ในช่วงที่ผ่านมานักวิชาการด้านศึกษา รวมทั้งกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้ร่วมกันเสนอการปฏิรูปนโยบายเรียนฟรี ไม่ว่าจะเป็นการจัดเสวนา”ถึงเวลาแล้วหรือยัง ปฏิรูปนโยบายเรียนฟรี” หรือการนำเสนอข้อมูลงานวิเคราะห์ต่างๆ ล้วนพูดถึงการ ‘เรียนฟรี 15ปี’ ไม่มีอยู่จริง หรือเรียนฟรี 15 ปี ไม่ใช่คำตอบ เพราะเด็กยากจนพิเศษ 2.4 ล้านคนส่อหลุดนอกระบบ
รวมทั้งการเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวตามนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ของรัฐบาลแม้เป็นนโยบายที่ดี แต่มาตรการนี้ยังไม่สามารถสร้าง Equity Effect หรือ ผลกระทบในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้กับกลุ่มยากลำบากที่สุดได้ตรงจุด นักวิชาการการศึกษาได้เสนอข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม ปรับอัตราเงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานสำหรับนักเรียนยากจน ซึ่งอยู่ในรายการค่าจัดการเรียนการสอน 1 ใน 5 รายการ ของโครงการเรียนฟรี 15 ปีอย่างมีคุณภาพ
สภาพปัญหาที่เผชิญอยู่
ข้อมูลสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (วสศ.)ระบุว่าประเทศไทยมีโครงการเรียนฟรีอย่างมีคุณภาพ ตั้งแต่ปีการศึกษา 1/2552 เพื่อขยายโอกาสแก่เด็กยากจน เด็กด้อยโอกาส และผู้เรียนทั้งประเทศให้สามารถเข้าถึงการได้รับการศึกษาได้อย่างเป็นรูปธรรม ล่าสุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติปรับเพิ่มอัตราเงินอุดหนุนรายหัวตามความจำเป็นพื้นฐาน 4 รายการ ได้แก่ ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าเครื่องแบบ ค่าจัดการเรียนการสอน และค่าจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ในอัตราการปรับเพิ่มแบบขั้นบันไดต่อเนื่อง 4 ปีงบประมาณ
อย่างไรก็ตาม ภายใต้โครงการเรียนฟรี 15 ปี ยังมีส่วนของเงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานสำหรับนักเรียนยากจน ซึ่งอยู่ในรายการค่าจัดการเรียนการสอน ที่มีเป้าหมายช่วยเหลือเด็กกลุ่มเสี่ยงกว่า 2.4 ล้านคนซึ่งอยู่กับครัวเรือนที่มีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่าเส้นความยากจนของสภาพัฒน์ฯ (2,700 บาทต่อคน/เดือน ) ที่มีความเสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
โดยที่ผ่านมาอุดหนุน จำนวน 1,000 บาท สำหรับชั้นประถมศึกษา และจำนวน 3,000 บาท สำหรับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ขณะเดียวกัน กสศ.อุดหนุนเพิ่มเติมสำหรับนักเรียนยากจนพิเศษชั้นอนุบาลจำนวน 4,000 บาท และชั้นประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาตอนต้นจำนวน 3,000 บาท
แม้จะมีการอุดหนุนดังกล่าว ปัญหาการออกหลุดออกจากระบบการศึกษา กลับยังคงวิกฤติโดยเฉพาะช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 เด็กกลุ่มเสี่ยงกว่า 2.4 ล้านคน ซึ่งอยู่กับครัวเรือนที่มีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่าเส้นความยากจน ของสภาพัฒน์ฯ (2,700 บาทต่อคน/เดือน) โดยกลุ่มยากลำบากที่สุด(ยากจนพิเศษ) มีรายได้เฉลี่ยเพียง 1,094 บาทต่อครัวเรือน หรือราววันละ 36 บาทเท่านั้น มีความเสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีการศึกษา 2564 ที่ผ่านมามีนักเรียนมากกว่า 2 แสนคนที่หลุดออกจากระบบการศึกษาไปชั่วคราว โดยรัฐบาลได้ผลักดันโครงการพาน้องกลับมาเรียนเพื่อพยายามดึงนักเรียนกลุ่มนี้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา
สถานการณ์ดังกล่าว สะท้อนว่าเงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานสำหรับนักเรียนยากจน ภายใต้โครงการเรียนฟรี 15 ปี ยังมีจุดอ่อน โดยเฉพาะการให้ความสําคัญกับกลุ่มนักเรียนก่อนประถมศึกษา และนักเรียนด้อยโอกาสน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ขณะที่กลุ่มที่มีความคุ้มค่าในการลงทุนสูงโดยนักเรียนจากครัวเรือนยากจน 2 กลุ่มสำคัญที่ยังมิได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจน ได้แก่
- นักเรียนในระดับอนุบาลที่มาจากครัวเรือนยากจน และยากจนพิเศษ
- นักเรียนในระดับ ม.ปลาย หรือ เทียบเท่า ที่มาจากครัวเรือนยากจน และยากจนพิเศษ
- นักเรียนทุกระดับชั้นในสังกัดกรุงเทพมหานคร พัทยา
นอกจากนี้อัตราเงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจนที่ช่วยเหลือนักเรียนระดับประถมศึกษา-มัธยมศึกษาตอนต้น มิได้มีการวางระบบการทบทวนอัตราที่เหมาะสมเป็นระยะยังคงเป็นอัตราเดิมที่ไม่มีการปรับมาเป็นเวลากว่า 13 ปี ได้แก่
- 1,000 บาทต่อคนต่อปี สำหรับนักเรียนประถมศึกษา (คิดเป็นวันละ 5 บาท เท่านั้น)
- 3,000 บาทต่อคนต่อปี สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น (คิดเป็นวันละ 15 บาท เท่านั้น)
อัตราดังกล่าวไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพในปัจจุบันที่เพิ่มสูงขึ้นตลอด 13 ปีที่ผ่านมา และในปี 2565 นี้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนต่างๆ คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะสูงถึง 4-5%
ข้อเสนอเชิงนโยบาย
1) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 ใน หมุดหมายที่ 9 จึงได้กำหนดเป้าหมายให้ประเทศไทยสามารถแก้ไขปัญหาความยากจนข้ามรุ่นให้มีความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรมให้ได้ภายใน 5 ปีข้างหน้า ผ่านการส่งเสริมความเสมอภาคทางการศึกษาในการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2) กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(กสศ.) และคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงได้มีการจัดทำข้อเสนอเพื่อปรับปรุงโครงการเรียนฟรี 15 ปีให้แก่คณะที่ปรึกษาด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม ในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และกระทรวงศึกษาธิการใน 3 ประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้
- ปรับอัตราเงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจนให้สอดคล้องกับค่าครองชีพทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน หลังจากไม่มีการปรับมามากกว่า 13 ปีแล้ว
- ขยายความครอบคลุมเงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจนให้ครอบคลุมนักเรียนยากจน และยากจนพิเศษในระดับอนุบาล และมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่าในทุกสังกัดการศึกษา
- กำหนดเงื่อนไขของการจัดสรรเงินอุดหนุนดังกล่าวให้เป็น Conditional Cash Transfer (CCT) โดยให้มีการติดตามไม่ให้นักเรียนหลุดออกจากระบบการศึกษา มีพัฒนาการทางการเรียนรู้ และร่างกายที่สมวัย รวมทั้งสามารถศึกษาต่อในระดับการศึกษาหลังขั้นพื้นฐานตามศักยภาพและความถนัดเป็นรายบุคคล
3) ข้อเสนอนี้ถือเป็นทางเลือกนโยบายด้านการจัดสรรงบประมาณการศึกษาของประเทศ ที่สามารถบรรเทาผลกระทบของปัญหาโควิด-19 และการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างได้ สามารถสร้าง Equity Effect หรือ ผลกระทบในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้กับกลุ่มยากจนที่สุด ได้ตรงจุดสอดคล้องกับโครงการพาน้องกลับโรงเรียนซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล
…..
กลุ่มเป้าหมายอนุบาลและมัธยมศึกษาตอนปลายมีความสำคัญอย่างไร?
ในกรณีของเด็กอนุบาล ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติชี้ว่าเด็กก่อนประถมศึกษามีอัตราการเข้าเรียนอย่างหยาบลดลง (Gross Enrolment Ratio : GER) โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของโควิด-19 อัตราการเข้าเรียนอย่างหยาบลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากร้อยละ 82.8 ในปี2560 เหลือเพียงร้อยละ 78.7 ในปี 2563 เท่านั้น อีกนัยหนึ่งคือมีเด็กเล็กจำนวน 442,021 คน หรือร้อยละ 21.3 ที่ไม่ได้เข้าสู่ระบบการเตรียมความพร้อม การขาดการเตรียมความพร้อมทำให้เด็กจากครัวเรือนยากจนเข้าเรียนช้าหรือมักมีอายุเกินเกณฑ์ และรายได้ครัวเรือนยากจนที่ลดลงจากทำให้ไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการเรียนชั้นอนุบาลได้ผลการสำรวจของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) พบว่าในปีการศึกษา 2564 ครัวเรือนยากจนยังมีค่าใช้จ่ายเพื่อส่งลูกเรียนระดับอนุบาลประมาณ 6,500 บาทต่อคนต่อปี (รายจ่ายนี้สูงกว่ารายจ่ายที่สำรวจโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ถึงสามเท่าตัว)
ข้อมูลเชิงประจักษ์จากหลายประเทศชี้ว่า การลงทุนในเด็กเล็กที่ด้อยโอกาส ตั้งแต่ แรกเกิดจนถึงอายุ 5 ขวบ อย่างมีคุณภาพจะให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่คุ้มค่าสูงถึงร้อยละ 13 ขณะที่อัตรา ผลตอบแทนสำหรับการลงทุนในระดับอนุบาล ประมาณร้อยละ 7-10 (Heckman, 2022)
ในกรณีของมัธยมศึกษาตอนปลาย รายงานสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำของประเทศไทย ปี 2563 ที่จัดทำโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติชี้ว่า โอกาสในการเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สำหรับครัวเรือนยากจน ต่ำกว่าครัวเรือนที่มีฐานะมากถึง 1.8 เท่า กล่าวคือ อัตราการเข้าเรียนสุทธิของครัวเรือนยากจนที่สุด (เดไซล์ที่หนึ่ง) คิดเป็นร้อยละ 42.7 ขณะที่ครัวเรือนที่รวยที่สุด (เดไซล์ที่สิบ) สูงถึงร้อยละ 76.1 (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2564) นอกจากนั้นรายงานเรื่องช่องว่างและความเหลื่อมล้ำ: ผลการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย พ.ศ. 2562 ขององค์การยูนิเซฟ-ประเทศไทย ชี้ว่า นักเรียนจากครัวเรือนยากจนมีแนวโน้มไม่ได้เรียนต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลายมากถึงร้อยละ 32 (องค์การยูนิเซฟ, 2564) ความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสทางการศึกษาระหว่างครัวเรือนที่มีเศรษฐฐานะแตกต่างกันสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจของประเทศที่จำเป็นต้องเร่งดำเนินการแก้ไข
ผลการสำรวจในปี 2564 โดย กสศ. พบว่า นักเรียนที่กำลังศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ยังมีภาระค่าใช้จ่ายที่ จำเป็น (ประกอบด้วย ค่าธรรมเนียม ค่าชุดนักเรียน ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าหนังสือเรียน ค่ากิจกรรม ค่าเดินทาง เงินไปโรงเรียน ค่าใช้จ่ายไม่ประจำ) สำหรับสายสามัญเป็นจำนวน 41,545 บาทต่อคนต่อปี และ สายอาชีพ จำนวน 53,223 บาทต่อคนต่อปี และหากรวมค่าที่พักค่าใช้จ่ายในการเรียนต่อมัธยมศึกษาตอนปลายสายสามัญจะเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 77,545 บาท และมัธยมศึกษาตอนปลายสายอาชีพจะเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 70,803 บาท
เพราะ’ระดับการศึกษา’ คือหนึ่งในทุนมนุษย์สำคัญที่ถูกส่งต่อข้ามรุ่น!ดังนั้น การส่งเสริมโอกาสการศึกษาระดับสูงกว่าภาคบังคับให้แก่นักเรียนที่มีฐานะยากจนและยากจนพิเศษ จะช่วยให้หลุดพ้นจากวงจรความยากจนข้ามรุ่น
จากข้อมูลการขยับฐานะระหว่างคนต่างรุ่นในสังคมไทย โดยธนาคารโลก พบว่า หากพ่อแม่มีการศึกษาสูง ลูกก็มีแนวโน้มเรียนจบในระดับเดียวกับพ่อแม่มากตรงกันข้าม หากพ่อแม่มีการศึกษา ระดับต่ำสุด ลูกก็จะมีแนวโน้ม มีการศึกษาระดับต่ำสุดไปด้วย
การนำเด็กยากจนเข้าสู่ระบบการศึกษา ยังมีอัตราผลตอบแทนของการลงทุน (IRR) อยู่ที่ประมาณ 9% ซึ่งเทียบเคียงกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอื่น เช่น รถไฟฟ้า และยังสูงกว่าต้นทุนทางการเงินของรัฐที่ประมาณ 2.7% จึงถือว่าเป็นการลงทุนเพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตที่มีความคุ้มค่ามาก ตอบโจทย์เศรษฐกิจ ประเทศไทยที่ต้องการหลุดพ้นจากกับดักรายได้ ปานกลางและต้องอาศัยทรัพยากรมนุษย์ที่มีทักษะ มากกว่าการอาศัยเครื่องจักรเหมือนในอดีต