ThaiPublica > คอลัมน์ > Life Coach กับชีวิตที่มีผ้าขาวเป็นฉากหลัง

Life Coach กับชีวิตที่มีผ้าขาวเป็นฉากหลัง

7 ตุลาคม 2021


ไตรรงค์ บุตรากาศ

เกือบ 20 ปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมการอบรมคอร์สหนึ่ง ซึ่งต้องเข้าร่วมเป็นเวลา 3 วัน 2 คืน ในตารางเวลาที่แปลกประหลาดที่สุด คือ เริ่มตั้งแต่แปดโมงเช้าจนถึงห้าทุ่มของทุกวัน และเป็นการอบรมที่น่าเบื่อที่สุดตั้งแต่เช้าจนถึงสามทุ่มของแต่ละวันเป็นต้นไปที่กุญแจที่จะไขมุมมองใหม่ของชีวิตจะเผยตัวให้เห็น และให้ทางเลือกในการมองโลกที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง จนอาจจะเปลี่ยนชีวิตคุณได้ตลอดกาล หากคุณไม่ถูกดึงดูดกลับสู่กระแสชีวิตที่เคยชินมาทั้งชีวิตไปเสียก่อน

การอบรมดังกล่าวเป็นเรื่องราวเดียวกับสิ่งที่คนประดิษฐ์คำเรียกกันในวันนี้ว่า Life Coach น่าแปลกที่มุมมองที่ผมได้เรียนเมื่อ 20 ปีที่แล้วนั้นยังกระจ่างใสอยู่ในความทรงจำส่วนลึก ที่เมื่อวันใดก็ตามที่ระลึกถึง ความทรงจำนั้นก็จะหลั่งไหลออกมาเหมือนเพิ่งไปอบรมมาเมื่อวานนี่เอง

Racket and Strong Suit

การอบรมเริ่มต้นด้วยจำนวนคนกว่า 200 คน มาร่วมกันอยู่ในห้องเดียวกัน และฟังการขายคอร์สอบรมอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ชีวิตดีอย่างไร เปลี่ยนไปอย่างไร เราจะอยู่ในกะลาต่อไปหากไม่ได้ลงคอร์สนี้ โดยไม่บอกว่ามันคืออะไรเลย มีศิษย์เก่าเล่าว่าดีอย่างไร แต่ไม่บอกอะไรเลยว่าคอร์สนี้จะสอนอะไรกับเรา (ให้ตายเถอะโรบิน ผมยังไม่ได้เริ่มเรียนคอร์สแรกเลย) หลายคนเริ่มทนไม่ไหว ไปฉี่และไม่กลับเข้ามาอีก (ซึ่งผมพบว่าภายหลังมี staff ซึ่งก็คือนักเรียนอาสา ไปโทรตามกระหน่ำอยู่หลายคน เพื่อชวนให้กลับมาเข้าอบรมต่อ) ผมเองก็ใกล้จะหมดความอดทนอยู่ แต่ก็อยากอยู่ให้จบสักวันก่อนว่ามันจะหมู่หรือจ่า และบังคับตัวเองให้วางมือที่จะคว้าเป้และวิ่งออกไปฉี่แบบไม่ย้อนกลับอยู่หลายหน

