เอสซีจี แถลงผลประกอบการ ปี 2564 แข็งแกร่งต่อเนื่อง ท่ามกลางวิกฤตเงินเฟ้อ และโควิด 19 ผลจากทรานส์ฟอร์มธุรกิจรับ 3 เมกะเทรนด์ตอบโจทย์ตลาดโลก
เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2565 – เอสซีจี เผยผลประกอบการปี 2564 ธุรกิจแข็งแกร่งต่อเนื่อง ท่ามกลางปัญหาภาวะเงินเฟ้อ ต้นทุนพลังงาน วัตถุดิบพุ่งสูงต่อเนื่อง และวิกฤตโควิด 19 ด้วยการเร่งทรานส์ฟอร์มทุกธุรกิจ รับ 3 เมกะเทรนด์ ได้แก่ ชู ESG ในการดำเนินธุรกิจ – ใช้ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ช่วยลดต้นทุนการผลิตและขยายอีคอมเมิร์ซ – พัฒนาโซลูชันใหม่รับเทรนด์การรักษ์สุขภาพและยกระดับคุณภาพชีวิต พร้อมดูแลสังคม ลดความเหลื่อมล้ำด้วยการสร้างอาชีพ เสริมรายได้ ให้ชุมชนทั้งในไทยและอาเซียน
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวมก่อนตรวจสอบของเอสซีจี ประจำปี 2564 มีรายได้จากการขาย 530,112 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 33 จากปีก่อน สาเหตุจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในทุกธุรกิจ ส่วนใหญ่จากราคาและปริมาณขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับปี 47,174 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 จากปีก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจเคมิคอลส์ ทั้งนี้ กำไรจากดำเนินงานปกติ (Normalized Profit) เท่ากับ 48,979 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 จากปีก่อน โดยเอสซีจีมียอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services – HVA) ปี 2564 อยู่ที่ 182,510 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 34 ของยอดขายรวม ทั้งนี้ ยังมีสัดส่วนของการพัฒนาสินค้าใหม่ (New Products Development – NPD) คิดเป็นร้อยละ 15 และ Service Solution คิดเป็นร้อยละ 5 ของยอดขายรวม
สำหรับไตรมาส 4 ปี 2564 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 142,666 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากไตรมาสก่อน จากการดำเนินงานที่ดีขึ้นในทุกธุรกิจ โดยมีกำไรสำหรับงวด 8,307 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากไตรมาสก่อน มีกำไรจากการดำเนินงานปกติ (Normalized Profit) 7,813 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 14 จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักจากส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง รายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทยในปี 2564 ทั้งสิ้น 242,886 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 46 ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 44 จากปีก่อน สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 มีมูลค่า 861,101 ล้านบาท โดยร้อยละ 45 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน
ผลการดำเนินงานในปี 2564 แยกตามรายธุรกิจ ดังนี้
ธุรกิจเคมิคอลส์ ปี 2564 มีรายได้จากการขาย 238,390 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 62 จากปีก่อน เนื่องจากราคาและปริมาณขายสินค้าสูงขึ้น รวมถึงค่าเงินบาทอ่อนค่าลง โดยมีกำไรสำหรับปี 28,931 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 64 จากปีก่อน ขณะที่ไตรมาส 4 ปี 2564 มีรายได้จากการขาย 65,983 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากไตรมาสก่อนและ เพิ่มขึ้นร้อยละ 83 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาและปริมาณขายสินค้าที่สูงขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 4,500 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 14 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 23 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น ประกอบกับมีกำไรจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง
ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ปี 2564 มีรายได้จากการขาย 182,529 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับปี 4,262 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 34 จากปีก่อน ขณะที่ไตรมาส 4 ปี 2564 มีรายได้จากการขาย 45,869 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมียอดการส่งออกสินค้าไปยังตลาดอื่นๆ นอกภูมิภาคอาเซียนและความต้องการสินค้าผลิตภัณฑ์ก่อสร้างภายในประเทศตามงานปรับปรุงและซ่อมแซมที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,385 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,785 ล้านบาท จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 1,579 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
