ThaiPublica > เกาะกระแส > “ผู้ว่าฯชัชชาติ” แถลงผลงาน 1 ปี แก้แล้ว 2 แสนปัญหา ยันมีพลังเหลือเฟือทำงานต่อ

“ผู้ว่าฯชัชชาติ” แถลงผลงาน 1 ปี แก้แล้ว 2 แสนปัญหา ยันมีพลังเหลือเฟือทำงานต่อ

14 มิถุนายน 2023


หนึ่งปีผลงานนายชัชชาติ   สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร “ทำงาน ทำงาน ทำงาน พลิกชีวิตคนกรุงฯ” เพิ่มนโยบาย 9 ด้าน 9 ดี จาก216 นโยบาย เป็น 226 นโยบาย แก้ปัญหาได้ 2 แสนเรื่องจาก 3 แสนเรื่องร้องเรียน พร้อมจัดระบบงบประมาณมาเป็นแบบ Zero-Based Budgeting เพิ่มงบกว่า 1,000 ล้านบาท เดินหน้าแก้สายสื่อสารลงใต้ดิน และเสนอครม.แก้หนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียว

วันที่ 13 มิถุนายน 2566 นายชัชชาติ   สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงผลงาน “365 วัน ทำงาน ทำงาน ทำงาน กรุงเทพฯ” โดยชี้แจงผลการดำเนินงานในรอบ 1 ปี  ภายใต้นโยบาย 9 ด้าน 9 ดี 216 นโยบาย พร้อมทิศทางการการพัฒนากรุงเทพมหานครในระยะต่อไป

นายชัชชาติได้ให้คะแนนตัวเอง 5 เต็ม 10 เพราะมีโอกาสปรับปรุงและพัฒนาตัวเองมากขึ้น  โดยกล่าวว่า “ตลอด 365 วันที่ผ่านมา เป็น 365 วันที่สนุกและยังคงมีพลังเหลือเฟือในการทำงานต่อ แต่ทั้งหมดที่เห็นไม่ใช่ผลงานของชัชชาติคนเดียว แต่เป็นผลงานของทีมทุกคนที่ร่วมมือกัน เป็นผลงานของผู้บริหาร พี่น้องข้าราชการ บุคลากรกรุงเทพมหานคร ทีมสมาชิกสภากรุงเทพมหานครที่เป็นกำลังสำคัญในการออกกฎหมาย และเกิดจากความร่วมมือของภาคีเครือข่ายที่เป็นการทำงานแบบไร้รอยต่อ”

นายชัชชาติกล่าวว่า ได้เริ่มทำงานในช่วงแรกเดือนมิถุนายน 2565 ซึ่งงบประมาณปี 2566 ของกรุงเทพมหานครได้จัดทำเรียบร้อยแล้ว แต่ได้ปรับการใช้งบประมาณเพื่อให้สามารถดำเนินนโยบายตามที่เสนอไว้กับประชาชน ส่งผลให้มีเงินที่สามารถใช้ได้จากงบประมาณรายจ่ายปี 2566 จำนวน 9,000 ล้านบาท โดยประชาชนสามารถเข้าไปดูสิ่งที่ทำได้ทางเว็บไซต์ http://openpolicy.bangkok.go.th

 เพิ่ม 9 ด้าน 9 ดี 216 นโยบาย เป็น 226 นโยบาย

สำหรับนโยบายของกรุงเทพมหานคร จาก 9 ด้าน 9 ดี เดิม ได้แก่ เดินทางดี ปลอดภัยดี โครงสร้างดี สุขภาพดี สิ่งแวดล้อมดี เศรษฐกิจดี สร้างสรรค์ดี เรียนดี และบริหารจัดการดี ซึ่งประกอบด้วย 216 นโยบาย ได้มีการปรับเปลี่ยนให้เข้าใจง่าย สอดคล้องกับรูปแบบการทำงานจริง และตอบสนองความต้องการของประชาชนมากขื้น เป็น 9 ด้าน 9 ดี ใหม่ ได้แก่ เดินทางดี ปลอดภัยดี โปร่งใสดี  สิ่งแวดล้อมดี สุขภาพดี เรียนดี เศรษฐกิจดี สังคมดี

ส่วนการบริหารจัดการดี รวม 226 นโยบาย เริ่มดำเนินการไปแล้ว 211 นโยบาย ส่วน 11 นโยบายที่ยังไม่ได้ดำเนินการ เพราะเป็นนโยบายที่ต้องมีการประสานงานร่วมกันกับหน่วยงานอื่น และมี 4 นโยบายยุติการดำเนินการ เช่น นโยบายห้องให้นมเด็ก ซึ่งไม่ค่อยมีผู้ใช้บริการเนื่องจากประชาชนไม่นิยมมีบุตร นโยบายรถห้องสมุดเคลื่อนที่ลงไปถึงชุมชน เนื่องจากชุมชนมีพื้นที่ถนนเล็ก จึงเห็นควรปรับเปลี่ยนเป็นห้องสมุดออนไลน์ เป็นต้น