ตอนเย็น ผู้สอนให้นักเรียนหลายท่าน ออกมาแบ่งปันประสบการณ์ที่โหดร้ายที่ถาโถมเข้ามาในชีวิต และเฝ้าแต่คิดว่าถ้าเราย้อนเวลากลับได้ เราจะทำอย่างไร และด้วยประสบการณ์ที่ทารุณในชีวิตอย่างมาก เราปรุงตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นมาเพื่อรองรับมันอย่างหนัก เพื่อที่จะพบว่าเราไม่อาจจะลืมบาดแผลในจิตใจนั้นได้เลยทั้งชีวิต หลายคนเล่าถึงประสบการณ์การเลิกร้างในชีวิตคู่ ความแตกแยกของครอบครัว ลูกที่หนีไปจากบ้านและไม่เคยเจอกันอีก ความล้มเหลวในชีวิตที่ไม่อาจกอบกู้กลับในทางกายและจิตใจ หรือการถูกละเมิดตั้งแต่วัยเด็ก ทีละคน สองคน และมากขึ้นเรื่อยๆที่คนยกมือ ขอโอกาสมาเล่าเบื้องหลังในชีวิตเหล่านั้น เบื้องหลังและชีวิตที่เจ็บปวด ที่แม้แต่ตัวเราเองยังไม่อยากให้ตัวเราฟังอีกครั้งในชีวิต ได้ถูกเล่าออกมาให้กับคนแปลกหน้าอีก 200 คน ที่คุณไม่รู้จักเลยได้ยินทั้งน้ำตา

ผมสาบานต่อพระเจ้าว่า ผมจะไม่มีวันลุกขึ้นมาเล่าให้คนเหล่านั้นที่แทบไม่รู้จักกันเป็นอันขาด แม้ชีวิตผมจะผ่านเรื่องหนักๆเหล่านั้นมาบ้างก็ตาม

ไม่จนกระทั่ง หลังอาหารค่ำราวสองทุ่ม ผู้สอน ผู้บรรยาย โค้ช หรือคุณจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ (ซึ่งไม่ใช่คนไทยนะครับ เป็นคนฟิลิปินส์ พูดเป็นภาษาอังกฤษ และมีคนไทย ซึ่งก็คือนักเรียนเก่านั่นแหละ มาทำหน้าล่ามสด แปลคำต่อคำ ประโยคต่อประโยค) ขึ้นมาชี้ขาดว่า พวกคุณคือคนอ่อนแอ ที่รับมือกับความโหดร้ายที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตแบบอ่อนแอ ไร้เดียงสา และไม่ได้เข้าใจโลกเลย นี่คือท่าการรับมือแบบไร้สาระที่สุดที่มนุษย์ปถุชนทำ คือ การกล่าวโทษซ้ำๆกับปัญหาที่เกิดขึ้น โทษทุกคน โทษตัวเอง พูดซ้ำๆแก้ตัวให้ตัวเอง หลายๆคนทำผิดซ้ำๆ เหมือนย้ำให้ตัวเองรู้ว่า ความล้มเหลวนี้เป็นอมตะในชีวิตของคุณและคุณเสพติดที่จะให้มันเกิดซ้ำๆโดยไม่ได้สำนึก และหลายคนไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองกำลังทำสิ่งนี้อยู่ด้วยซ้ำ เราเรียกสิ่งนี้ว่า Racket (แร็กเก็ต แบบที่ใช้ตีแบด ตีเทนนิสนั่นแหละครับ อย่าไปหาความหมายทางเลือกจากในพจนานุกรมภาษาอังกฤษนะครับ นี่เป็นคำศัพท์ที่ที่นี่บัญญัติมาใช้เฉพาะ คือ การมีพฤติกรรมซ้ำๆไปซ้ำมา)

แต่หลายคนเลือกที่จะตอบสนองต่อความปัญญาอ่อนของตัวเอง ด้วยการเข้มงวดกับตัวเองมากขึ้นๆ คุณทำงานหนักมากขึ้นๆจนร่างกายแทบจะทนไม่ไหว เพื่อไม่ให้ความล้มเหลวนั้นเข้ามาอีกครั้งในชีวิต บางคนก็สร้างตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นจากความผิดหวังในชีวิตให้ไม่ต้องง้อใครเลย ไม่ต้องมีคู่ ป้องกันตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีกจากการไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองไปในที่ที่ตัวเองมีอดีตฝังใจเหล่านั้น เพราะเขาจะไม่ยอมให้แม้แต่จะมีโอกาสเพียงเล็กน้อย ที่จะเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นอีกครั้ง

