ThaiPublica > คนในข่าว > สร้าง “ภูมิคุ้มกัน” ด้วยเซลล์ T พิฆาต จากพืชกินได้ 5 ชนิด
พลิก “Wellness” มนุษยชาติ

สร้าง “ภูมิคุ้มกัน” ด้วยเซลล์ T พิฆาต จากพืชกินได้ 5 ชนิด
พลิก “Wellness” มนุษยชาติ

15 กุมภาพันธ์ 2022


ในโลกที่มีความผันผวนที่ยากจะคาดเดา จำเป็นอย่างยิ่งที่มนุษย์ต้องมี “ภูมิคุ้มกัน” ทั้งด้านเศรษฐกิจและสุขภาพ ภูมิคุ้มกันที่ดีจะเป็นอาวุธและเครื่องมือช่วยให้เราสามารถต่อสู้กับ “ความคาดไม่ถึง ความยากที่จะคาดเดา” ได้ ดังกรณีการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มาแบบไม่ตั้งตัว ทำให้มนุษยชาติต่างได้รับผลระทบกันถ้วน

ด้วยเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์สุขภาพที่ก้าวหน้า อาจจะถึงจุดเปลี่ยนจากการรักษาโรคที่ปลายเหตุ มาเป็นการป้องกันที่ต้นเหตุไม่ให้เกิดโรคตั้งแต่ต้น ด้วยการสร้าง “ภูมิคุ้มกัน” ที่ดีให้ร่างกาย รับมือกับโรคร้ายๆ ได้ง่ายขึ้น สิ่งเหล่านี้กำลังจะเป็นการเปลี่ยนกระบวนการดูแลสุขภาพของมนุษย์ชาติก็ว่าได้

ประเทศไทยเพิ่งสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ โดยผลการวิจัยล่าสุดที่นับเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของโลก กับการนำนวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัดจากพืชกินได้ ไปใช้ในอาสาสมัครผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS ที่ก้าวข้ามความเชื่อเดิมๆ

กว่า 15 ปี โครงการวิจัยนวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัดจากพืชกินได้ Operation BIM (Balancing Immunity) ได้รับความร่วมมือจากสถาบันการศึกษาและหน่วยงานของรัฐหลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยในปี 2558 สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติประกาศรับรองนวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัดด้วยสารสกัดจากพืชกินได้ APCOcap ให้เป็นนวัตกรรมของชาติไทย สำหรับเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ติดเชื้อเอชไอวี และในปี 2559 ยังได้รับรางวัลนวัตกรรมดีเด่นจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมถึงได้รับเชิญไปบรรยายในการประชุมระดับโลก EuroScicon 2019 ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อประกาศความสำเร็จที่ทำให้เชื้อเอชไอวีอยู่ในภาวะสงบ หรือ Functional Cure เป็นครั้งแรกในโลก

โครงการวิจัยนวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัดจากพืชกินได้ จึงนับเป็นความหวังของผู้ป่วยโรคร้ายที่ต้องการพ้นจากความทุกข์ทรมาน และสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ของประเทศที่วันนี้ได้ก้าวล้ำไปอีกขั้น และเป็นความหวังของผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS ทั่วโลกว่า ประสบความสำเร็จในการใช้สูตรนวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัดจากพืชกินได้ เข้าไปช่วยฟื้นฟูสุขภาพผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS ที่เข้ามาขอคำปรึกษาใช้นวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัดแล้วกว่า 3,000 ราย โดยล่าสุดอาสาสมัครผู้ติดเชื้อ 3 รายซึ่งกินยาต้านไวรัส HIV/AIDS มานานหลายปี สามารถหยุดใช้ยาต้านไวรัสได้เป็นผลสำเร็จ นับเป็นครั้งแรกของโลก โดยตรวจไม่พบเชื้อต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน 1 ปี

ศาสตราจารย์ ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จํากัด (มหาชน) หรือ APCO หัวหน้าคณะนักวิจัย Operation BIM

ศาสตราจารย์ ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จํากัด (มหาชน) หรือ APCO หัวหน้าคณะนักวิจัย Operation BIM เล่าถึงการค้นพบ การวิจัย การทดลอง การทดสอบ ที่ทำซ้ำๆ มากว่า 30 ปี ว่า “เริ่มจากสอบเข้าไปเรียนหมอ แต่ไม่ค่อยแน่ใจว่าไปถูกทางหรือเปล่า แล้วเผอิญสอบชิงทุนไปเรียนที่ออสเตรเลียได้ ทำให้ชีวิตเปลี่ยนจากอนาคตที่จะเป็นคุณหมอไปเป็นนักวิทยาศาสตร์แทน กลับมาทำวิจัยสมุนไพรธรรมชาติ ทดสอบสาระสำคัญในพืชได้สักระยะ ได้ทุนวิจัยไปฝึกวิทยายุทธ์ที่สหรัฐอเมริกาอีกระยะหนึ่ง”

