ThaiPublica > ประเด็นร้อน > COVID-19 พลิกโลก > เรียนรู้จากจีน “ล็อกโควิด-19” ด้วยมาตรการครอบคลุมและมองการณ์ไกล

เรียนรู้จากจีน “ล็อกโควิด-19” ด้วยมาตรการครอบคลุมและมองการณ์ไกล

24 กรกฎาคม 2021


ที่มาภาพ: https://news.cgtn.com/news/2020-01-27/5-million-people-left-Wuhan-before-the-lockdown-where-did-they-go–NACCu9wItW/index.html

ในขณะที่หลายประเทศกำลังประสบกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกแล้วระลอกเล่า จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องและมีผู้เสียชีวิตเป็นรายวัน จีนซึ่งเป็นประเทศแรกที่การระบาดอุบัติขึ้นในปลายปี 2563 กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ โดยเฉพาะเมืองอู่ฮั่น มณฑลเหอเป่ย จุดแรกที่ตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 หลังจากที่ต้องใช้ชีวิตภายใต้การล็อกดาวน์และมาตรการควบคุมที่เข้มงวดกว่า 2 เดือน

สถานการณ์ที่สนามบาสเก็ตบอล สนามแบดมินตัน ยิมเนซียม ที่เคยเต็มไปด้วยเตียงพยาบาล ผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ในชุด PPE กลับมาเต็มไปด้วยผู้ที่มาออกกำลัง โดยไม่ต้องกังวลกับการต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย ขณะเล่นกีฬา เพียงแต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัย เช่น การวัดอุณหภูมิ การล้างมือด้วยแอลกอฮอลล์ และการสแกนคิวอาร์โค้ดสุขภาพ ที่ให้ผลเป็นสีเขียวซึ่งแสดงถึงสถานะสุขภาพ และเป็นตัวกำหนดความเคลื่อนไหวการทำกิจกรรม และเดินทางได้อย่างเสรี

แม้มีการระบาดในบางพื้นที่ และตรวจพบผู้ติดเชื้อเป็นระยะในปีนี้ ทั้งที่อู่ฮั่นเอง หรือเมืองอื่นๆ จากไวรัสกลายพันธุ์เดลต้า แต่จีนก็สามารถควบคุมการระบาดได้

ที่มาภาพ: https://news.cgtn.com/news/2021-05-11/China-enjoying-benefits-of-comprehensive-approach-to-control-COVID-19-10b5nFUS3WU/index.html

เดือนพฤษภาคม 2564 เจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่า จีนกำลังมีความสุขกับประโยชน์ของการใช้มาตรการที่ครอบคลุมในการควบคุมโควิด-19

นายไมค์ ไรอัน กรรมการบริหารโครงการฉุกเฉินด้านสุขภาพของ WHO ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับเทศกาลสตรอเบอร์รี่มิวสิคเฟสติวัลประจำปีของอู่ฮั่นที่ดึงดูดความสนใจของสื่อมวลชนทั่วโลกหลายพันคน เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจากที่จีนฟื้นตัวจากการระบาดครั้งใหญ่

โดยชี้ว่าบางประเทศอย่างเช่น จีน มีอัตราการติดเชื้อที่ต่ำมาก แต่ก็ยังคงมีความระมัดระวังการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนหรือคลัสเตอร์อยู่ นายไรอันกล่าวว่าประเทศเหล่านั้น “จะรับมือได้อย่างรวดเร็วเมื่อพบคลัสเตอร์ใหม่เพื่อรักษาระดับการควบคุมไว้”

ดร.มาเรีย ฟาน เคิร์กโฮฟ หัวหน้าฝ่ายเทคนิคด้านโควิด-19 ขององค์การอนามัยโลก กล่าวว่าประเทศเหล่านั้นได้แสดงให้โลกเห็นว่า “ด้วยมาตรการที่ครอบคลุมและมองการณ์ไกล สามารถลดการระบาดได้จริง ๆ”