หรือบางคนเลือกที่จะต่อต้านความอัปลักษณ์(ในใจหรือกาย ทั้งจริงและไม่จริง) ความอ้วน การถูกล้อเลียน ด้วยการสร้างเกราะแห่งความดีขึ้นมา เป็นคนดี มีน้ำใจ ช่วยเหลือเพื่อน เรียนเก่ง ทำกิจกรรมแกร่ง เพื่อกลบเกลือนปมด้อยของตัวเอง ด้วยความแกร่งและความดีในด้านอื่น คนเหล่านี้เลือกที่จะสวม Strong Suit (เกราะ เสื้อเกราะเพื่อคุ้มครองตัวเอง จากปมลึกในอดีต เหมือนกันนะครับ ไม่ต้องค้นพจานานุกรมที่ไหน มีศัพท์บัญญัติพิเศษของที่นี่เช่นกัน) เพื่อคุ้มครองตัวเองในอดีต ทั้งจริงและไม่จริง จากประสบการณ์ร้ายๆในอดีต เพื่อที่จะได้ระลึกว่าคุณไม่มีทางกลบปมด้อยที่ฝังอยู่ในส่วนลึกที่สุดในจิตใจของตัวเองได้ และพร้อมจะพรั่งพรูออกมาเมื่อถูกสะกิดออกมาในวินาทีใดวินาทีหนึ่งก็ตาม

จบคืนแรก เราได้เรียนรู้ กลไกการป้องกันตัวเองสองแบบ ซึ่งหลอก หรือกลบเกลื่อนเราจากเรื่องร้ายๆในชีวิต Racket and Strong Suit Language is the most important thing in the world and it create feeling

หลังจากพยายามตื่นไปเข้าคลาสให้ทันตอนเช้า เพราะเมื่อคืนกว่าจะถึงบ้านก็เที่ยงคืน คอร์สเริ่มต้นด้วยการขายคอร์สอย่างบ้าระห่ำโดยมี staff ซึ่งก็คือผู้เรียนจบมาก่อนหน้ามาคอยให้คำแนะนำชักชวน สลับกับมาให้แชร์ประสบการณ์ฝังลึกในอดีต ยังมีหลายคนมาแชร์เรื่องส่วนตัว กับคนแปลกหน้าอีก 200 คน ในขณะที่ผมกำมือแน่น ไม่มีทางที่จะขึ้นไปแชร์ประสบการณ์ใดใดของผมกับคนเหล่าแน่นอน คนเหล่านี้ คือใคร ผมไม่เคยรู้จักเขา ทำไมคนที่มีประสบการณ์ที่ขมขื่นถึงมีมากขนาดนี้ หรือคอร์สนี้ดึงดูดคนที่มีประสบการณ์เหล่านี้ให้มาเข้าคอร์สนี้ หรือแค่คนทุกคนในโลกนี้มีประสบการณ์เลวร้ายอยู่แล้วนั่นเอง ทำไม ทำไม

ตอนบ่ายๆ ผู้สอนให้เริ่มทำความรู้จักคนที่นั่งข้างๆ ทั้งสองฟาก และพยายามรู้จักตัวตนของคนแปลกหน้าเหล่านั้น ผมพยายามให้คนทั้งสองด้าน มีโอกาสพูดเรื่องตัวเองให้มากที่สุด เพราะคนเราส่วนใหญ่อยากพูดเรื่องตัวเองอยู่แล้วเมื่อมีโอกาส โดยเฉพาะเมื่อมีกิจกรรมที่การเล่าเรื่องตัวเองเป็นเรื่องที่ต้องทำ ข้างขวาของผมเป็นน้องผู้ชายที่ทำงานด้านการโฆษณา ออกแบบกราฟิก และเข้ามาเรียนเพราะเพื่อนชวนมา ส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นผู้หญิงแต่เป็นใครอย่างไรนั้นผมจำไม่ได้แล้ว คนแรกผมจำได้เพราะคิดว่าจะได้ชวนมาทำงานต่อ เพราะอยากได้คนจากวงการโฆษณาที่ไม่ใช่ brand ใหญ่ เข้ามาให้มุมมองที่แตกต่างไปบ้างที่ออฟฟิศ ทั้งห้องคุยกันเสียงดัง