1.ปลอดภัยดี ติดกล้อง CCTV 60,972 ตัว

ดีด้านแรก เรื่องของความปลอดภัย กทม.ดำเนินการแก้ไขจุดเสี่ยงภัยและอาชญากรรม ดังนี้ แก้ไขปัญหาไฟฟ้าดับ 28,000 ดวง จากไฟที่ดับประมาณ 28,100 ดวง เปลี่ยนหลอดไฟเป็นหลอด LED 11,400 ดวง จากเป้าหมาย 25,000 ดวง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในอีก 2 เดือน

ติดตั้งกล้องป้องกันภัยด้านอาชญากรรมเพิ่ม 160 กล้อง รวมเป็น 60,972  กล้อง ปรับระบบการขอภาพจากกล้อง CCTV ให้สามารถขอได้ภายใน 24 ชั่วโมง ตรวจสถานประกอบการกลางคืนกว่า 300 แห่ง

ปรับปรุงทางม้าลาย โดยทาสีขาว 378 แห่ง ทาสีแดง 156 แห่ง ติดไฟปุ่มกดข้ามถนน 52 แห่ง ติดไฟกระพริบ 50 แห่ง รวบรวมฐานข้อมูลเมือง 28 ชุด รวบเป็น 5 Risk Map ประกอบด้วย จุดเสี่ยงน้ำท่วม อัคคีภัย ฝุ่น ทรัพย์สิน และสารเคมี รวมถึงมีการนำแบบแปลนอาคารเข้าระบบแล้วกว่า 5,000 แห่ง

นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มทรัพยากร ทักษะและข้อมูลความปลอดภัยชุมชน สร้างระบบเครือข่ายในพื้นที่จัดการสาธารณภัยด้วยการพัฒนาแผนปฏิบัติการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระดับเขต แล้วเสร็จ 25 สำนักงานเขต
2.โปร่งใสดี แก้ปัญหาร้องเรียน 2แสนเรื่อง

ส่วนในเรื่องดี ด้านที่สอง เป็นหัวใจของความโปร่งใสคือการนำ Traffy Fondue เข้ามาใช้ เพื่อตรวจสอบทุจริตคอร์รัปชัน ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เรื่องเวลาและนำมาเปลี่ยนวิธีการทำงานของกทม. ทำให้ข้าราชการและบุคลากรของกทม.ตื่นตัวในกรแก้ไขปัญหา ที่ผ่านมาประชาชนแจ้งเรื่องเข้ามาประมาณ 300,000 เรื่อง แก้เสร็จแล้วประมาณ 200,000 เรื่อง

นอกจากนี้ยังมีการทำงานระหว่างหน่วยงานอย่างไร้รอยต่อ มีการเปิดเผยชุดข้อมูลจากเดิม 400 ชุดข้อมูล ปัจจุบันเปิดเผย 720 ชุดข้อมูล ตามความต้องการของประชาชน มีการเปิดเผยข้อมูลจัดซื้อจัดจ้าง ขออนุญาต บริการออนไลน์ (Open Bangkok) โดยนำการจัดซื้อจัดจ้างของกรุงเทพธนาคมเข้าสู่ระบบการเปิดเผยข้อมูล e-GP ของ กทม. มากกว่ามาตรฐานกรมบัญชีกลาง เปิดบริการ กทม.ออนไลน์ ผ่าน BMA OSS เริ่มจากขออนุญาตก่อสร้างอาคารไม่เกิน 300 ตร.ม. มีการเปิดเว็บไซต์ติดตามการทำงานของ กทม. อีกทั้งยังมีการยกระดับความร่วมมือในการต่อต้านการทุจริตกับองค์กรที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ร่วมมือกับ ACT GBDI สถานทูตอังกฤษ และ ป.ป.ช. ในการจัดการแก้ไขปัญหาทุจริตและการสร้างความโปร่งใส่ในการทำงานร่วมกัน มีการเปิดศูนย์ต่อต้านทุจริต กทม. เพิ่มช่องทางการรับเรื่องทุจริต เร่งรัดการสอบสวนและลงโทษผู้กระทำความผิด

3.เศรษฐกิจดี หนุน Soft Powerและเศรษฐกิจย่าน
ส่วนในเรื่องเศรษฐกิจ ได้เพิ่มโอกาสตลาดแรงงานและมีการฝึกอาชีพคนเมือง ด้วยการดึงความร่วมมือจากเอกชนร่วมพัฒนาหลักสูตรฝึกอาชีพ พร้อมเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการ เช่น หลักสูตรแม่บ้านโรงแรม หลักสูตร Caregiver ดูแลผู้สูงอายุ มีการจัดระบบสอบโดยรับคนพิการเข้าเป็นข้าราชการครั้งแรกของหน่วยงานรัฐ 9 อัตรา สร้างการจ้างงานในคนพิการแล้ว