ดร. เคิร์กโฮฟ กล่าวว่า “สิ่งที่เราเห็นในอู่ฮั่นและที่อื่น ๆ ทั่วโลก แสดงให้เห็นว่ามาตรการที่ครอบคลุมนี้ สามารถที่จะควบคุมโควิด-19 ได้ แม้จะไม่มีวัคซีนก็ตาม”

มาตรการที่ ดร. เคิร์กโฮฟ สนับสนุนและเห็นด้วย เช่น การตรวจหาเชื้อ การดูแลผู้ป่วยในศูนย์กักตัว การแยกตัวผู้ป่วย ทั้งผู้ป่วยที่มีอาการเพียงเล็กน้อยและไม่แสดงอาการ และสร้างระบบติดตามการสัมผัสเชื้อ

ดร.เคิร์กโฮฟกล่าวว่า สิ่งสำคัญคือ ต้องเตรียมความพร้อม เนื่องจากไวรัสยังคงแพร่กระจายในหลายส่วนของโลก

ป้องกันที่ต้นเหตุ “ล็อกดาวน์-ตรวจหาเชื้อ” สองมาตรการหลัก

ที่มาภาพ: https://theconversation.com/what-other-countries-can-learn-from-chinas-lockdown-policies-153434

มาตรการที่จีนในการสกัดการแพร่ระบาดตั้งแต่ต้นคือการล็อกดาวน์ การตรวจหาเชื้อในวงกว้าง ซึ่งเป็นมาตรการที่นำมาใช้ทุกครั้งที่พบการติดเชื้อ นอกจากนี้ยังได้ใช้มาตรการควบคุมการเคลื่อนไหว จำกัดการเดินทาง ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างในหลายเมือง และการระบาดรอบใหม่ในปี 2564 นี้

  • การล็อกดาวน์ในอู่ฮั่น
  • เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน เริ่มล็อกดาวน์ในวันที่ 23 มกราคม 2563 เวลา 02.00 น. โดยไม่มีเสียงวิจารณ์จากสาธารณะ ทางการสั่งให้หยุดการขนส่งสาธารณะทั้งหมดทั้งภายในและที่จะเข้า-ออกเมืองในเวลา 10.00 น. จากนั้นมีคำสั่งให้หยุดเรียกรถออนไลน์ ปิดอุโมงค์ใต้แม่น้ำแยงซี (ซึ่งตัดผ่านเมือง) และสั่งห้ามใช้ยานยนต์ ทั้งเมืองถูกบังคับให้หยุดชะงัก

    หวัง จิงจุน นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาอายุ 27 ปี ซึ่งเดินทางกลับมาจากมณฑลกวางตุ้งมายังอู่ฮั่น เพื่อกลับมาอยู่กับครอบครัว กล่าวว่า “เราไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ไม่ว่ากรณีใด ๆ ถึงแม้ว่าคุณจะมีสัตว์เลี้ยงก็ตาม คนเลี้ยงสุนัขต้องเล่นกับมันและสอนให้มันใช้ห้องน้ำในจุดใดจุดหนึ่งในบ้าน”

    ทางการจีนได้ทำการตรวจหาเชื้อไวรัสถึงที่พักอาศัย บังคับให้มีการแยกตัวผู้อาศัยไปยังสถานที่กักตัวและโรงพยาบาลชั่วคราว แยกแม้กระทั่งพ่อแม่ออกจากเด็กในผู้ที่แสดงอาการไม่ว่าจะแสดงอาการน้อยแค่ไหนก็ตาม

    นอกจากนี้ผู้ดูแลอพาร์ตเมนต์ขนาดใหญ่ในเมือง ยังถูกบังคับให้ทำหน้าเป็นเหมือนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเฉพาะกิจ ต้องคอยตรวจสอบอุณหภูมิของผู้อยู่อาศัยทุกคน คัดกรองว่าใครสามารถเข้าที่พักอาศัยได้หรือไม่ได้ และตรวจสอบอาหารและยาที่ถูกจัดส่งมาให้

