วิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2024/02/ประมงชายฝั่ง-620x439.png)
ระบบนิเวศตามแนวชายฝั่งทะเล แหล่งผลิตสัตว์น้ำ (ecosystems as fish factories)
เมื่อกล่าวถึงการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำเพื่อความยั่งยืน เราไม่อาจจะลืมเรื่องสำคัญประการหนึ่ง นั่นก็คือ “ระบบนิเวศตามแนวชายฝั่งทะเล” เพราะชายฝั่งทะเลเป็นเสมือนแหล่งเพาะพันธุ์และอนุบาลสัตว์น้ำทะเลที่สำคัญที่สุด ซึ่งสิ่งนี้ไม่ใช่เป็นเพียงความเข้าใจของคนที่อยู่ริมทะเลของไทยเท่านั้น แต่จากการเข้าไปค้นคว้าหาอ่านจาก เว็บไซต์ต่างๆพบข้อความที่น่าสนใจอันหนึ่งที่บ่งบอกถึงความสำคัญของ “ระบบนิเวศตามแนวชายฝั่งทะเล” ในฐานะแหล่งผลิตสัตว์น้ำที่มีอิทธิพลต่อทั้งทรัพยากรและชุมชนชายฝั่ง ที่จำเป็นจะต้องให้ความสำคัญในการอนุรักษ์ จัดการ และใช้ประโยชน์เพื่อความยั่งยืนที่จะส่งต่อให้กับอนุชนรุ่นต่อๆ ไปในอนาคตด้วย
ดังนั้น หากเราอยากเห็นความยั่งยืนของทรัพยากรสัตว์น้ำ เราจึงจำเป็นที่จะต้องมีการ “คุ้มครอง” ที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ โดยเฉพาะ “ระบบนิเวศตามแนวชายฝั่งทะเล” ทั้งเพื่อการสนับสนุน “วิถีชีวิต (livelihoods)” “เศรษฐกิจ (economies)” และ “ความมั่นคงทางอาหาร (food security)” ของคนในทุกภูมิภาคทั่วโลก
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2024/02/ระบบนิเวศชายฝั่ง-620x481.jpg)
ในส่วนของประเทศไทย หากเรานำความสำคัญของ “ระบบนิเวศตามแนวชายฝั่งทะเล” ดังกล่าว มาจำลองเข้ากับ “เขตประมงชายฝั่ง” ภายใต้บริบทของไทย ไม่ว่าจะเป็นในมิติทางนิตินัย มิติทางชีวภูมิศาสตร์ หรือมิติการจัดการทรัพยากร รวมทั้งการจัดการที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เราจะพบว่า การจัดการ “ระบบนิเวศตามแนวชายฝั่งทะเล” ใน “เขตประมงชายฝั่ง” ของไทยยังมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาและปรับปรุง ดังนี้
1. “เขตประมงชายฝั่ง” (ในมิติทางนิตินัย) ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๕ หมายถึง เขตที่อยู่ในพื้นที่ “ทะเลชายฝั่ง” ซึ่งหมายความว่าเป็นเขตทะเลที่อยู่ในราชอาณาจักรนับจากแนวชายฝั่งทะเลออกไปสามไมล์ทะเล (โดยประมาณเว้นแต่ในกรณีที่มีความจําเป็นเพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำจะออกกฎกระทรวงกําหนดให้เขตทะเลชายฝั่งในบริเวณใดมีระยะนับจากแนวชายฝั่งทะเลออกไปน้อยหรือมากกว่าสามไมล์ทะเลก็ได้ แต่ต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งจุดห้าไมล์ทะเลและไม่เกินสิบสองไมล์ทะเล)