นอกจากนี้ยังร่วมมือกับกรุงไทย ออกสินเชื่อ ช่วยเหลือผู้ค้าหาบเร่ฯ เพิ่มพื้นที่ Hawker Center ตลาดค้าขาย ปรับสัดส่วนคณะกรรมการหาบเร่ฯ ให้มีส่วนร่วมจาก ผู้ค้า ประชาชน และนักวิชาการมากขึ้น มีการทำฐานข้อมูลผู้ค้า 19,000 ราย พร้อมออก QR code ให้กับร้านค้า มีการเริ่มทำต้นแบบพัฒนาจุดซักล้าง บ่อดักไข่มัน รวมถึงได้มีการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Soft Power) และเศรษฐกิจย่าน เทศกาล 12 เดือน 12 เทศกาล ต่อเนื่อง สร้างอัตลักษณ์ 11 ย่าน ผ่านการสนับสนุนทั้ง software และ hardware ตลอดจนเร่งอนุมัติการถ่ายภาพยนตร์ในกรุงเทพฯ ได้ภายใน 3 วัน

แถลงผลงาน 1 ปี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

4.เดินทางดี ปรับปรุงทางเท้า 221.47 กม.

ส่วนเรื่องการเดินทางปรับปรุงทางเท้า 221.47 กิโลเมตร มีมาตรฐานทางเท้าใหม่เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก เพื่อให้ทางเท้าแข็งแรงขึ้น มีการปรับลานทางเดินเลียบคลองแสนแสบเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้ เป็น Universal Design มีการยุบ รวม ย้าย ผู้ค้านอกจุดผ่อนผัน คืนทางเท้าให้ประชาชน 140 จุด เพิ่มความคล่องตัวการเดินทางด้วยการร่วมมือกับหน่วยงานอื่น เช่น การไฟฟ้านครหลวง รถไฟฟ้า ฯลฯ

รวมทั้งการก่อสร้างในความรับผิดชอบของกทม.เอง เพื่อคืนผิวจราจร อาทิ บริเวณรถไฟสายสีส้ม สะพานเชื้อเพลิง สะพานข้ามแยก ณ ระนอง มีการจัดเทศกิจช่วยดูแลจราจร 890 จุดทุกวัน มีการติดตั้ง CCTV กวดขันวินัยจราจร รวม 30 จุด จับผู้ทำผิดแล้วกว่า 400 ราย

นอกจากนี้ยังมีส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะและเพิ่มทางเลือกในการเดินทาง โดยพัฒนา BMA Feeder นำร่อง 4 เส้นทาง ติดตั้งจุดจอดจักรยาน 100 จุด รวม 900 คัน สำหรับเป็น Feeder เพื่อให้สามารถขี่จักรยานเข้ามาสู่รถไฟฟ้าได้ ด้านการป้องกันและแก้ปัญหาน้ำท่วม ได้มีการลอกท่อ 7,115.4 กม. ลอกคลองและเปิดทางน้ำไหล รวม 2,948 กม. พร้อมได้มีการเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จตามแผนเพราะเป็นเส้นเลือดฝอยสำคัญที่ทำให้น้ำลดลงได้เร็วเมื่อเกิดฝนตก

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงผลงาน“365 วัน ทำงาน ทำงาน ทำงาน กรุงเทพฯ”

5.สิ่งแวดล้อมดี ปลูกต้นไม้ 4 แสนต้น

ส่วนนโยบายปลูกต้นไม้ล้านต้น ได้ปลูกต้นไม้แล้ว 400,000 ต้น ขณะที่นโยบายสวน 15 นาทีเสร็จเพิ่มอีก 28 แห่ง(26 ไร่) จากที่เริ่มดำเนินการไปได้กว่า 100 แห่ง และมี Pet Park 5 แห่ง ซึ่งมีการนำสัตว์เลี้ยงเข้าใช้แล้วมากกว่า 4,500 ตัว

ในส่วนของการจัดการอากาศ กทม.มีการตรวจฝุ่น 9,291 สถานประกอบการ ตรวจควันดำ 131,537 คัน รวบรวมเซ็นเซอร์ฝุ่นเข้าระบบ 622 จุด ด้านการจัดการขยะ ประชาชนและผู้ประกอบการร่วมโครงการแยกขยะมากกว่า 6,400 ราย และมีขยะลดลง 300-700 ตันต่อวัน ทำให้ประหยัดงบประมาณไปในหลัก 100 ล้านบาท มีการติดตั้งคอกเขียว 99 จุด 152 คอก บนถนนสายหลัก เพื่อการทิ้งขยะและจัดเก็บตามเวลา ป้องกันสัตว์มากัดแทะ ป้องกันขยะไหลลงท่อระบายน้ำเมื่อเกิดฝนตก ทั้งนี้ จะมีการขยายผลไปทุกถนนที่มีการวางถุงขยะไม่เป็นระเบียบต่อไป