หลังเบรกทานข้าวเย็น คลาสเริ่มอีกครั้งด้วยการให้มาแชร์ว่าคุณรู้จักเขาอย่างไร และรู้สึกอย่างไรในการเริ่มคุยกับคนแปลกหน้าที่มาจากพื้นฐานและภูมิหลังที่ไม่เหมือนกับคุณเลย หลายคนกลัวที่จะเปิดเผยกับคนแปลกหน้า หลายคนกลัวว่าพูดไปเขาจะดูถูก หรือคิดว่ามีปัญหาทางจิตบางประการจึงมาเรียนที่นี่ กลัวว่าเขาอยากจะพูดกับเราไหม กลัวว่าเขาจะพูดอย่างไรกับเรา และเมื่อให้คนข้างๆ ขึ้นมาพูดบ้างน่าแปลกใจที่คนข้างๆเขานั้น ก็มีความรู้สึกเหมือนกับเรา ทั้งคู่กลัวในเรื่องเดียวกัน มันเป็นเรื่องน่าหัวเราะ เราคิดว่าเรากลัว ในเวลาเดียวกันเขาก็กลัวเราเหมือนกัน เราช่างโง่เขลาอะไรแบบนี้ เราควรจะกลัวหรือไม่ ทำไมเราถึงกลัว เกรง ดูถูกและรู้สึกดูถูก เสียใจ เศร้าใจ หากทีท่าคนอื่นที่มีต่อเราน่าผิดหวัง หรือดีใจ หากคนอื่นมีท่าทีชื่นชมเรา ระแวง โกรธ เมื่อสิ่งไม่ชอบ อิจฉาสวนของเพื่อนบ้านว่าสวยกว่าของเรา แค้นเมื่อเราไม่ได้สิ่งทีเราเห็นว่าเราสมควรได้ ชีวิตเราช่างน่าหัวร่ออะไรขนาดนี้ เรามีชีวิตอยู่บนความรู้สึก ความรู้สึกที่ขึ้นกับสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา และความรู้สึกช่างมีหลากหลายและละเอียดอ่อนเหลือเกิน รัก โลก โกรธ หลง เสียใจ ดีใจ เศร้าใจ กังวล สงสัย กลัว ระแวง ตื้นตัน ผิดหวัง หมดหวัง หดหู่ ชื่นใจ และอีกหลายสิบคำที่จะบรรยายอารมณ์ของมนุษย์ สัตว์หรือแม้แต่คนในยุคหินไม่มีความละเอียดอ่อนของภาษาที่จะบรรยายได้มากขนาดนั้น สัตว์ไม่ได้สร้างภาษาที่จะถ่ายทอด ความรู้ ความรู้สึก มันผลักดันด้วยสัญชาตญาณ หิวก็กิน เหนื่อยก็พัก ขับถ่าย และสืบพันธุ์

ภาษาสร้างความละเอียดอ่อนของความรู้สึก ปราศจากภาษา มนุษย์ก็ไม่แตกต่างจากสัตว์ ภาษาคือสิ่งประดิษฐที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก สร้างความทะเยอะทะยาน จะเคลื่อนภูเขาทั้งภูเขา ถ่ายทอดความรู้ สร้างความรู้ สร้างสรรค์ ในขณะเดียวกันก็ทำลายเข้าใจในส่วนลึกของจิตใจเราได้มากที่สุด

ภาษาสร้างความรู้สึก และความรู้สึกสร้าง (หรือไม่ก็ทำลาย) เรา ไม่มีภาษา เราก็ไม่ต่างจากสัตว์ ภาษาคือสิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์สร้างมาในโลกนี้ Language create feeling. Language is the world’s most import thing and it differentiated us from animal.