SCGP ในปี 2564 มีรายได้จากการขายเท่ากับ 124,223 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34 จากปีก่อน มีกำไรสำหรับปี 8,294 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 เมื่อเทียบกับปีก่อน มีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในกลุ่มสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นหลัก การเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจบรรจุภัณฑ์อาหารทั้งในประเทศไทย มาเลเซีย และ สหราชอาณาจักร รวมถึงการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั้งในรูปแบบขยายกำลังการผลิต (Organic Expansion) และการควบรวมกิจการ (Merger and Partnership – M&P) ซึ่ง SCGP มีฐานการผลิตในหลายประเทศและผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองลูกค้าในหลายอุตสาหกรรม ทำให้สามารถกระจายความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากความไม่แน่นอนของปัจจัยภายนอกได้ดี
สำหรับผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2564 SCGP มีรายได้จากการขาย 35,145 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 49 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคระบาดของรัฐบาลในอาเซียน ทำให้ประชาชนสามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น การเตรียมสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค อาหารแช่แข็ง เพื่อรองรับความต้องการซื้อในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ และการรวมผลการดำเนินงานของ Go-Pak ผู้ให้บริการโซลูชันบรรจุภัณฑ์อาหารในสหราชอาณาจักร ยุโรป และอเมริกาเหนือ, Duy Tan ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูปรายใหญ่ในประเทศเวียดนาม, Intan Group ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกในประเทศอินโดนีเซีย และ Deltalab ผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์คุณภาพสูงในประเทศสเปน โดยมีกำไรสำหรับงวดเท่ากับ 2,115 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
นายรุ่งโรจน์กล่าวว่า แม้ว่าในปี 2564 เศรษฐกิจทั่วโลกได้รับผลกระทบจากต้นทุนพลังงาน วัตถุดิบสูง ภาวะเงินเฟ้อและโควิด 19 แต่เอสซีจีได้เร่งทรานส์ฟอร์มธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จึงสามารถรักษาการเติบโตในปีที่ผ่านมาเป็นที่น่าพอใจ โดยปรับธุรกิจให้สอดคล้องกับ 3 เมกะเทรนด์ ได้แก่ ชู ESG ในการดำเนินธุรกิจ – ใช้ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า – พัฒนานวัตกรรมโซลูชันรับเทรนด์การรักษ์สุขภาพและยกระดับคุณภาพชีวิต ชู ESG (Environmental, Social and Governance) ในการดำเนินธุรกิจ เอสซีจีใช้ ESG 4 Plus “มุ่ง Net Zero – Go Green – Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ ภายใต้ความเป็นธรรม โปร่งใส” เป็นกรอบพัฒนาที่เป็นมาตรฐานการดำเนินธุรกิจระดับโลกสอดคล้องกับเป้าหมายพัฒนาอย่างยั่งยืน SDGs ของสหประชาชาติและ BCG Economy ของภาครัฐ
“เอสซีจีเตรียมเงินลงทุนเบื้องต้น 70,000 ล้านบาทภายในปี 2573 เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตและพัฒนาธุรกิจคาร์บอนต่ำ ให้บรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 (Net Zero 2050) โดยในปี 2564 สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 1.3 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ (ทำได้ดีขึ้นร้อยละ 4.1 เมื่อเทียบกับปี 2563) และเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์รักษ์โลกฉลาก SCG Green Choice จากร้อยละ 33 ในปี 2563 เป็นร้อยละ 41 ในปี 2564 ใช้ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆ ของลูกค้า รวมถึงช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม ลดต้นทุน ลดเวลา เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เช่น เทคโนโลยี Digital Twin ตัวแทนเสมือนที่ช่วยประเมินผลเพื่อปรับรูปแบบการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ CPAC Green Solution ที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้บริหารงานก่อสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ และพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลใช้บริหารการจัดจำหน่ายซึ่งมีเครือข่ายใหญ่ที่สุด อาทิ ‘Prompt Plus’ แพลตฟอร์มสั่งซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้างสำหรับร้านค้ารายย่อยกว่า 9,000 ร้านค้าทั่วประเทศ และ ‘รักเหมา’ แพลตฟอร์มสั่งซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้างสำหรับเจ้าของโครงการก่อสร้าง ผู้รับเหมาขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีมากกว่า 50,000 รายทั่วประเทศไทย” นายรุ่งโรจน์กล่าว