6.สุขภาพดีนำร่อง Mobile Medical Unit
นอกจากนี้ยังมีนโยบายสนับสนุนและพัฒนากิจกรรมส่งเสริมสุขภาพชุมชนทุกกลุ่ม ยกระดับสุขภาพปฐมภูมิและเครือข่ายสาธารณสุข เพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่เชื่อมโยงไร้รอยต่อ พัฒนานวัตกรรมการรักษาพยาบาล อาทิ เปิด 22 คลินิกเพศหลากหลาย ให้บริการกว่า 5,900 ครั้ง มี Motorlance หน่วยมอเตอร์ไซค์ฉุกเฉิน 50 คัน ครอบคลุม 50 เขต เพื่อให้เข้าถึงเหตุได้เร็วภายใน 8 นาที

มีการนำร่องให้บริการหมอถึงชุมชนผ่าน Mobile Medical Unit ใน 104 ชุมชน ให้บริการมากกว่า 4,000 ครั้ง เพิ่ม Excellent Center และศูนย์เวชศาสตร์เขตเมือง เป็น 15 แห่ง เปิดให้บริการ Telemedicine หมอทางไกลในโรงพยาบาลสังกัด กทม. 11 แห่ง

เพิ่มเวลาการให้บริการในศูนย์บริการสาธารณสุข เพิ่มบริการเชิงรุก เพิ่มศักยภาพการส่งต่อ มีการยกระดับศูนย์บริการสาธารณสุข “พลัส” 6 ศูนย์ มีเตียงพักคอยดูอาการ ลดการส่งต่อโรงพยาบาล ลดระยะเวลาในการสรุปข้อมูลการส่งตัวผู้ป่วยจาก 1 วัน เป็น 1 ชั่วโมง อีกทั้งยังมีนโยบายโรงพยาบาล 10,000 เตียง ปัจจุบันมีผู้ป่วยระยะฟื้นฟูรักษาในชุมชน 18,654 เตียง ที่เข้าระบบสุขภาพของ กทม. ซึ่งจะมีแพทย์และพยาบาลไปเยี่ยมทุกเดือน

แถลงผลงาน 1 ปี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

7.สังคมดีแก้ปัญหาคนไร้บ้าน
นายชัชชาติกล่าวอีกว่า ได้มีการเปิดพื้นที่สาธารณะเพื่อรองรับกิจกรรมที่หลากหลาย โดยการเปิดระบบจองพื้นที่สาธารณะ 21 แห่ง ทั้งหมดนี้ไม่ได้ใช้งบประมาณแต่เป็นการใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วพัฒนาให้ประชาชนเข้าถึงได้ มีการจัดดนตรีในสวน 13 สวน 51 ครั้ง 156 วงดนตรี ซึ่งทำให้ประชาชนที่มาเดินเล่นออกกำลังกายในสวนสามารถรับฟังดนตรีไปด้วยได้
รวมทั้งเปิดพื้นที่แสดงดนตรี Bangkok Street Performer จำนวน 12 จุด มีคนมาแสดงมากกว่า 200 วง และปรับปรุง 62 อาคาร ให้ Universal Design ให้ทุกคนเข้าถึงได้

นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนเงื่อนไขการดำรงชีพคนไร้บ้าน คนพิการ และกลุ่มเปราะบาง ซึ่งได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดจุดบริการคนไร้บ้าน (Drop In) เรื่อง อาหาร งาน รักษาพยาบาล ตัดผม อาบน้ำ ทำบัตรประชาชน แจกอาหารไปมากกว่า 17,000 กล่อง

จากการตรวจสอบล่าสุดคนไร้บ้านลดลงประมาณ 490 คน จากปี 2565 เนื่องจากมีการส่งต่อให้กับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ดูแลด้วย

อีกทั้งลดเวลาในการออกบัตรคนพิการจาก 3 วัน เป็น 3 ชั่วโมง ซึ่งออกบัตรแล้วกว่า 895 ราย ส่งต่ออาหารส่วนเกินผ่าน Bangkok Food Bank ช่วยกลุ่มเปราะบาง 10,000 มื้อ 4,500 คน และในอนาคตจะขยายผลให้จริงจังมากขึ้น มีการจัดตั้งอาสาสมัครเทคโนโลยี (อสท.) 525 ชุมชน เป็นคนรุ่นใหม่ที่เข้าใจเทคโนโลยีลงชุมชนและช่วยคนในชุมชนให้เข้าใจในเทคโนโลยีต่าง ๆ มากขึ้น และยังเพิ่มค่าตอบแทน ให้กับคณะกรรมการชุมชน จากแต่ก่อนคณะกรรมการทำงานในรูปแบบเสียสละไม่ได้รับค่าตอบแทน