ดร.พิเชษฐ์บอกว่า ในตอนนั้นมีความมุ่งมั่นตั้งใจอยู่ตลอดเวลาที่จะทำงานเกี่ยวกับพัฒนาผลิตภัณฑ์ธรรมชาติในบ้านเราให้เกิดประโยชน์

“พอกลับมาก็ไปอยู่ภาคใต้ เป็นดินแดนของมังคุด ไปเจอเปลือกมังคุดกองอยู่ข้างถนน มีความรู้สึกว่ากองขยะนี้น่าจะมีประโยชน์เปลี่ยนเป็นทรัพย์สินได้ โดยเฉพาะเมื่อมีข้อมูลทางสมุนไพรในตำราแพทย์แผนโบราณบอกว่าใช้ประโยชน์ได้ แล้วในห้องแล็บผมมีนักการภารโรง ท่านเป็นหมอสมุนไพร บอกว่ามังคุดดีนะ รักษาแผลหาย ต้มกินแก้ท้องร่วงได้ ในเชิงวิทยาศาสตร์ก็อยากรู้ในนั้นมีอะไร ได้เอามาทดสอบ เป็นงานวิจัยที่เกิดขึ้น”

นั่นคือจุดเริ่มต้นของการค้นพบ จนเป็นที่มาของคำว่า “กินอาหารให้เป็นยา”

“การวิจัยไม่ใช่ว่าสกัดให้รู้ว่ามีอะไรแล้วจบ จุดประสงค์คือเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สารธรรมชาติที่สกัดจากมังคุดทดสอบพบว่ามีสรรพคุณเยอะมาก สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ดีมาก เป็นไปตามที่แพทย์แผนไทยระบุ มีประสิทธิภาพสูงกว่ายาปฎิชีวนะราคาแพงๆ ในขณะนั้น โดยเฉพาะต้านการอักเสบได้ดีเป็น 3 เท่าของแอสไพรินที่เป็นยาต้านการอักเสบในขณะนั้น ป้องกันการเสื่อม การถูกทำลาย แล้วสิ่งที่ทำได้ต่อมาก็คือสารตัวนี้ไปฆ่าเซลส์มะเร็งในห้องทดลองได้ด้วย แต่ทั้งหมดมันเกิดขึ้นในห้องแล็บ แต่กว่าจะทำให้มันออกฤทธิ์ออกเดช ในเชิงปฎิบัติ ต้องผ่านขั้นตอนมากมาย การทดลองขั้น 1-2-3 ซึ่งต้องใช้เงินสูงและระยะเวลายาวนาน”

ดร.พิเชษฐ์เล่าว่า “สารที่สกัดมาจากมังคุดในระยะแรกนำมาทำเครื่องสำอาง รักษาสิว ประทินผิว แต่การศึกษาวิจัยไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น และยังไม่ละความตั้งใจที่เอาสารเหล่านี้มาใช้ในการบำรุงสุขภาพ ข้อมูลที่ค้นพบเหล่านั้นมันมีมูลค่ามากถ้าทำให้เกิดประโยชน์ได้จริง ๆ แต่การเอาสารตัวเดียวเอาไปผลิตเป็นยารักษาอะไรก็แล้วแต่ แม้กระทั่งต่อสู้กับมะเร็งก็ต้องใช้สารสกัดจำนวนมาก จากประสบการณ์ถ้าใช้อะไรในระยะเวลายาวนานๆ มันจะเกิดการดื้อยา หรือไม่ก็เกิดการสะสมอยู่ในร่างกายและเป็นอันตรายตามมา ก็คิดว่าจะไม่ใช้วิธีการเดิมๆ ตามการพัฒนายาขององค์การอนามัยโลกหรือ WHO หรือตามกรอบวิชาการต่างประเทศที่สร้างกรอบให้เราเดิน เพราะเห็นว่าวิธีการนั้น มันไม่น่าจะถูกต้อง และมองว่าเป็นการเดินหลงมาตลอด จึงขอคิดนอกกรอบ”