2. “เขตประมงชายฝั่ง” (ในมิติทางชีวภูมิศาสตร์) หมายถึงแหล่งที่อยู่อาศัยของพ่อแม่พันธุ์สัตว์น้ำที่เข้ามาวางไข่ เพาะ/ขยายพันธุ์ อนุบาลและเจริญเติบโตของสัตว์น้ำวัยอ่อน ก่อนการเคลื่อนย้ายออกไปยังทะเลที่ลึกกว่า ใน“เขตประมงนอกชายฝั่ง” ต่อไป
3. “เขตประมงชายฝั่ง” (ในมิติการจัดการทรัพยากร) หมายถึง แหล่งที่พึงกำหนดให้เป็นเขตสงวนอนุรักษ์ และขยายพันธุ์สัตว์น้ำ ที่ไม่ควรอนุญาตอนุญาตให้ใช้ประโยชน์หรือมีการใช้ประโยชน์อย่างจำกัด
4. การอนุญาตให้มีการใช้ประโยชน์ในการจับสัตว์น้ำใน “เขตประมงชายฝั่ง” นี้จะต้องเป็นไปด้วยความระมัดระวัง จำกัด และกำหนดเงื่อนไขพิเศษ เพื่อมิให้กระทบกับ “การสงวนอนุรักษ์ และขยายพันธุ์สัตว์น้ำ” หรือกระทบน้อยที่สุดเพื่อให้เกิดการอนุรักษ์และใช้ประโชยน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน
5. “เขตประมงชายฝั่ง” (ในมิติการจัดการทรัพยากร) ในปัจจุบัน
-
1) มีการห้าม “เรือประมงพาณิชย์” เข้าทำการประมงในเขตดังกล่าว
2) มีการอนุญาตให้ “เรือประมงพื้นบ้าน” สามารถเข้าทำการประมงได้โดย (๑) ไม่จำกัดจำนวนเรือ (๒) ใช้เครื่องมือขนาดใหญ่ได้ (๓) ไม่จำกัดขนาดเรื่องยนต์ (๔) ไม่จำกัดจำนวนแรงงานและใช้แรงงานต่างด้าวได้ (๕) ไม่จำกัดการใช้เครื่องทุ่นแรง/อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อช่วยในการจับสัตว์น้ำ (เครื่องกว้าน/เครื่องโซนาร์/จำนวนและปริมาณแสงไฟล่อ) (๖) ไม่จำกัดเงื่อนไขของผู้ประกอบการ (สัญชาติ/จำนวนเรือต่อผู้ประกอบการหนึ่งคน/อายุ ฯลฯ)
3) “เรือประมงพื้นบ้าน” ที่อนุญาตไม่มีการแยกขนาดเรือระหว่างเรือขนาดเล็กและเรือขนาดใหญ่ (ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ “เรือประมงพื้นบ้าน” หมายถึงเรือที่มีขนาดไม่เกิน ๑๐ ตันกรอส หรือในบางกรณีสามารถมีขนาดได้ถึง ๑๕ ตันกรอส (มาตรา ๑๗๔) ของบทเฉพาะกาล)
6. ถ้าใน “เขตประมงชายฝั่ง” ไม่สามารถอนุรักษ์ จัดการและใช้ประโชยน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำได้อย่างยั่งยืนแล้ว การประมงใน “เขตประมงนอกชายฝั่ง” ของไทย ก็ไม่สามารถเกิดความยั่งยืนได้
7. เพื่อให้การ “อนุรักษ์ จัดการ และใช้ประโชยน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำ” ใน “เขตประมงชายฝั่ง” ได้อย่างยั่งยืน และส่งผลกระทบต่อการ “อนุรักษ์ จัดการ และใช้ประโชยน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำ” ใน “เขตประมงนอกชายฝั่ง” ได้อย่างยั่งยืนด้วย นั้น ต้องมีการจัดการ “เขตประมงชายฝั่ง” ใหม่ดังนี้
-