8.เรียนดีเพิ่มงบอาหารกลางวัน
ด้านการส่งเสริมการเรียนรู้เด็กเล็กก่อนวัยเรียน (2-6 ปี) โดยการปรับค่าอาหารกลางวันและอาหารเสริมจาก 20 เป็น 32 บาท สำหรับเด็กที่อยู่ในศูนย์เด็กเล็กก่อนวัยเรียน ให้ค่าวัสดุอุปกรณ์จาก 100 เป็น 600 บาท ทำให้เราสามารถดูแลเด็กก่อนวัยเรียนได้ดีขึ้น สำรวจข้อมูลศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนทั้ง 274 ศูนย์ (100%) เพื่อจัดสรรงบประมาณปี 2567 มีการพัฒนาสวัสดิการครูและนักเรียน

อุดหนุนค่าอาหาร ค่าชุด 1,171 ล้านบาท เพิ่มเติมจากที่รัฐบาลให้มา แจกผ้าอนามัยกว่า 380,772 ชิ้น 341 โรงเรียน ให้กับนักเรียนมากกว่า 23,000 คน ในอนาคตจะแจกให้ครบ 100% เนื่องจากเป็นภาระของนักเรียนและเป็นเรื่องที่กทม.ต้องช่วยดูแล แจกหมวกกันน็อก 120,000 ใบ เพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางของนักเรียน ซึ่งเรื่องนี้มีเครือข่ายที่มาร่วมกับกับกทม. ไม่ได้ใช้งบประมาณอีกเช่นกัน

รวมไปถึงคืนครูให้กับเด็ก ทำให้ครูมีเวลาสอนและดูแลเด็กมากขึ้น โดยการจ้างพนักงานธุรการมากกว่า 300 คน มาช่วยลดภาระงานครู เนื่องจากทุกวันนี้ครูเสียเวลาไปกับงานธุรการ
และพัฒนาคุณภาพอาหารในโรงเรียน มีการจัดสลัดบาร์ 3 วันต่อสัปดาห์ ใน 437 โรงเรียน มีโปรแกรมที่สามารถถ่ายรูปตรวจสอบคุณภาพอาหารได้

อีกทั้งยังมีการ Transform หลักสูตร และห้องเรียนดิจิทัล เปิดโรงเรียนวันหยุด คือ Saturday School และหลังเลิกเรียน คือ After School เป็นโปรแกรมที่ส่งเสริมเด็กไม่ต้องไปวิ่งเล่นที่อื่น สำหรับผู้ปกครองที่มารับตอนเย็นโดยลูกยังอยู่หลังเลิกเรียนได้ มี 16 วิชา 52 โรงเรียนดูแลนักเรียนมากกว่า 1,000 คน มีโครงการติดตั้งคอมพิวเตอร์ 21,553 เครื่อง 437 โรงเรียน ซึ่งทุกโรงเรียนจะมีคอมพิวเตอร์ใหม่

ขณะนี้อยู่กระบวนการเริ่มติดตั้งและเริ่มใช้งาน อีกทั้งเพิ่มวิชาชีพเลือกเสรีให้กับนักเรียนใน 109 โรงเรียน นำระบบ Google Classroom เข้ามาใช้ในโรงเรียน กทม. (Active learning) จะเห็นว่าเรื่องเรียนดีมีเรื่องที่น่าสนุกมากมาย เชื่อว่าในปีที่ 2 จะขยายผลไปได้อีกหลายเรื่อง

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงผลงาน“365 วัน ทำงาน ทำงาน ทำงาน กรุงเทพฯ”

9.บริหารจัดการดี จัดงบประมาณแบบ Zero-Based
นายชัชชาติกล่าวว่า ได้จัดสรรงบกลางปี 66 กว่า 5,024 ล้านบาท ลงเส้นเลือดฝอย เพื่อปรับปรุงเขตที่ปัญหาเรื่องน้ำท่วมและเรื่องถนน และจัดสรรงบ 200,000 บาทต่อชุมชน ซึ่งทางสภากรุงเทพมหานครจัดสรรงบให้มา เป็นการให้ประชาชนร่วมตัดสินใจถึงความต้องการของประชาชนเอง

ยกเลิกข้อบัญญัติล้าสมัยเกี่ยวกับควบคุมอาคาร 11 ฉบับ ทำประกันอุบัติเหตุให้พนักงานกวาด 9,079 คน ที่ดินใน กทม. 99.42% ถูกประเมินเพื่อจัดเก็บภาษี ทำให้การจัดเก็บภาษีมีประสิทธิภาพมากขึ้น และจัดทำงบประมาณแบบ Zero-Based Budgeting มีมูลค่างบประมาณมากกว่า 1,000 ล้านบาท เนื่องจากนำรายการเดิมที่ไม่จำเป็นออกไปและจัดสรรงบให้เฉพาะรายการที่จำเป็นเท่านั้น