    ขณะที่ข้างนอกจะมีโดรนบินตะโกนเตือนให้ผู้คนกลับเข้าที่พักอาศัยและต่อว่าผู้ที่ไม่สวมหน้ากากอนามัย นอกจากนี้ที่อื่น ๆ ในประเทศจีนยังมีซอฟต์แวร์จดจำใบหน้าที่เชื่อมโยงกับแอปโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะประเมินความเสี่ยงในการติดเชื้อของผู้คนเป็นสีตามระดับความเสี่ยง เพื่อนำมาพิจารณาว่าบุคคลนั้นสามารถเข้าไปในห้างสรรพสินค้า รถไฟใต้ดิน คาเฟ่ และพื้นที่สาธารณะอื่น ๆ ได้หรือไม่

    มีคลิปวิดีโอที่เผยแพร่โดย Australian Broadcasting Corp. ซึ่งเป็นสื่อที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล แสดงให้เห็นว่าทางการของจีนในอู่ฮั่นได้เชื่อมปิดประตูทั้งอาคารอะพาร์ตเมนต์ เพื่อกักตัวผู้อยู่อาศัยให้อยู่ภายในนั้น ซึ่งเป็นภาพที่ถูกรวบรวมจากผู้ใช้โซเชียลมีเดียของจีนที่ไม่สามารถตรวจสอบได้

    ผลลัพธ์จากการสั่งห้ามหยุดการขนส่งคือรัฐบาลเองต้องจัดหาทางเลือกอื่นมารองรับ โดยได้สั่งให้เขตต่าง ๆ จัดหารถขนส่งสำหรับบริการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและแท็กซี่เพื่อใช้งานในชุมชน

    หลังจากหยุดการเคลื่อนไหวได้แล้ว รัฐบาลได้หันไปสร้างโรงพยาบาลและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 และจำแนกประชากรเป็น 4 กลุ่มที่ต้องแยกตัวออกมาจากที่พักอาศัย คือ ผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยัน ผู้ที่ต้องสงสัยว่าติดเชื้อ ผู้ที่มีอาการและผู้ที่สัมผัสกับเชื้อ กลุ่มแรกจะถูกส่งไปเข้ารับการรักษา ส่วนอีกสามกลุ่มที่เหลือจะถูกส่งไปยังศูนย์กักตัว ควบคู่ไปกับมีมาตรการจำกัดการเดินทางของบุคคลที่อยู่นอกเหนือจาก 4 กลุ่มนี้ในทั่วประเทศ

    รัฐบาลได้ให้คนงานในชุมชนและอาสาสมัครตั้งจุดตรวจตลอด 24 ชั่วโมงที่บริเวณทางเข้าในแต่ละย่าน เพื่อลงทะเบียนว่าใครเข้า-ออกบ้าง ซึ่งมาตรการนี้ได้ประโยชน์ถึง 2 ทางคือ ได้จำกัดการเดินทางของประชาชน และช่วยให้รัฐบาลสามารถค้นหาและกักตัวบุคคลที่มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อได้

    มาตรการเหล่านี้จำเป็นต้องระดมคนเป็นจำนวนมาก ทั้งผู้อยู่อาศัยนับไม่ถ้วน คนงานในชุมชน สมาชิกพรรค กองกำลังทหารในพื้นที่ และพนักงานจากรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ เพื่อจัดทีมสำหรับเป็นเจ้าหน้าที่จุดตรวจ ผู้ส่งเสบียง และผู้ที่ไปตามแต่ละบ้านเพื่อถามเกี่ยวกับสุขภาพและการเดินทางของประชาชน

    ทั้งการแบ่งกลุ่มประชาชน การระดมมวลชน การจัดหาทางเลือกอื่นมาแทนที่ให้ประชาชน และการแยกบุคคลที่มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อออกมา เป็นการดึงเอาความสามารถและแนวการปฏิบัติของพรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาลออกมาใช้ มาตรการเหล่านี้เหมาะกับสังคมที่คุ้นเคยกับระบบการปกครองนี้เป็นอย่างดี

  • ปักกิ่งปิดโรงเรียน ล็อกดาวน์ ตรวจหาเชื้อ
  • ที่มาภาพ: https://www.ndtv.com/world-news/coronavirus-in-china-beijing-shuts-city-schools-again-over-new-virus-outbreak-2247347