ดร.พิเชษฐ์มองว่า “แนวทางการพัฒนายาขององค์การอนามัยโลกนั้นไม่ถูกต้อง เมื่อใช้ยานั้นๆ เป็นเวลานานจะทำให้ดื้อยา ขณะที่บริษัทยาก็ไม่พยายามผลิตยาปฏิชีวนะออกมาเพื่อรักษา “โรคดื้อยา” นี้ ทำให้ UN มีความเป็นห่วงว่าในปี 2050 จะมีคนตาย 10 ล้านคนใน 1 ปี หากยังไม่มียาที่มาจัดการกับโรคดื้อยาได้”

ดังนั้นหากเปลี่ยนกระบวนการดูแลสุขภาพจากการรักษาที่ปลายเหตุ มารักษาที่ต้นเหตุด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันตัวเองให้แข็งแรง นี่เป็นเป้าหมายของการดูแลสุขภาพให้ปราศจากโรคด้วยการกินอาหารให้เป็นยานั่นเอง

พร้อมอธิบายว่าเวลาคนเป็นโรคอะไรก็ตาม ก้เข้าสู่กระบวนการรักษาให้อาการนั้นหาย ซึ่งหมอเองก็ถูกสอนว่ารักษาให้หายโดยใช้ยาตัวที่ 1 ถ้าไม่หายใช้ยาตัวที่ 2 ถ้าไม่หายเอา 1 กับ 2 รวมกัน ถ้าไม่หายเอายาตัวที่ 3 มารักษา แต่มีผลข้างเคียง อย่างคนเป็นโรคเอดส์ มียาต้านไวรัสในการรักษา เพื่อควบคุมไวรัส แต่ผลข้างเคียงมากมาย เช่น ถ้ามีไขมันในเลือดสูง ก็ให้ยาลดไขมันในเลือด, กล้ามเนื้ออ่อนแรงก็ให้กินยา… ยาเป็นสิบตัวให้กินคู่กันไป นี่คืออุตสาหกรรมยา รักษาที่ปลายเหตุ

แต่งานวิจัยที่เราค้นพบ ไม่ใช่ การศึกษาให้รู้ต้นเหตุ เช่น HIV คืออะไร แล้วรักษาที่ต้นเหตุ แล้วต้นเหตุไม่ได้ห่างไกลจากธรรมชาติ มนุษย์อยู่มากี่พันปีแล้วที่ไม่ใช้ยา เป็นการศึกษาธรรมชาติแล้วเอามาสู้ สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายไปฆ่ามะเร็งด้วยตัวเอง เช่นเดียวกับ HIV ไปสร้างภูมิคุ้มกันให้จัดการกับเชื้อ HIV คุณจะหายไม่หายด้วยตัวคุณเอง แล้วจะมีความภูมิใจจากการรักษาโรคนั้นด้วยตัวเอง

บ้านเรามีพืชสมุนไพร 15,000 ชนิด มากกว่าสหรัฐอเมริกา 3 เท่า แล้วทำไมไม่เอาทรัพยากรที่เรามีมากกว่ามาใช้ อาจเป็นเพราะว่าเราไปเรียนจากอเมริกา แล้วอเมริกาพัฒนาออกมาเป็นอุตสาหกรรมยารักษาที่ปลายเหตุ เราจึงไปด้อยค่าอะไรก็ตามที่มาจากสมุนไพรไทย เป็นการคิดในกรอบที่ตะวันตกวางให้เราเดิน ลืมไปว่ากรอบนั้นเขาวางเพื่อประโยชน์ของเขา เพื่อให้คุณไม่ไปผลิตยาแข่งกับเขา