ทั้งยังมีการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการร่วมบริหารจัดการเมือง โดยจัดตั้งสภาเมืองคนรุ่นใหม่ สร้างการมีส่วนร่วมของเยาวชนในการกำหนดทิศทางเมือง จัด Hack BKK ดึงบริษัทที่มีศักยภาพร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มให้คนกรุงเทพฯ

อีก 3 ปี ตั้งเป้าหมายทำงาน 9 ดี

สำหรับเป้าหมายในอีก 3 ปีข้างหน้า “ด้านเดินทางดี” คือ กทม.มีทางเท้าดี 1000 กม. ทางเดินริมแม่น้ำ 153 กิโลเมตร Adaptive Signaling 200 แห่ง ศาลาที่พักผู้โดยสาร 476 หลัง CCTV ตรวจจับ Traffic Violation 500 แห่ง แก้ไขจุดฝืด 100 จุด ลดจุดเสี่ยงจุดเฝ้าระวังน้ำท่วม 83 จุด

“ด้านปลอดภัยดี” คือ มี CCTV ป้องกันภัยด้านอาชญากรรม 65,440 กล้อง เปลี่ยนไฟ LED 100,000 หลอด แก้ไขจุดเสี่ยง 100 จุด จัดหาเครื่องดับเพลิง พร้อมระบุตำแหน่งและซ้อมแผนชุมชน 30,000 แห่ง ปรับปรุงสถานีดับเพลิง 9 แห่ง และสร้างเพิ่ม 11 แห่ง

“ด้านโปร่งใสดี” คือ มีการปรับปรุงกฎหมายควบคุมอาคารลดดุลพินิจในการตัดสินใจ การบริการ กทม.ออนไลน์ 100% ผ่าน OSS เปิดเผยข้อมูล Open Bangkok อย่างน้อย 1,500 ชุดข้อมูล

“ด้านสิ่งแวดล้อมดี” คือ มีความเป็นกลางทางคาร์บอน Carbon Neutrality ปลูกต้นไม้ 1,000,000 ต้น สวน 15 นาที รวม 500 แห่ง คัดแยกขยะต้นทาง 3,000 ตัน/วัน ระบบติดตามแจ้งเตือนฝุ่นระดับแขวง 1,000 จุด ร่วมกับรัฐบาลออกข้อบังคับ Low Emission Zone ให้รถทุกคันที่วิ่งเข้า กทม. จ่ายค่าธรรมเนียมมลพิษทางอากาศ

“ด้านสุขภาพดี” คือ มีศูนย์บริการสาธารณสุข ปรับปรุง 30 แห่ง สร้างใหม่ 38 แห่ง ผ้าอนามัยฟรี 100% ในโรงเรียน ศึกษาออกแบบโรงพยาบาล 2 แห่ง และก่อสร้าง 3 แห่ง

“ด้านเรียนดี” คือ ทุกโรงเรียนมีอาหารถูกหลัก คุณภาพดีทั้งมื้อเช้าและเย็น ปรับปรุง 274 ศูนย์เด็กเล็กให้ได้มาตรฐาน และขยายการดูแลศูนย์เด็กเล็กให้ครอบคลุมทุกชุมชน คะแนน ONET นักเรียนในสังกัดกทม.สูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ (ปัจจุบันยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ) นักเรียน กทม.สื่อสารภาษาไทย ต่างประเทศ และภาษาดิจิทัล (Coding) ได้ ลดภาระงานเอกสาร 100% Transform หลักสูตรและห้องเรียนดิจิทัลครบทุกโรงเรียน พัฒนาหลักสูตรสู่ฐานสมรรถนะและมุ่งสู่การเรียนรู้สู่อาชีพ

“ด้านเศรษฐกิจดี” ขณะนี้ยังดำเนินการได้ไม่เต็มที่ ในอนาคตจะพัฒนาเมืองในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ส่งเสริมการลงทุน Investment Promotion Zone แก้พ.ร.บ. 2528 ให้ กทม. มีอำนาจจัดเก็บภาษี เช่น ภาษีโรงแรม ค่าธรรมเนียมยาสูบ ภาษีน้ำมัน พัฒนาย่าน 3 คลองในเขตเมืองชั้นใน ได้แก่ คลองผดุงกรุงเกษม คลองโอ่งอ่าง คลองคูเมืองเดิม ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดี สร้าง Branding ทั้ง 50 ย่าน ส่งเสริม Local Economy ร่วมกับผู้ประกอบการเอกชนพัฒนาหลักสูตร์ฝึกอาชีพ ผลิตแรงงานสู่ตลาดอย่างน้อย 1,000 ตำแหน่งต่อปี