Life is emptiness

เริ่มต้นวันสุดท้าย การขายคอร์สยังดำเนินต่อไป แต่ดูเหมือนจะลดระดับลงอยู่บ้างเพราะโค้ชบอกว่าวันนี้เราจะคุยกันมากกว่า และวันนี้ตอนห้าโมงเย็นคุณจะได้ทราบถึงเฉลยของทุกสิ่งทุกอย่างของคอร์สนี้ และชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปตลอดกาล คุณต้องอยู่ให้ได้ (แต่ถ้าคุณไม่อยู่จะมี staff โทรไปชวนให้คุณกลับมาเรียนให้ได้ โดยเฉพาะวันสุดท้ายวันนี้) มีการเขียนชื่อในชีทว่าคุณจะชวนใครมาทดลองคอร์สต่อ การแชร์ประสบการณ์ชีวิตและการเรียนรู้จากวันก่อนๆ

เราเข้าใจแล้วว่าเพราะมนุษย์สร้างภาษา ภาษาสร้างความรู้สึก ไม่มีภาษา ไม่มีความรู้สึก เพราะฉะนั้น จริงๆแล้ว ความรู้สึก รัก โลภ โกรธ หลง เศร้า สุข เหงา แค้น น้อยใจ แท้จริงแล้วมีตัวตนจริงๆ หรือไม่ เราสร้างมันขึ้นมาเอง จินตนาการมันขึ้นมาเองหรือไม่ เรารักเขา เขาเกลียดเราไหม จริงๆแล้วมันไม่ได้มีอยู่จริงเลย เพราะเรามีภาษา เราจึงบรรยายความรู้สึก ความนึกคิดนั้นขึ้นมาได้ จริงๆ แล้วชีวิตคือความว่างเปล่า

ชีวิตคือกระดาษขาวแผ่นใหญ่สุดลูกหูลูกตา หากไม่มีภาษาให้ปรุงแต่งความรู้สึกแล้วนั้น ชีวิตนั้นไม่มีอะไรเลย Life is Emptiness. ชีวิต คือ ความว่างเปล่า มันไม่มีอะไร ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรจริงๆ

(ถึงตอนนี้ถ้าใครยังนึกไม่ออกให้จินตนาการ ตอน นีโอ ฝ่าด่านสุดท้ายจนไปถึง สถาปนิก ซึ่งรอบตัวเป็นเหมือนห้องสีขาว แต่ไม่ใช่ห้องสีขาว เพราะมันไม่มีมิติห้องอะไรเลย แค่สีขาว)

When Life is emptiness, you can write every things.

ในเมื่อคุณรู้แล้วว่า ชีวิต คือ ความว่างเปล่า คุณมีสิทธิที่สร้าง หรือเขียนอะไรทั้งหลายในโลกนี้ให้ได้ทั้งหมด ทุกความเป็นไปได้ เรื่องต่างๆ มันไม่ได้เป็นจริง แค่ภาษาสร้างความรู้สึก ความนึกคิดที่ปรุงแต่งจิตคุณ และพาชีวิต การกระทำไปจนเกิดเรื่องนั้นๆ

ชีวิต เต็มไปด้วยความบิดเบือน และการปรุงแต่ง หากมองผ่านให้ได้ว่าอะไรคือสิ่งปรุงแต่ง เราจะมองเห็นสิ่งต่างๆที่เข้ามาในชิวิตอย่างที่มันเป็น คำด่าและคำถูก คือ ลมที่เปล่งออกมาจากปาก กระทบแก้วหู กระดูกทั่งกระดูกโกลน สั่นสะเทือนเข้าไปในสมอง ความโกรธคือสภาพจิตที่วางไว้ให้ถูกแตะ และเราก็บอกจิตเราเองว่าใครแตะจุดนี้ เราจะรู้สึกไม่ถูกใจ เราจะรับไม่ได้ เราจะตะโกน ต่อว่า ตาโต มองไปที่เขา กำหมัด และอาจจะเอาหมัดไปโดนตัวเขา ในทางพุทธศาสนา คือ เมื่อเรามีสมาธิ เราจะรู้ทันจิต เมื่อเรารู้ทันจิต เราจะแยกสภาวะออกจากสิ่งปรุงแต่งจิต และชีวิตไม่มีอะไรเลย นอกจากการปรุงแต่งจิต Life is an Emptiness