สารสกัดมังคุด เสริมฤทธิ์กับงาดำ ถั่วเหลือง ฝรั่ง และใบบัวบก

เปลี่ยนความคิด “สร้างภูมิคุ้มกัน” แก้ที่ต้นเหตุ

ด้วยความเชื่อ “การกินอาหารเป็นยา” เพราะสารที่สกัดได้ มีอยู่ในอาหารที่มนุษย์กิน ฉะนั้นอย่าเอาสารเพียงตัวเดียว เพราะอาจจะเกิดการสะสมและอาจมีการดื้อยาเกิดขึ้นได้ จึงศึกษาเอาสารสกัดอื่น ๆ จับมาผสม ๆ แล้วให้มันเสริมฤทธิ์กัน หมายความว่า 1+1 ไม่ใช่ 2 แต่ให้มันมีฤทธิ์เป็น 4 เป็น 5 แล้วถ้าเรามีสารลักษณะเดียวกัน 3 ตัว 4 ตัวมาเสริมฤทธิ์หลาย ๆ ครั้ง มันก็กลายเป็น 10 เท่าได้ ดังนั้น การใช้สารแต่ละตัวจะน้อยลง การสะสมของสารตัวนั้นในระยะยาวนั้นก็ลดลง ไม่มีผลข้างเคียง ไม่มีอาการสะสม แต่ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เราจึงได้สูตรสารสกัดที่ผสมแล้วเสริมฤทธิ์กัน จากสารสกัดมังคุด เสริมฤทธิ์กับงาดำ ถั่วเหลือง ฝรั่ง และใบบัวบก ซึ่งเรารู้ว่าพืชทั้ง 4 ตัวมีสารที่สามารถไปสร้างภูมิคุ้มกัน ผสมแล้วก็ได้สูตรที่เสริมฤทธิ์กัน

แต่กระบวนการเหล่านี้ก็ยังเป็นการรักษาสุขภาพที่ปลายเหตุ เพราะโรคเกิดขึ้นแล้วค่อยใช้ยารักษาตามอาการ เพียงแต่เปลี่ยนจากยาแผนปัจจุบันให้เป็นยาสมุนไพรแค่นั้นเอง ซึ่งยังไม่มีอะไรที่แตกต่าง

นั่นทำให้ ดร.พิเชษฐ์ต้องมาคิดใหม่ ทำความเข้าใจใหม่ว่าในร่างกายของมนุษย์เรามีสิ่งหนึ่งที่ทำให้สุขภาพดีตลอดเวลาก็คือ “ภูมิคุ้มกัน” ผลจากการเอาสูตรสารสกัดที่ทำมาเสริมฤทธิ์กัน มาทดลองกับกลุ่มทดลอง ปรากฏว่าข้อเข่าอักเสบดีขึ้น หลายคนเป็นโรคกระเพาะก็ดีขึ้น กินได้นอนหลับ แล้วอาการภูมิแพ้อากาศก็หาย ก็ตั้งคำถามว่าทำไมมันมีคุณลักษณะครอบจักรวาลอย่างนี้ จึงเกิดสมมติฐานว่ามันอาจเข้าไปทำอะไรกับระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ ซึ่งเป็นระบบที่ธรรมชาติสร้างมา เป็นกองทัพที่ยิ่งใหญ่มากในร่างกายเรา ถ้าเอาสารสกัดทั้ง 5 ชนิดเสริมฤทธิ์ให้ไปทำงานกับเม็ดเลือดขาวด้วย ให้สั่งเม็ดเลือดขาวให้สมดุล ทำงาน ‘สร้างภูมิคุ้ม’ กันมากขึ้น วิธีการนี้เราใช้ ‘สารน้อย’ แต่ใช้กองทัพที่ยิ่งใหญ่ให้เม็ดเลือดขาวทำงานแทน

“มีคนบอกว่า ผมกำลังใช้ยุทธศาสตร์ซุนวู ไปรบโดยไม่ใช้ตัวเองรบ แต่ใช้กองทัพในร่างกายมาดูแลสุขภาพแทน โดยเอาสูตรสารสกัดนี้ไปทดสอบกับอาสาสมัครคนปกติ ซึ่งเป็นโครงการวิจัยที่ สวทช. ให้การรองรับ ทำร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปรากฏว่าผลการทดลองสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ดี หลังจากทดสอบแล้วมันปลอดภัยไร้ผลข้างเคียง มีการทำออกมาเพื่อให้ผู้บริโภคได้ใช้ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคภูมิแพ้อากาศ แก้โรคติดเชื้อ ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้นำไปใช้เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันในลักษณะอาหารเสริม ไม่ได้เคลมว่ารักษาโรค”

พัฒนาเป็น “เซล T พิฆาต”