“ด้านสังคมดี” จะมีการสร้างศูนย์เยาวชน ศูนย์กีฬา หอศิลป์ เพิ่มอย่างน้อย 5 แห่ง มีฐานข้อมูลกลุ่มเปราะบางที่สมบูรณ์และเป็นปัจจุบัน เพิ่ม อสท. ครอบคลุม 2,017 ชุมชน มีแพลตฟอร์มรวบรวมพื้นที่สาธารณะของ กทม. และกิจกรรมต่าง ๆ ทั้ง 50 เขต ครบทุกพื้นที่ จ้างคนพิการใน กทม. มากกว่า 660 ตำแหน่ง (1% ของข้าราชการและลูกจ้างประจำ) และจัดสรรงบประมาณอย่างมีส่วนร่วมทุกชุมชนทุกปีอย่างต่อเนื่อง

“ด้านบริหารจัดการดี” คือ การขอเอกสารราชการออนไลน์ 109 กระบวนงาน ผังเมืองรวมใหม่ตามแนวคิด “บ้านใกล้งาน” สวัสดิการใหม่แก่พนักงานกวาดและเก็บขยะ 19,844 คน และแผนลงทุน Capital Improvement Program เครื่องมือบริหารจัดการเมือง

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

ปรับปรุงจุดเสี่ยง 700 แห่ง รับมือน้ำท่วม

สำหรับประเด็นน้ำท่วมในกรุงเทพฯ นั้น เชื่อว่าจะดีขึ้นแน่นอน โดยในกทม.มีจุดเสี่ยงกว่า 700 แห่ง เมื่อระบุในแผนที่ดิจิทัลและเร่งแก้ในแต่ละจุดจะเห็นว่าแก้ไปได้มากกว่าครึ่ง ในขณะเดียวกันก็ทำเส้นเลือดใหญ่คืออุโมงค์เพิ่ม และเหตุฝนตกหลายครั้งที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจนว่าน้ำระบายได้ดีขึ้น แต่ผลกระทบจาก Climate Change ซึ่งทำให้เกิดฝนตกหนักในบางจุดเป็นสิ่งที่ยังกังวล เพราะต้องใช้เวลาในการระบายน้ำมากขึ้น แต่เชื่อว่าเทคโนโลยีจะช่วยให้เราทำงานได้เร็วขึ้น

เดินหน้าจัดระเบียบสายสื่อสารต่อเนื่อง

นายชัชชาติ   กล่าวว่า การจัดการเรื่องสายสื่อสารในพื้นที่กรุงเทพมหานครประกอบด้วย สายไฟฟ้าแรงสูง สายไฟฟ้าแรงต่ำ และสายสื่อสาร ความรกรุงรังที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นเพราะสายสื่อสาร ซึ่งมากกว่า 50% เป็นสายเก่าที่ไม่ได้ใช้แล้ว ปกติค่าพาดสาย การไฟฟ้าคิดราคาอยู่ที่ 150-200 บาท/กิโลเมตร/คอ/เดือน ในการดำเนินการ กทม.ไม่สามารถสั่งให้ตัดสายหรือสั่งให้นำลงดินในทันทีได้ เนื่องจากมีหลายหน่วยงานดูแล ได้แก่

  • กสทช. ซึ่งมี พ.ร.บ. ต่างหาก โดย กสทช.เป็นผู้จัดทำแผนการจัดระเบียบสายสื่อสารและการนำสายสื่อสารลงดิน รวมทั้งกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
  • กทม. ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ โดยสามารถเสนอเส้นทางได้
  • กฟน. ซึ่งอนุญาตให้พาดสายสื่อสารบนเสาและเป็นผู้ดำเนินการหักเสานำสายไฟฟ้าลงดิน  ผู้ให้บริการ ซึ่งจะต้องดำเนินการทำตามที่ กสทช.กำหนด   โดย บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ NT ผู้ให้บริการท่อร้อยสายสื่อสารและดำเนินการวางท่อร้อยสายสื่อสาร
  • นายชัชชาติ ระบุว่า โครงการเก่าของกทม. ที่ให้ KT (บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด) ดำเนินการ คนเข้าใจว่าไม่ได้ใช้เงินลงทุน จริง ๆ แล้วไม่ได้ฟรี เพราะโครงการ KT นำสายสื่อสารลงดิน 2,000 กิโลเมตร ใช้งบประมาณลงทุนประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งค่าเช่าท่อที่ KT คิดกับผู้ประกอบการอยู่ที่ประมาณ 7,100 บาท/กิโลเมตร/เดือน ส่วนค่าเช่าท่อของ NT หรือ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีท่ออยู่แล้ว อยู่ที่ประมาณ 3,216บาท/กิโลเมตร/เดือน

