Hesse004
ผมเป็นมนุษย์ Introvert ที่น่าเบื่อ งานอดิเรกที่ผมมีมาตั้งแต่วัยเด็ก คือ อ่านหนังสือ…ผมชอบอ่านหนังสือและสะสมหนังสือมาตั้งแต่วัยรุ่น
หนังสือ คือ เพื่อนที่ดีของผมเสมอมา…เวลาที่ผมไม่รู้จะไปไหน ผมมักชอบเข้าร้านหนังสือ ซื้อหนังสือตามแต่กำลังทุนทรัพย์ที่ตัวเองมี และสะสมเก็บไว้
ข้อสังเกตหนึ่งในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ ผมพบว่า หนึ่งในกลุ่มหนังสือขายดี คือ หนังสือแนวพัฒนาตัวเองที่มาจากฝั่งอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี และนักเขียนไทย
หนังสือแนวนี้พูดตั้งแต่การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คนรอบข้าง รวมถึงการรู้จักตัวเอง
ข้อสังเกตส่วนตัว ผมพบว่า หนังสือแนว Self Improvement และหนังสือแนว How to น่าจะขายดีกว่าหนังสือพระที่ช่วงหลังผมเริ่มเห็นน้อยลง
หนังสือที่แนะนำให้เราจัดการกับตัวเองตั้งแต่ความคิด ความรู้สึก การวางเป้าหมายในชีวิต การวางแผนที่ชีวิต การรับมือกับสภาพความยากลำบากต่าง ๆ นานา ที่บ่อยครั้ง เราเรียกว่า “วิบากกรรม” บ้าง หรือ ชะตาชีวิตบ้าง
…แต่มนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ อย่างน้อยต้องดิ้นรนเอาตัวรอด หาหนทางมีชีวิตอยู่เพื่อวันข้างหน้าต่อไป
ระยะหลัง ๆ ผมพบคำว่า Toxic มากขึ้นบนหน้าปกหนังสือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราจะรับมืออย่างไรกับสภาพอารมณ์ที่เป็นพิษ ที่เราอาจได้รับจากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ผู้คนรอบตัว
สุดท้าย…ยาถอนพิษทางอารมณ์ หรือ “ยาถอนพิษทางใจ” ที่ดีที่สุด อยู่ในมือของเราเอง ขึ้นอยู่กับว่า เราพร้อมจะกินยาถอนพิษนั้นเองหรือเปล่า
หมอที่ดีที่สุดในการรักษาอาการถูกพิษทางใจไม่ใช่ จิตแพทย์ พระ เพื่อนสนิท สามี ภรรยา …หากแต่เป็นเราเองที่ต้องกินยาถอนพิษนั้น ก่อนที่ Emotional Toxic จะแผ่ซ่านให้เราเจ็บป่วยทั้งทางร่างกายและจิตใจ
ยาถอนพิษทางใจที่ดีที่สุดมีหลายขนาน ตำรับที่ดูดิบ โบราณว่าไว้ คือยาที่เรียกว่า “ช่างแม่ง”
“ยาช่างแม่ง” คือ ยาที่เมื่อเรากินแล้ว ทำให้เรารู้สึกว่าสภาพความเป็นพิษที่กำลังเผชิญอยู่ แม่งเป็นแค่อากาศธาตุ ไม่มีตัวตน ไม่มีค่า ไร้ราคาให้เราต้องสนใจ เพราะทั้งมึงกับกูก็ตายจากกันแล้ว…กูขี้เกียจคิด ขี้เกียจพูด ขี้เกียจเสวนา ขี้เกียจรับรู้ ขี้เกียจให้ราคา
…ยาโบราณแบบนี้ เป็นยาถอนพิษทางใจที่ทำให้พิษออกจากตัวเรา แม้จะร้อนรุ่ม หงุดหงิด แต่อย่างน้อยก็พอทำให้เราจัดการเดินหน้าแม้จะเต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองบ้าง
ยาถอนพิษทางใจขนานต่อมา เรียกว่า “ยาปลง” ยานี้มีสลากติดว่า ผู้กินยาไม่ต้องสนใจอะไรแล้ว ปลงเถอะ โลกมันก็เป็นแบบนั้น คนมันก็เป็นแบบนี้ จะไปสำมะหาคาดหวังอะไร สุดท้าย เราทุกคนล้วนมีจุดจบเดียวกัน
…ยาถอนพิษทางใจประเภทนี้ ใครกินได้ คิดได้ คนรอบข้างมักโมทนา “สาธุ” ด้วย
ยาถอนพิษขนานสุดท้าย ยานี้อาจแรงเกินไป เพราะต้อง “ปล่อยวาง” และ “เมตตา” พร้อมให้ “อภัย” แต่ก่อนกินยาประเภทนี้ ต้องดูขวดดี ๆ ว่า เป็นยาปลอมหรือเปล่า… เพราะหากกินผิดจะเกิดอาการข้างเคียงที่ทำให้เราซึมเศร้า เพราะเอาเข้าจริงเรายังปล่อยวางไม่ได้ เมตตาไม่พอ ให้อภัยไม่ไหว…เพราะเรายังเป็น “ปุถุชน” อันหมายถึง ผู้ยังเกี่ยวข้องกับสัตว์ทั้งหลายอยู่
เอาเข้าจริงแล้ว…ผมเชื่อว่า โลกนี้เต็มไปด้วย “พิษสารพัด” หรือ “คนสารพิษ” …โลกที่ทำให้เราต้องฝึกที่จะอยู่กับตัวเองอย่างมีความสุข (เท่าที่เราออกแบบมันได้)
เมื่อเราเจอพิษ เราต้องหาวิธีขับพิษด้วยวิธีต่าง ๆ ไม่ว่าจะยาขนานใดก็ตาม… แต่อย่างน้อยที่สุด เราต้องบอกตัวเองว่า เวลาที่เหลืออยู่ของชีวิต เราพยายามไม่รับพิษจากใคร และขับพิษให้เร็วที่สุด โดยไม่พยายามพ่นพิษให้ใคร (ถ้าไม่จำเป็น)
ผมชอบคำพูดของหัวหน้าเก่าที่ท่านสอนผมว่า
“กุญแจของความสุขอยู่ในมือเรา ไม่มีใครแย่งกุญแจนี้ไปจากเราได้”
เราออกแบบชีวิตเราเองได้ เราเลือกชีวิตในแบบของเราได้ เราเลือกสิ่งแวดล้อม เลือกคู่ครอง เลือกมิตรสหายที่ดีกับเราได้ ถูกจริตและคบหาแบบกัลยาณมิตรจนลาจากกันได้
…ทั้งหมดอยู่ที่เรา เพราะชีวิตเป็นของเรา