หลังมื้อค่ำ เราเริ่มพูดคุยกันถึงสิ่งที่เรียนรู้ในคลาส และระดับการรับรู้ แห่งความลับของจักรวาลที่ไม่มีอะไรเป็นจริง หลายคนยังคงไม่เข้าใจว่า ชีวิตว่างเปล่า แล้วอย่างไร แต่หากใครเคยฝึกการทำสมาธิ จับสิ่งปรุงแต่งจิต มันคือแก่นของพุทธศานา ซึ่งเรารู้ อ่าน ได้ยินพระสอนเรื่องนี้อยู่สม่ำเสมอ แต่มีครั้งไหน หรือบ่อยครั้งแค่ไหน ที่ความเข้าใจของความว่างเปล่าของชีวิตกระจ่างชัดในใจของเราบ้าง

หรือมีเพียงแต่วิธีการที่ประหลาดสุดสุด ทำให้สภาวะจิตเปิดและรับความว่างเปล่าของชีวิตที่แท้จริงได้ หรือคนเราแค่ต้องผ่านความยากของชีวิตจึงเข้าใจเสมือนมันเป็นประสบการณ์ของเราจริงๆ

ผมลงต่อคอร์สของที่นี่อีกหนึ่งหน ซึ่งเป็นคอร์สต่อจากอันนี้ และคอร์สนี้เราจะถูกตามให้มา ให้ทำทุกอย่างที่เขาสั่งให้ทำ ไม่ว่าจะโทรไปชวนคนมาทดลองเรียน โทรไปหาคนที่เราเกลียดเขาตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้ว และขอโทษเขา คุณจะต้องมาเรียน แม้วันนั้นคุณจะป่วย เพราะมีคนเป็นสิบคน โทรไปตามคุณแบบสลับหน้ากันเพื่อให้คุณมาเรียนให้ได้ (คนเหล่านั้นเป็น staff ซึ่งจริงๆ ก็คือคนที่เรียนคอร์สถัดไป ซึ่งเกี่ยวกับการปฏิบัติการเข้าถึงแก่นแท้ ขั้นสุดท้ายของการเรียนรู้ และเปิดชีวิตสู่มิติใหม่) เพราะมันคือ commitment คำมั่นสัญญาที่คุณเขียนไว้ ในสัญญาก่อนการเข้าเรียน(ซึ่งแทบทุกคนไม่ได้อ่าน หรืออ่านแต่ไม่ได้ใสใจ เพราะเราจ่ายเงินมาเรียนนี่นา) ว่าคุณจะมาเรียน และตั้งใจทำทุกอย่างที่โค้ชสอน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม commitment หรือพันธสัญญา ไม่ว่าจะนรก หรือสวรรค์ come hell or high water.

#ผมจบที่คอร์สสอง โดยรักษาคำมั่นสัญญาที่จะไม่แชร์อะไรเลยในที่สาธารณะ และผมไม่อยากต้องโทรไปไล่ตามใครให้มาเข้าเรียน แม้เขาจะป่วยหรือต้องพาแม่ไปหาหมอก็ตาม

#บางทีความรู้ ก็ต้องการวิธีแปลกประหลาด ทั้งน่าเบื่อ และไม่พอใจ เพื่อให้ความรู้นั้นถูกกระชากเข้าไปในความรู้สึก และฝังลงจนเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ และกระจ่างใสอยู่ในสมองของเราตลอดชีวิต มากกว่าการท่องอ่าน หรือการที่คนบอก และไม่เคยหลงเหลืออะไรไว้นอกจากลมที่ผ่านเข้าหู กระทบกระดูกทั่ง กระดูกโกลน นั่นเอง