    ทั้งนี้ KT ได้ดำเนินการนำสายสื่อสารลงดินไปแล้ว 9.9 กิโลเมตร ใช้งบประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งทับซ้อนกับท่อของ NT แต่ KT หาลูกค้าไม่ได้ การจะนำโครงการมาทำต่อจึงต้องคิดให้ดี เพราะไม่จำเป็นต้องมีโอเปอเรเตอร์ที่ทำท่อหลายราย การดำเนินการต้องไม่ซ้ำซ้อนกัน เพราะสุดท้ายค่าเช่าเหล่านี้ประชาชนเป็นคนจ่าย กทม.จึงมีแนวคิดยุติการดำเนินการ เนื่องด้วยต้นทุนสูง ไม่มีงบประมาณ ไม่มีอำนาจบังคับผู้ให้บริการมาใช้ท่อ ค่าเช่าท่อแพง แต่หากเป็นไปได้ ก็ให้ NT ทำ เพราะ NT มีท่ออยู่แล้ว ต้องพยายามคุยกันหาทางออก ขณะนี้อยู่ระหว่างหารือกันกับหลายหน่วยงาน โดย กสทช.เป็นผู้วางแผนหลัก

    สำหรับการดำเนินการที่ กสทช. ได้ร่วมกับผู้ประกอบการนำสายสื่อสารลงดินนั้น เสร็จไปแล้ว 30 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีบางส่วนที่การไฟฟ้าดำเนินการหักเสาลงดิน ซึ่งยังไม่ได้เยอะ เนื่องจากการนำสายไฟฟ้าลงดินมีราคาแพงมาก ต้องใช้งบประมาณกว่าหลักพันถึงหมื่นล้าน ฉะนั้น เมื่อไรก็ตามที่การไฟฟ้าหักเสาเพื่อนำสายไฟฟ้าลงดินก็จะนำสายสื่อสารลงดินด้วย แต่การจะนำสายไฟฟ้าลงดินทั้งหมดเป็นพันกิโลเมตร การไฟฟ้าจะทำไม่ไหวเพราะราคาสูงมาก

    อย่างไรก็ตาม กทม.ยังคงเดินหน้าจัดระเบียบสายสื่อสารต่อเนื่อง โดยบางส่วนใช้วิธีการจัดระเบียบ บางส่วนลงท่อของ NT และบางส่วนลงท่อที่กทม.ปรับปรุงทางเท้า ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวไม่ใช่เพียงกทม.ดูแลเพียงหน่วยงานเดียว แต่เป็นการประสานงานร่วมกันของหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

    แถลงผลงาน 1 ปีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

    เสนอ ครม.แก้ปัญหาหนี้ BTS ส่วนต่อขยาย2

    ส่วนการแก้ปัญหาหนี้สินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย 2  จะเสนอเพื่อให้ ครม.ปลดล็อก จะเดินหน้าโครงการต่อไป แต่ไม่สามารถบอกได้ว่า กระทรวงมหาดไทย (มท.) จะนำเข้าที่ประชุมหรือไม่

    โดยขณะนี้ กทม.ทำหนังสือถึง มท.เพื่อเสนอ ครม. ให้รัฐบาลช่วยสนับสนุนค่าก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย 2 ที่รับโอนจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ถือว่าเป็นหนี้รัฐบาลมูลหนี้เกือบ 60,000 ล้านบาท ส่วนค่าติดตั้งระบบ และค่าจ้างเดินรถ รถไฟฟ้า กทม.เป็นหนี้บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพจำกัด (บีทีเอสซี) ราวๆ 40,000 ล้านบาท ซึ่งหนี้ทั้ง 2 ตัวนี้ก็จะอยู่ในส่วนหนึ่งของเงื่อนไขในการขยายสัมปทานให้เอกชน เรื่องยังค้างอยู่ที่ มท. ที่จะต้องเสนอให้ ครม. พิจารณาให้ความเห็นชอบ คาดว่าต้องรอรัฐบาลชุดใหม่

    อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลไม่สนับสนุนในส่วนค่าติดตั้งระบบ กทม.ต้องจ่ายเอง แต่ก่อนจะจ่าย ต้องนำเรื่องเข้าสู่สภา กทม.เพื่อขอความเห็นชอบ เพราะปัจจุบันเป็นเพียงบันทึกมอบหมายไม่ได้เป็นสัญญาจ้าง ดังนั้นการนำเงินออกมาใช้ต้องขอสภา กทม.เพื่อให้สภา กทม.พิจารณาให้ความเห็นชอบ ส่วนหนี้ค่าจ้างเดินรถรถไฟฟ้า ยังไม่เสนอขอสภา กทม. เนื่องจากเป็นคดีความฟ้องร้อง และอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล