจากรัฐบาล ต้องมีการกําหนดระดับความสำคัญและความเร่งด่วนว่าต้องทําอะไรก่อนหลัง ทั้งนี้กระทรวงกลาโหมและกองทัพไทยจําเป็นต้องชี้แจงสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้พรรคการเมือง ภาคประชาชนถึงความสําคัญถึงความจําเป็นในการพัฒนากองทัพไทยถึงการบริหารความเสี่ยง ภายใต้ภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงในปัจจุบัน ที่พร้อมจะยกระดับเป็นความตึงเครียด ความขัดแย้ง หรือแม้แต่สงครามในทุกพื้นที่ทั่วโลก รวมทั้งต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคประชาชน ด้วยการบริหารจัดการองค์กร และพัฒนาขีดความสามารถด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ตามหลักธรรมาธิบาลเพื่อให้พี่น้องประชาชนไทยมีกองทัพอยู่ในใจ เป็นกองทัพของคนไทยเพื่อคนไทย”

ก้าวแรกสำคัญสุดเพราะกำหนดอนาคต
นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน) ในฐานะประธานนักศึกษา วปอ.รุ่น 66 กล่าวปิดท้ายขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้เกียรติมาเป็นประธานในงานแถลงผลการศึกษาเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ และกล่าวว่า ผลสัมฤทธ์จากการศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรจะก่อให้เกิดประโยชน์เป็นอย่างมาก ในการที่ได้ร่วมระดมความคิดแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ระหว่างนักศึกษาด้วยกันทั้งในส่วนราชการ ภาครัฐ ภาคเอกชนและนักศึกษา จนได้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สามารถนําไปปฏิบัติได้จริงและประสบผลสําเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรมในการที่จะสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติและนําไปสู่การพัฒนาประเทศต่อไป
“จาก 12 จุดเปลี่ยนใน 4 มิติที่นักศึกษาวปอ.รุ่น 66 ได้นําเสนอไปนั้น การที่เราจะสามารถเปลี่ยนใหญ่ประเทศไทยได้ เราต้องซ่อมฐานรากให้แข็งแรง ต้องผลัดใบเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ยกเครื่องระบบราชการ และเสริมสร้างกองทัพที่ทันสมัย เพราะก้าวแรกคือ ก้าวที่สําคัญที่สุดและยากที่สุด การเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของประเทศจะกําหนดอนาคตของลูกหลานคนไทยต่อไป”
บทสุดท้ายในรายงานผลการศึกษา Thailand Next เปลี่ยนใหญ่ประเทศไทย ระบุว่า การก้าวไปสู่การเป็น Thailand Next นั้นต้องการ การตัดสินใจของรัฐในจุดเปลี่ยนสำคัญต่างๆ ที่เป็น Center of Gravity เพื่อเริ่มต้นกระบวนการของการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญสุดของไทยในรอบ 60 ปี ซึ่งความสำเร็จในเรื่องนี้ จะมาจากความรวดเร็วของไทยในการปรับตัว ความสามารถในการเลือกเส้นทาง รวมทั้งความมีประสิทิธภาพในการบริหารผลกระทบจากการที่บริบทรอบๆ ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตาม The Great Disruption ซึ่งกำลังส่งผลที่ทวีความุรุนแรงมากขึ้นใน 10-20 ปีข้างหน้า ทั้งด้าน Technology Disruption ภายใต้การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ด้านเศรษฐกิจ ที่ศูนย์กลางความเจริญของเศรษฐกิจโลกกำลังย้ายมาที่เอเชีย ทำให้ไทยมีคู่แข่งทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นจากผู้เล่นรายใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และ AI ด้านการเปลี่ยนแปลงของภููมิอากาศจาก Global Warming และ Global Boiling ตลอดจนด้านความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ระหว่างมหาอำนาจ โดยเฉพาะการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯและจีน
ภายใต้บริบทเช่นนี้ จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศไทยต้องเปลี่ยนตัวของเราเอง ให้พร้อมรับกับความท้าทายข้างหน้าโดย “่ซ่อมฐานราก” เพื่อปิดจุดอ่อน ปลดปล่อยพลังของทุกภาคส่วน นำพลังของทุกส่วนไปช่วยกันพัฒนาประเทศ และสร้างความเป็นหนึ่งเดียวของคนในชาติ หรือ Social Cohesion “ผลัดใบเศรษฐกิจ”เพื่อสร้าง เครื่องยนต์ใหม่ให้ระบบเศรษฐกิจ ที่สอดรับกับยุค Technology Disruption และ Low Carbon Economyเพื่อใช้ในการแข่งขัน สร้างรายได้ของประเทศ ก้าวขึ้นเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของอาเซียนและเอเชีย “ยกเครื่ องระบบราชการ” เพื่อให้ภาครัฐสามารถเป็นแรงส่ง ช่วยในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมช่วย ลดภาระข้อจำกัด ต้นทุนแฝงที่มีอยู่ในระบบ และ“เสริมสร้างกองทัพ รองรับความท้าทาย” เพื่อยกระดับกองทัพไทยสู่อนาคตที่จะช่วยสร้างความมั่นคงให้กับชาติ ในยุคของการเผชิญหน้าและเปลี่ยนผ่านที่สำคัญนี้
“ก้าวแรกสำคัญสุด ยากสุด ลังเลที่สุด แ่ต่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสูการเปลี่ยนใหญ่ ที่กำหนดอนาคตของทุกคนต่อไป”