นอกจากนี้ยังรวมถึงพัฒนาโซลูชันใหม่รับเทรนด์การรักษ์สุขภาพและยกระดับคุณภาพชีวิต อาทิ กลุ่มนวัตกรรมพลาสติกเพื่อการแพทย์ เช่น แคปซูลความดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศ ถุงซักผ้าละลายน้ำ ลดความเสี่ยงติดเชื้อจากเสื้อผ้าผู้ป่วย Smart Building Solution นวัตกรรมบริหารระบบอาคาร เพื่อปรับคุณภาพอากาศและประหยัดพลังงานด้วยเทคโนโลยี IoT นวัตกรรมผนังสมาร์ทบอร์ด Ultra Clean Wall Solution ทำให้ห้องมีความสะอาด ปลอดเชื้อโรค ระบบไอออนกำจัดเชื้อโรคในอากาศ SCG Bi-Ionization Air Purifier ช่วยลดเชื้อแบคทีเรียและไวรัสภายในบ้านและอาคาร ระบบหลังคา SCG Solar Roof Solutions ที่สามารถผลิตไฟฟ้าจากหลังคาบ้าน ช่วยลดค่าไฟ และยังสามารถผลิตไฟฟ้าจากหลังคา โรงจอดรถ เพื่อใช้งานร่วมกับยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) ได้อีกด้วย
“ภาคธุรกิจควรเตรียมพร้อมรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากราคาพลังงานและวัตถุดิบ ตามภาวะเงินเฟ้อ ในขณะที่กำลังการซื้อเริ่มฟื้นตัวทำให้สินค้า บริการหลายรายการราคาสูงขึ้นตามกลไกตลาด จึงต้องเตรียมปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมในแต่ละอุตสาหกรรม พร้อมทั้งสร้างวินัยทางการเงินเพื่อเตรียมรับอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งการสร้างนวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไปให้ทันท่วงที และการนำดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจ ส่วนเอสซีจีได้เตรียมแผนธุรกิจเพื่อรองรับวิกฤตเงินเฟ้อและสร้างการเติบโตระยะยาวในแต่ละธุรกิจให้สอดคล้องกับ 3 เมกะเทรนด์” นายรุ่งโรจน์กล่าว
เอสซีจียังให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือสังคม ตามแนวทาง ESG มุ่งลดความเหลื่อมล้ำ สำหรับผู้ว่างงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด โดยดำเนินโครงการพัฒนาทักษะอาชีพที่ตลาดต้องการ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 3,000 คน และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 20,000 คนในปี 2568 เช่น พัฒนาอาชีพพนักงานขับรถบรรทุก โดยโรงเรียนทักษะพิพัฒน์ พัฒนาอาชีพช่างปรับปรุงบ้าน โดย Q-Chang (คิวช่าง) อาชีพแปรรูปผลิตภัณฑ์ และขายสินค้าออนไลน์และออฟไลน์ ผ่านโครงการพลังชุมชน พัฒนาอาชีพผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยทันตแพทย์ นักบริบาลผู้สูงอายุ จากโครงการ Learn to Earn โดยมูลนิธิเอสซีจี ทั้งนี้ เอสซีจียังมอบทุนการศึกษาอาชีพที่ขาดแคลนให้เยาวชนในอาเซียน เช่น แพทย์ พยาบาล วิศวกร ครู รวมถึงให้ความรู้ด้านบริหารจัดการน้ำในชุมชนเพื่อให้มีน้ำอุปโภค บริโภค และทำการเกษตร เพิ่มผลผลิต มีรายได้มั่นคง นอกจากนี้ ยังได้ส่งมอบนวัตกรรมป้องกันโควิด 19 ทั้งในไทยและอาเซียนอย่างต่อเนื่องมูลค่า 470 ล้านบาท
คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 18.50 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 22,200 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 47 ของกำไรสำหรับปีตามงบการเงินรวม ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับครึ่งปีแรกในอัตราหุ้นละ 8.50 บาท เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2564 และจะจ่ายเงินปันผลสำหรับครึ่งปีหลังในอัตราหุ้นละ 10.00 บาท
“การจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลังดังกล่าวให้จ่ายแก่ผู้ถือหุ้นเฉพาะผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามข้อบังคับของบริษัท ตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 8 เมษายน 2565 (จะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 7 เมษายน 2565 โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 26 เมษายน 2565 และให้รับเงินปันผลภายใน 10 ปี)” นายรุ่งโรจน์กล่าว
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ยังได้อนุมัติแผนการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของเอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) ต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ไม่เกินร้อยละ 25.2 ของทุนชำระแล้วของเอสซีจี เคมิคอลส์ โดยคาดว่าจะจัดสรรหุ้น IPO ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ (Pre-emptive Right) ไม่เกินร้อยละ 15 ของหุ้น IPO ทั้งหมด ทั้งนี้ เพื่อระดมทุนเดินหน้าขยายธุรกิจศักยภาพสูง สร้างความเติบโตอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคอาเซียน ตอบโจทย์ตลาดโลก
……..
SCG Announces Strong Operating Results in 2021 Despite Inflation and COVID-19 as a Result of Business Transformation to Address 3 Global Megatrends
Bangkok: 27 January 2022 – SCG announced strong operating performance in FY2021 despite inflationary pressures, rising energy, and raw materials costs, as well as the COVID-19 pandemic by driving business transformation to address three megatrends: incorporating ESG into business operations, leveraging digital transformation to meet customer demands that help lower production cost and grow
e-commerce, developing new solutions to meet wellness trend and improve quality of life. SCG is prepared to look after the society to reduce inequality and increase income for communities in Thailand and ASEAN.
Mr. Roongrote Rangsiyopash, President and CEO of SCG, disclosed, “The Company’s unaudited Operating Results for FY2021 registered the Revenue from Sales of 530,112 MB, an increase of 33% y-o-y, owing primarily to improved performance of all businesses, particularly the prices and sales volume of chemical products. Profit for the year totaled 47,174 MB, an increase of 38% y-o-y, thanks to better performance of Chemicals Business. Normalized profit stood at 48,979 MB, up 35% y-o-y.
SCG’s Revenue from Sales of High Value-Added Products & Services (HVA) in 2021 was
182,510 MB or 34% of total Revenue from Sales. Additionally, New Product Development (NPD) and Service Solutions accounted for 15% and 5% of total Revenue from Sales, respectively.
Revenue from Sales totaled 142,666 MB in Q4/21, an increase of 8% q-o-q due to improved performance of all businesses. Profit for the period stood at 8,307 MB, up 22% q-o-q, with normalized profit at 7,813 MB, down 14% q-o-q mainly due to lower equity income from associates.
SCG’s Revenue from operations outside of Thailand, including export sales from Thailand, registered 242,886 MB in FY2021, or 46% of total Revenue from Sales, 44% higher than the previous year.
SCG’s total assets as of December 31, 2021 amounted to 861,101 MB, of which 45% represented assets in ASEAN.
The 2021 operating results by business units are as follows:
Chemicals Business Revenue from Sales increased by 62% y-o-y to 238,390 MB in FY2021, owing to higher product prices, increasing sales volume, and Baht depreciation. Profit for the period increased 64% y-o-y to 28,931 MB. Meanwhile, Q4/2021’s Revenue from Sales was 65,983 MB, increased 10% q-o-q and 83% y-o-y due to increased product prices and sales volume. Profit for the period was 4,500 MB, decreased 14% q-o-q and 23% y-o-y, owing primarily to higher feedstock costs, lower inventory gain, and lower equity income from associates.
Cement – Building Materials Business recorded FY2021 Revenue from Sales of 182,529 MB, increased 6% y-o-y. However, Profit for the Year totaled 4,262 MB, decreased 34% y-o-y. Meanwhile, Q4/2021’s Revenue from Sales was 45,869 MB, increased 14% y-o-y, due to higher export volume to markets outside the ASEAN region and rising demands for domestic building materials for renovation and repair works. Profit for the Period was 1,385 MB, increased 3,785 MB q-o-q and increased 1,579 MB y-o-y.
SCGP reported FY2021 Revenue from Sales of 124,223 MB, increased 34% y-o-y. Profit for the Year also increased 28% y-o-y to 8,294 MB. This was attributed to the growth of Integrated Packaging Chain in the consumer goods segment, an increase in revenue from the food service packaging in Thailand, Malaysia, and the United Kingdom, and continuous business expansion through organic growth and Merger and Partnership (M&P). SCGP has manufacturing facilities in several countries to supply products to a diverse range of industries. This enables a diversification of risks from uncertainties caused by external variables.
Meanwhile, SCGP’s Revenue from Sales for Q4/2021 was 35,145 MB, increased 49% y-o-y and 10% q-o-q, owing mainly to the government’s relaxation of pandemic control measures in ASEAN, which allows people to engage in more economic activities, as well as the preparation of consumer goods and frozen foods to cater to new year’s holiday purchases, as well as financial consolidation of Go-Pak, a food service packaging solution provider in the United Kingdom, Europe, and North America; Duy Tan, a rigid plastic packaging manufacturer in Vietnam; Intan Group, a corrugated carton producer in Indonesia; and Deltalab, a manufacturer and distributor of high quality medical supplies and labware in Spain. Profit for the Period stood at 2,115 MB, increased 42% y-o-y and 19% q-o-q.
Mr. Roongrote said, “During the year 2021, economies around the world had been impacted by rising energy and raw material costs, inflation, and COVID-19, but SCG has steadily been accelerating business transformation. As a result, it has maintained satisfactory growth over the past year by aligning the business with three megatrends: incorporating ESG into business operations, leveraging digital transformation to meet customer needs, and developing innovative solutions to meet wellness trends improve the quality of life.
Incorporating ESG (Environmental, Social, and Governance) into the business operations. SCG has adopted ESG 4 Plus, which includes four approaches: Set Net-Zero, Go Green, Reduce Inequality, and Embrace Collaboration with fairness and transparency as a standard developmental framework for its global business practices in line with the United Nations’ Sustainable Development Goals (SDGs) and
the government’s BCG Economy. SCG has committed an initial investment of 70 billion baht by 2030
to improve the production process and develop low-carbon businesses to achieve net-zero greenhouse gas emission within 2050. In 2021, greenhouse gas emissions were lowered by 1.3 million tons of carbon dioxide (a reduction of 4.1% over the same period in 2020) and increase the proportion of SCG Green Choice product sales from 33% in 2020 to 41% in 2021.
Leveraging digital transformation to address new customer needs and add value to minimize cost and time while increasing performance. Examples include Digital Twin technology, a virtual agent that aids in the evaluation and efficient modification of production patterns; CPAC Green Solution that adopts digital technology to optimize construction efficiency; the development of digital platforms to manage the largest distribution network, including ‘Prompt Plus,’ a building material e-commerce platform for over 9,000 retail stores nationwide and “Rak Mao,” a building material e-procurement platform for over 50,000 customers including developers and small and medium-sized contractors across Thailand.
The approaches also include developing innovative solutions to meet wellness trends and improve the quality of life, such as medical-grade plastic innovation Isolation Capsule for Air Transportation ; soluble laundry bags to reduce the risk of infection patient’s clothing; Smart Building Solution, an innovative building system management solution that uses IoT technology to improve air quality and save energy; Ultra Clean Wall Solution, a smart board innovation that keeps the room clean and germ-free; SCG Bi-Ionization Air Purifier, that eliminates bacteria and viruses in homes and buildings;
SCG Solar Roof Solutions, which can generate electricity from the roof and garage roof to help reduce electricity costs and utilize electricity with electric vehicles.
Businesses should be prepared for the increased energy and raw material prices due to inflation.
As purchasing power begins to recover, market forces drive up the prices of goods and services.
Thus, business strategies in each industry must be appropriately optimized, has the financial discipline to cope with rising interest rates, create innovation to meet the ever-changing customer demands, on top of the business’s adoption of digital technology. SCG has devised business strategies to address the inflation and build long-term growth in each of its business in line with three megatrends,” said Roongrote.
Additionally, SCG is committed to contribution to society following ESG principles aimed at reducing inequality. To assist unemployed individuals affected by COVID-19, the company has established
in-demand skill development programs with over 3,000 participants and intends to reach 20,000 participants by 2025. Several examples include upskilling truck drivers through the SCG Skills Development School, providing handymen’s renovation job opportunities through the Q-Chang application, developing careers in product processing and online/offline e-commerce through the Community Power Project, and developing assistant nurses, assistant dentists, and elderly caretakers through the “SCG Foundation’s Learn to Earn project”. Furthermore, SCG provides educational scholarships to needy students throughout ASEAN to help them pursue careers such as doctors, nurses, engineers, and teachers. SCG also educates communities about water management to ensure an adequate water supply for consumption and farming, which will increase productivity to maintain their stable incomes. Additionally, SCG delivered COVID-19 innovations worth 470 MB to Thailand and ASEAN countries.
The Board of Directors of SCC approved to submit for approval at the Annual General Meeting of Shareholders a full year 2021 dividend payment of 18.50 Baht per share for a total amount of 22,200 MB, or 47% of profit for the year on consolidated financial statements, of which 8.50 Baht per share had been paid as an interim dividend on August 27, 2021. The final payment of dividend will be 10.00 Baht per share.
The above dividend distribution shall be paid to the shareholders entitled to receive the dividend according to the Company’s Articles of Association and who are listed in the record date on April 8, 2022. (The XD, or the date on which a purchaser will not be entitled to receive the dividend, will be on April 7, 2022) The dividend will be paid on April 26, 2022. The receipt of such dividends shall be made within 10 years.
In addition, the Board of Directors approved plans to increase the capital of SCG Chemicals (SCGC) and offer shares to the general public in an amount not to exceed 25.2% of SCG Chemicals’ paid-up capital. The IPO is expected to be allocated to shareholders of the Company (Pre-emptive Right) in an amount not to exceed 15% of all IPO shares. The offering aims to raise funds to expand the high-potential business and build sustainable growth in ASEAN while also addressing the global market demand.
ข่าวหรือบทความที่เกี่ยวข้อง