1) ต้องแยกขนาดเรือระหว่าง “เรือประมงพื้นบ้าน” ขนาดเล็กและขนาดใหญ่ออกจากกัน โดยให้ “เรือประมงพื้นบ้าน” ขนาดใหญ่ต้องออกไปทำการประมงนอก “เขตประมงชายฝั่ง” และให้ “เรือประมงพื้นบ้าน” ขนาดเล็ก เท่านั้น ที่ยังคงทำการประมงใน “เขตประมงชายฝั่ง” ได้ต่อไป
2) สำหรับ “เรือประมงพื้นบ้าน” ขนาดเล็ก ที่อนุญาตให้ทำการประมงใน “เขตประมงชายฝั่ง” ได้ต่อไป จะต้องมีการ (๑) จำกัดจำนวนเรือ (เนื่องจากทรัพยากรมีอย่างจำกัด และเขตพื้นที่อนุญาตเป็นเขตพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ) (๒) กำหนดคุณสมบัติของผู้ได้รับอนุญาต (สัญชาติไทย/อายุไม่ต่ำกว่า ๑๘ปี/ครอบครองเรือได้ไม่เกินคนละ ๑ ลำ ฯลฯ) (๓) กำหนดขนาดและชนิดของเครื่องยนต์ (๔) กำหนดจำนวนแรงงานและที่มาของแรงงาน (๕) กำหนดการใช้เครื่องทุ่นแรง/จำนวนและปริมาณแสงไฟล่อ/อุปกรณ์อีเล็กโทรนิคเพื่อช่วยการจับสัตว์น้ำ (๖) จำกัดชนิด จำนวน และขนาดของเครื่องมือ (๗) กำหนดการห้ามออกนอก “เขตประมงชายฝั่ง” (๘) กำหนดให้มีการจดบันทึก “ปูมเรือ” และ “ปูมทำการประมง” รายวันแบบง่าย และต้องจัดส่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทุกสิ้นเดือน (เพื่อประโยชน์ในการจัดการทรัพยากร) และ (๙) เงื่อนไขดังกล่าวข้างต้นอาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมตามสภาวะของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเลที่เปลี่ยนแปลง
3) สำหรับ “เรือประมงพื้นบ้าน” ขนาดเล็ก ส่วนเกิน ที่ได้รับผลกระทบจากการ “จำกัดจำนวนเรือ” ใน “เขตประมงชายฝั่ง” ต้องได้รับการชดเชยและเยียวยาจากรัฐหากไม่สามารถทำการประมงต่อไปได้
4) สำหรับ “เรือประมงพื้นบ้าน” ขนาดใหญ่ต้องมีการกำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขให้สอดคล้องกับ “เรือประมงพาณิชย์” และอาจกำหนดให้น้อยกว่าหรือสามารถดำเนินการที่ง่ายและสะดวกกว่าก็ได้
กล่าวโดยสรุป หากประเทศไทยสามารถปรับเปลี่ยนแนวคิดในการจัดการ “เขตประมงชายฝั่ง” ด้วยการให้การ “คุ้มครอง” ที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ โดยเฉพาะตาม “ระบบนิเวศตามแนวชายฝั่งทะเล” บนพื้นฐานของการอนุรักษ์ และใช้ประโยชน์เพื่อความยั่งยืนที่กล่าวมาข้างต้น
เราก็จะมั่นใจได้ว่า ทรัพยากรสัตว์น้ำ ทั้งในเขตพื้นที่ “เขตประมงชายฝั่ง” และ “เขตประมงนอกชายฝั่ง” ของไทยจะกลับมาฟื้นตัวและมีความอุดมสมบูรณ์ให้เราสามารถเก็บเกี่ยวได้ชั่วลูกหลานในอนาคตได้โดยไม่ยาก
นั่นย่อมหมายความว่า “วิถีชีวิต (livelihoods)” “เศรษฐกิจ (economies)” และ “ความมั่นคงทางอาหาร (food security)” ของคนในบริเวณชายฝั่งและประเทศไทยก็จะยั่งยืนตลอดไปด้วยเรือประมงพื้นบ้านขนาดเล็ก เรือประมงพื้นบ้านขนาดใหญ่