ความสำเร็จในครั้งนี้ มีความหมายยิ่งต่อหมู่มวลมนุษยชาติ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคร้าย และผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS ที่ปัจจุบันมีจำนวนมากถึง 38 ล้านคนทั่วโลก และกว่า 5 แสนคนในประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมาผู้ติดเชื้อโรคร้ายเหล่านี้ไม่มีทางเลือกในการรักษาอื่น นอกจากกินยาต้านไวรัส HIV/AIDS ไปตลอดชีวิต เพราะหากหยุดใช้ยาต้านไวรัสเมื่อใด เชื้อร้ายในร่างกายก็จะกลับมาเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ขณะที่ผู้ติดเชื้อจำนวนไม่น้อยต้องทุกข์ทรมานจากผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยาต้านไวรัสต่อระบบประสาทส่วนกลาง หัวใจและหลอดเลือด ทางเดินอาหาร ทางเดินปัสสาวะ กล้ามเนื้อและกระดูก ผิวหนังและเนื้อเยื่ออ่อน ต่อมไร้ท่อ หากหยุดใช้เชื้อจะแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทำให้ภูมิคุ้มกันตก โรคฉวยอากาสเข้ามา แล้วเสียชีวิต คนเหล่านี้ต้องทนทุกข์ทรมานกับยาต้านไวรัสมาตลอด พอมีผลิตภัณฑ์จากสารสกัดออกไปเพิ่มภูมิคุ้มกัน ได้มีโอกาสช่วยผู้ติดเชื้อ HIV จำนวนมาก เริ่มจากกลุ่มทดลองช่วยลดปัญหาผลข้างเคียงยาต้านไวรัสกว่า 3,000 ราย และเห็นผลชัดว่าดีขึ้นมากๆ

จากการศึกษากลไกทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นเซลส์สร้างภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาว Th1 และ Th17 ที่หากได้รับการกระตุ้น จะทำให้ Killer T Cell หรือ เซลล์ T พิฆาต ที่เปรียบเหมือนเซลล์อัศวินของร่างกาย มีความแข็งแรงสามารถทำหน้าที่ขจัดและทำลายเชื้อโรคร้ายที่อยู่ในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวตัวดีอื่นๆ

ในปี 2553 คณะนักวิจัย Operation BIM ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พิสูจน์ว่า สูตรหนึ่งที่พัฒนาได้จากการเสริมฤทธิ์ของสารสกัดพืชกินได้ 5 ชนิด คือ มังคุด ใบบัวบก ฝรั่ง ถั่วเหลือง และงาดำ สามารถกระตุ้นเม็ดเลือดขาว Th1 ได้อย่างมีนัยสำคัญ และกระตุ้นเม็ดเลือดขาว Th17 ได้อย่างโดดเด่น ซึ่งมีผลต่อประสิทธิภาพของ Killer T Cell มากขึ้น จึงได้นำไปใช้ฟื้นฟูและดูแลสุขภาพผู้ป่วยมะเร็งได้เป็นผลสำเร็จ จากนั้นจึงได้ก้าวไปอีกขั้นในการค้นคว้าวิจัยพัฒนาสูตรนวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัดเพื่อทำลายเชื้อ HIV/AIDS ที่ฝังตัวอยู่ในเซลล์ภูมิคุ้มกัน CD4 ให้สลายไปพร้อมๆ กับเซลล์ที่เชื้อฝังตัวอยู่ จนตรวจไม่พบเชื้ออย่างต่อเนื่องในที่สุด

“Killer T Cells ผมตั้งชื่อภาษาไทยว่า “เซลล์ T พิฆาต” ซึ่ง Killer T Cells ปัจจุบันอยู่ในวัคซีน แต่วัคซีนมันเพิ่ม Killer T Cells แค่กระพี้ เมื่อเทียบกับสารสกัดจากพืชกินได้ ซึ่งปลอดภัยและสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีกว่า ดังนั้นเราก็เคลมเลยว่า เราคือผู้นำในการกระตุ้น “เซลล์ T พิฆาต” ให้จัดการกับโรคร้ายทั้งหลาย สิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายของโลก อย่างปลอดภัยไร้ผลข้างเคียง ตอนนี้ถ้าเซิร์ช “เซลล์ T พิฆาต” เราขึ้นอันดับ 1 ”

ศ. ดร.พิเชษฐ์กล่าวต่อว่า “จากการคำบอกเล่าที่ว่าโรคเอดส์ไม่มีทางรักษาหาย ตอนนั้นยังไม่กล้าแตะโรคเอดส์ แต่มีความตั้งใจอยากเอาสูตรสารสกัดไปใช้ประโยชน์ ไม่ได้หวังสูงว่าจะรักษาโรคที่ยังรักษาไม่ได้ เลยลองดูกับโรคมะเร็ง เมื่อคนเอาไปใช้แล้วบอกดีขึ้นเราก็ดีใจ เลยมีการทำวิจัยเพิ่มเติมกับ มช. มีอาสาสมัครเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ผ่านการรักษาด้วยคีโมมาแล้ว 2 รอบ รักษาไม่หาย หมอปล่อยแล้ว บอกว่ามีเวลาไม่เกิน 3 เดือนต้องเสียชีวิต คัดมา 20 ราย ปรากฏว่า ทุกคนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ทุกคนอายุยืนเกิน 3 เดือน เกินที่เราตั้งใจไว้ และมีอยู่รายหนึ่ง 2 ปีแล้วยังแข็งแรงดีอยู่ จากผลชัดเจนนี้ชี้ว่าช่วยผู้ป่วยมะเร็งได้ เป็นผลทดสอบกับคณะแพทย์ มช. ก็ยืนยันว่าทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น”

“แต่แน่นอน ไม่สามารถเคลมว่ารักษามะเร็งได้ เพราะทางการแพทย์เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง เพียงแค่บอกว่า คุณภาพชีวิตดีขึ้น ทั้งนี้เป็นเพราะสารสกัดนี้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร องค์การอาหารและยา (อย.) มีระเบียบควบคุม แต่ที่แน่ๆ เราช่วยให้คนรอดตายจำนวนมาก พ้นจากความทุกข์ทรมานหลายพันคน ทำให้บริษัทได้รับรางวัลนวัตกรรมดีเด่นจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย”

สำหรับความก้าวหน้าของผลการวิจัยนวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัดเพื่อช่วยผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS เกิดจากความมุ่งมั่นเพื่อพิชิตความท้าทายใหม่ ว่าจะสามารถช่วยให้ผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS ที่ใช้ยาต้านไวรัสมาระยะเวลาหนึ่ง ให้สามารถลดและหยุดยาต้านไวรัสได้หรือไม่ โดยผลการวิจัยล่าสุดที่นับเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของโลก เป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ที่ก้าวข้ามความเชื่อในการรักษาเดิมๆ พบว่าอาสาสมัครผู้ติดเชื้อ 3 รายที่เข้าร่วมโครงการภูมิคุ้มกันบำบัดมาตลอด 1-2 ปี และการให้คำปรึกษาผ่านระบบ remote monitoring สามารถหยุดใช้ยาต้านไวรัสแล้ว 1-12 เดือน และมีสุขภาพแข็งแรง โดยตรวจไม่พบเชื้อ HIV/AIDS นับเป็นผู้ติดเชื้อ HIV 3 รายแรกของโลก ที่สามารถหยุดใช้ยาต้านไวรัสได้สำเร็จ

คณะนักวิจัย Operation BIM ยังได้นำนวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัดจากพืชกินได้ไปใช้ในอาสาสมัครผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS 8 ราย ที่ยังไม่ได้รับยาต้านไวรัสใด ๆ เลย หลังการทดลองมีสุขภาพดี แข็งแรง ตรวจไม่พบเชื้อHIV/AIDSเป็นระยะเวลา 20-30 เดือนแล้ว บางรายได้หยุดใช้นวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัดครบ 1 ปี ก็ยังมีสุขภาพแข็งแรงมากเหมือนเช่นเดิม รายที่นานที่สุดมีสุขภาพดีต่อเนื่องมา 7 ปีแล้ว ซึ่งเป็นความสำเร็จครั้งแรกในโลก

“ผมอยากทำความเข้าใจให้กับสังคมด้วยว่า เชื้อเอชไอวีไม่ใช่เป็นเชื้อที่น่ารังเกียจ และปัจจุบันนี้เรามีวิธีการที่จะควบคุมได้แล้ว หากเราสามารถดูแลเขาจนเขาตรวจไม่พบเชื้อได้ต่อเนื่อง ให้ถือว่าเขาเป็นปกติ เมื่อเขาหายแล้วต้องให้โอกาส รับเขาเข้าไปในสังคม เป็นกำลังสำคัญของประเทศต่อไป ขณะนี้โครงการวิจัยนวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัด Operation BIM จะตั้งศูนย์ International Center อยู่ระหว่างเจรจากับโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ถ้าตั้งได้คิดว่าศูนย์นี้มุ่งหวังกับลูกค้าเอเชีย ให้คำปรึกษาแก่ผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS ทั่วโลกผ่าน remote monitoring จากสถิติผู้ติดเชื้อใหม่ในไตรมาสหนึ่งติดเชื้อ 4-5 หมื่นคน หมายความว่าทุกวันจะมีติดเชื้อใหม่ 500 คน ที่ต้องรับการรักษาทุกวัน” ศ. ดร.พิเชษฐ์กล่าว