
PTTGC ประกาศแผน “Together To Net Zero” ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2593 งบลงทุนประมาณ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.65 แสนล้านบาท ผ่าน 3 เสาหลัก พร้อมตั้งงบปรับโครงสร้างธุรกิจอีก 1.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เตรียมซื้อเข้าซื้อกิจการธุรกิจคาร์บอนต่ำ
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC)กล่าว ว่า กลุ่มบริษัทประกาศแผนงานสู่เป้าหมาย “Together To Net Zero” เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ในปี 2593 โดยบริษัทวางเป้าหมายระยะปานกลางในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง 20% ภายในปี 2573 และทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593
ทั้งนี้ PTTGC คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 5 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 1.65 แสนล้านบาทภายในปี 2593 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็นบริษัทปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยไม่กระทบต่อการเติบโตธุรกิจ และเบื้องต้นได้วางแผนในการลงทุนราว 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2573 ผ่านกรอบการดำเนินงานเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ
นายคงกระพัน กล่าวว่ากลยุทธ์การดำเนินงานเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำจะอยู่ภายใต้ 3 เสาหลัก (Three-Pillar Low Carbon Transition Framework) ประกอบด้วย
- Efficiency-driven การเพิ่มประสิทธิภาพในทุกกระบวนการ โดยใช้หลัก “5R” และเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งเทคโนโลยีที่มีอยู่และเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ เพื่อลดการใช้ทรัพยากร และลดการใช้พลังงาน นำนวัตกรรมใหม่ๆ มาปรับใช้ และแสวงหาเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำรูปแบบใหม่เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของเทคโนโลยีในปัจจุบัน คาดว่า จะลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 20%
- Portfolio-driven การบริหารพอร์ตโฟลิโอธุรกิจและผลิตภัณฑ์ของ GC Group ผ่านนวัตกรรมและการลงทุน โดยการปรับเปลี่ยนพอร์ตโฟลิโอไปสู่ธุรกิจและผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ อาทิเช่น การลงทุนในธุรกิจเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษมูลค่าสูง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม และผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัสดุหมุนเวียน คาดว่า จะลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 25%
- Compensation-driven เป็นเสาหลักสุดท้ายของกรอบนโยบายการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ ด้วยทางแก้ปัญหาที่มีธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (Nature-Based Solutions) รวมทั้งการจัดหาและลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการดักจับคาร์บอน ผ่านแนวทางต่าง ๆ ได้แก่ Corporate Venture Capitals การสร้างพันธมิตร และการร่วมทุนทางธุรกิจ เพื่อให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ คาดว่า จะลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 50%
นอกจากนี้ บริษัทได้ตั้งงบลงทุนในการปรับโครงสร้างธุรกิจอีก 1.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยนายคงกระพัน ให้ข้อมูลว่าการลงทุนสำหรับปรับโครงสร้างธุรกิจ จะดำเนินการโครงการลงทุนปิโตรเคมีเกรดพิเศษในอีอีซีอีก 2-3 ปีข้างหน้า มูลค่าการลงทุน 20,000-30,000 ล้านบาท
รวมทั้งมองหาโอกาสการควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ (M&A) เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ โดยจะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจที่มีการปลดปล่อยคาร์บอนต่ำ ซึ่งน่าจะเห็นความคืบหน้าในเข้าซื้อกิจการออกมาต่อเนื่อง และวางเป้าหมายที่จะมีอัตราการเติบโตทางธุรกิจเฉลี่ยปีละ 4% ต่อเนื่องใน 5-6 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าซื้อกิจการของ allnex ผู้นำระดับโลกในธุรกิจผลิตภัณฑ์ Coating Resins ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มสารเคลือบและสารเติมแต่งสำหรับใช้กับวัสดุทุกประเภท เนื่องจาก allnex ยึดถือนโยบายในการปล่อยคาร์บอนต่ำ และเป็นผู้บุกเบิกนวัตกรรมที่ยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรม Coating มานานกว่า 70 ปี โดยได้รับการจัดอันดับในระดับ Gold Ratings ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนจาก EcoVadis
ขณะเดียวกัน NatureWorks ผู้ผลิตพลาสติกชีวภาพอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของ PTTGC ได้ประกาศการก่อสร้างโรงงานผลิตไบโอโพลีเมอร์แบบครบวงจรแห่งใหม่ในประเทศไทย ส่งผลให้บริษัทดำเนินธุรกิจปิโตรเคมีและธุรกิจพลาสติกชีวภาพ รวมถึงการดำเนินโครงการบริหารจัดการพลาสติกใช้แล้วแบบครบวงจร
นายคงกระพันกล่าวเพิ่มเติมถึงประเด็นราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นว่า บริษัทมีสัดส่วนการจัดซื้อน้ำมันดิบในปริมาณน้อย เนื่องจากยังคงใช้วัตถุดิบหลักจากก๊าซธรรมชาติ และการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน คาดว่าจะส่งผลดีต่อมาร์จิ้นการกลั่นในปีหน้า ส่วนธุรกิจปิโตรเคมี ก็ยังต้องติดตามหลายปัจจัยประกอบกัน อย่างไรก็ดี บริษัทได้ทำการบริหารความเสี่ยงราคาน้ำมันไว้แล้วตั้งแต่ต้นปี หากราคาน้ำมันดิบกลับไปลดต่ำลงก็จะไม่มีปัญหาขาดทุนจากการสต็อกน้ำมัน