    นอกจากนี้เพื่อช่วยลดการแพร่ระบาด ปักกิ่งได้ดำเนินการปิดโรงเรียนทั้งหมด บังคับให้ประชาชนนับล้านอยู่ภายในที่พักอาศัย สร้างโรงพยาบาลชั่วคราวขนาดใหญ่กว่า 10 แห่งอย่างรวดเร็ว ส่งเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายพันคนไปยังอู่ฮั่นและพื้นที่โดยรอบมณฑลหูเป่ย์ และทำการตรวจและติดตามทุกคนที่อาจเคยสัมผัสกับไวรัส

    ไม่ใช่เพียงแค่เท่านั้น หวัง หุยเหยา ที่ปรึกษาอาวุโสของรัฐบาลจีนกล่าวกับ USA TODAY ผ่านการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์จากปักกิ่งว่า…

    “ทั้งการล็อกดาวน์ การห้ามชุมนุม การกักตัวขั้นพื้นฐาน การตรวจเชื้อ และการล้างมือ แค่ทั้งหมดนี้ยังไม่เพียงพอ คุณต้องแยกผู้คนออกจากกันในสถานที่ขนาดใหญ่ ในสนามกีฬา ห้องโถงนิทรรศการขนาดใหญ่ ทุกที่ที่คุณทำได้ มันอาจจะดูสุดโต่ง แต่มันได้ผล”

    เขากล่าวว่า “จะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” ซึ่งเป็นสโลแกนของอู่ฮั่น

    จีนตรวจเชื้อโควิด-19 ทุกคนในอู่ฮั่น

    ที่มาภาพ: https://apnews.com/article/wuhan-health-virus-outbreak-international-news-china-70fd3d4ecbb5882ca0ddd50f4f7532ca

    ในเดือนมิถุนายน 2563 หลังจากที่เกิดการระบาดรอบใหม่ในอู่ฮั่น จีนได้หันมาใช้แนวทางการตรวจหาเชื้อในวงกว้าง Mass testing ในอู่ฮั่น ที่เป็นจุดเริ่มต้นของโควิด-19 ซึ่งทางการจีนได้ให้คำมั่นว่าจะตรวจเชื้อคนทั้งเมืองในระยะเวลา 10 วันหลังจากเกิดกลุ่มผู้ติดเชื้อรายใหม่

    อู่ฮั่นมีประชากรถึงประมาณ 11 ล้านคน ดังนั้นการตั้งเป้าที่จะตรวจเชื้อทุกคนใน 10 วันจึงเป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างจะทะเยอทะยาน แต่ก็มีผู้ที่ได้ทำการตรวจไปบ้างแล้วในช่วง 7 วันก่อนเริ่มโครงการการตรวจ Mass testing ครั้งนี้ ซึ่งรวมถึงเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปีก็ไม่ได้รับการยกเว้นจากโครงการการตรวจนี้

    โดยจำนวนที่ต้องตรวจทั้งหมดอาจจะลดลงอีก เนื่องจากมีผู้อยู่อาศัยบางส่วนที่ออกจากอู่ฮั่นก่อนจะเกิดการปิดเมืองในเดือนมกราคม แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีตัวเลขที่ระบุได้แน่นอน

    เขตต่าง ๆ ภายในเมืองอู่ฮั่นเริ่มการตรวจเชื้อในเวลาที่ต่างกัน โดยแต่ละเขตจะเสร็จสิ้นการตรวจหาเชื้อภายใน 10 วันนับจากวันที่เริ่มทำการตรวจ

    ข้อมูลหน่วยงานสาธารณสุขของเมือง ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2563 มีผู้ได้รับการตรวจเชื้อแล้ว 9.9 ล้านคน ถือเป็นจุดสิ้นสุดของโปรแกรมการตรวจเชื้อในครั้งนี้ ซึ่งหากรวมผู้ที่ได้รับการตรวจหนึ่งล้านคนในช่วง 7 วันก่อนที่โครงการนี้จะเริ่มขึ้น คิดเป็นจำนวน 10.9 ล้านคนที่ได้รับการตรวจเชื้อโควิดแล้วจากประชากรทั้งหมด 11 ล้านคน

    การตรวจเชื้อให้ครบนี้ใช้เวลานานกว่า 10 วันตามที่ได้สัญญาไว้ในการประกาศแผนครั้งแรก แต่สามารถตรวจหาเชื้อได้มากถึง 9 ล้านคนหลังจาก 10 วัน ซึ่งเท่ากับประชากรเกือบทั้งหมด ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากในการเพิ่มจำนวนการตรวจเชื้อรายวัน

    จากรายงานของหนังสือพิมพ์ Hubei Daily ก่อนที่จะเริ่มการตรวจแบบ Mass testing มีศูนย์ตรวจทั่วเมืองอยู่ประมาณ 60 แห่ง โดยสามารถตรวจได้สูงสุด 100,000 ครั้งต่อวัน

    ภายในวันที่ 1 มิถุนายน 2563 ทางการกล่าวว่ามีศูนย์ทดสอบกว่า 249 แห่งที่ดำเนินการอยู่ นอกจากนี้ยังมีการระดมทีมเพื่อตรวจเชื้อให้คนชราและผู้พิการหรือกลุ่มเสี่ยงในบ้าน และมีเจ้าหน้าที่มากกว่า 1,450 คน

    โดยอีกวิธีหนึ่งที่นำมาช่วยเร่งคือใช้วิธีการทดสอบแบบกลุ่ม (batch testing method) ซึ่งเป็นการจัดกลุ่มตัวอย่างการตรวจเชื้อแต่ละบุคคลไว้ด้วยกัน โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง 5-10 ตัวอย่างในอู่ฮั่น โดยหากพบผลการตรวจเชื้อในกลุ่มเป็นบวก จะทำการตรวจหาเชื้อทีละตัวอย่าง ทั้งนี้ 25% จากการตรวจหาเชื้อทั้งหมดใช้วิธีนี้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการตรวจหาเชื้อในผู้คนจำนวนมากและมีระดับการติดเชื้อต่ำ เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่จะให้ผลตรวจเชื้อเป็นลบ

    ข้อมูลทางการแสดงให้เห็นว่าวิธีนี้ได้ผลในอู่ฮั่น เนื่องจาก 97% ของชุมชนทั่วทั้งเมืองไม่พบผลการตรวจเชื้อที่เป็นบวก

    เจ้าหน้าที่กล่าวว่าพวกเขาพบเพียง 300 รายที่ผลตรวจเป็นบวก (ทั้งหมดไม่มีอาการ) จากการตรวจเชื้อทั้งหมด และติดตามผู้ติดต่อใกล้ชิดกับคนเหล่านี้อีก 1,174 ราย

    เหอเป่ย แนวคิดเดียวกัน แต่วิธีการใหม่

    มณทลเหอเป่ย์ ซึ่งอยู่ติดกับปักกิ่ง ได้นำแนวคิดเดียวกันนี้ไปปรับใช้ ซึ่ง 3 องค์ประกอบหลักของแนวคิดนี้คือการจำกัดการเดินทาง การบังคับ และการค้นหาผู้มีความเสี่ยง

    ที่เขตเกาเฉิง เมืองฉือเจียจวง มณฑลเหอเป่ย์ มีประชากรมากกว่า 11 ล้าน เป็นศูนย์กลางของการระบาดครั้งใหม่ ได้มีมาตรการห้ามประชาชนและยานพาหนะทั้งหมดออกจากที่นั่น และศาลจังหวัดออกมาเตือนว่าผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมืออาจถูกดำเนินคดีอาญา ขณะเดียวกันเมืองที่ 2 คือเมืองหนานกง ซึ่งมีประชากรกว่าครึ่งล้าน ได้แจ้งเตือนประชาชนว่าห้ามออกจากบ้าน โดยผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกควบคุมตัว

    ในขณะที่ยังคงใช้แนวทางเดิม แต่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายการกักตัว โดยลักษณะของผู้ที่ต้องกักตัวและวิธีการกักตัวมีการเปลี่ยนแปลง จากเดิมที่จะแยกเฉพาะผู้ที่สัมผัสเชื้อ แต่ตอนนี้ผู้ที่สัมผัสกับผู้สัมผัสเชื้อก็ต้องถูกแยกออกมาเช่นกัน ที่ฉือเจียจวงพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 986 ราย แต่ในเกาเฉิงทางการได้สั่งให้หมู่บ้านทั้ง 15 แห่ง ซึ่งมีประชาชนมากกว่า 20,000 คน ย้ายไป “กักตัวแบบรวมศูนย์”

    รัฐบาลได้ทำการสร้างศูนย์กักตัวชั่วคราวให้ เนื่องจากพื้นที่ชนบทไม่มีสิ่งอำนวยความอย่าง เช่น โรงแรมเพียงพอ และเพื่อเป็นการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสภายในหมู่บ้านและในแต่ละครัวเรือน

    นี่เป็นการประยุกต์และปรับเปลี่ยนมาตรการ “แยกทุกคนที่ต้องแยก” ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งประเทศจีน (Chinese Center for Disease Control and Prevention) อธิบายว่าเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของจีน

    โดยคำว่า “ทุกคน” ในกรณีของเกาเฉิง หมายถึงใครก็ตามที่อยู่ในหมู่บ้านที่มีผู้ติดเชื้ออย่างน้อยหนึ่งราย มีเฉพาะหมู่บ้านที่ไม่มีผู้ติดเชื้อเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้กักตัวที่บ้านได้

    ทางการได้ประกาศให้ใช้รูปแบบการกักตัวนี้ทั่วประเทศ รัฐบาลท้องถิ่นต้องจัดทำแผนล่วงหน้าเพื่อจัดหาอาคารให้เพียงพอกับผู้ที่สัมผัสเชื้อและผู้ที่สัมผัสกับผู้สัมผัสเชื้อ โดยในพื้นที่ชนบทพวกเขาต้องเตรียมสร้างศูนย์กักตัวขนาดใหญ่

    หนึ่งปีผ่านไปจีนปิดเหอเป่ยอีกรอบ

      หนึ่งปีหลังจากการระบาดที่อู่ฮั่น จีนล็อกดาวน์เหอเป่ยอีกครั้ง เพื่อป้องกันการระบาดของโคโรนาไวรัส

      จีนล็อกดาวน์มณฑลเหอเป่ย์ ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ และมีประชากร 11 ล้านคน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาที่ร้ายแรงที่สุดในรอบหลายเดือน

      ประชาชนในฉือเจียจวง เมืองหลวงของมณฑล ซึ่งอยู่ใกล้กับปักกิ่ง ถูกกันไม่ให้ออกจากเมือง โดยการปิดทางหลวงสายหลัก ปิดสถานีรถไฟและรถประจำทาง รวมทั้งยกเลิกเที่ยวบิน

      สถานีขนส่งรถโดยสารทางไกลของฉือเจียจวงยังประกาศงดทำการ เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 และจากข้อมูลของ VariFlight เผยว่าเที่ยวบินขาเข้าเกือบ 30% ที่ไปยังฉือเจียจวงถูกยกเลิก

      การล็อกดาวน์เริ่มขึ้น เมื่อพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 117 ราย ซึ่งรวมถึงผู้ที่ไม่แสดงอาการ 67 รายที่ฉือเจียจวง ในวันพุธที่ 6 มกราคม 2564 จากทั่วประเทศที่รายงานการติดเชื้อในท้องถิ่น 123 รายในวันเดียวกันซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม 2563

      ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2564 ตัวเลขจากทางการแสดงให้เห็นว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด 304 รายในเหอเป่ย์ โดยผู้ติดเชื้อส่วนมากอยู่ในฉือเจียจวง ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ห่างจากกรุงปักกิ่งเพียง 180 ไมล์ (289.6 กิโลเมตร) ไปทางตะวันตกเฉียงใต้

      ในงานแถลงข่าวเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2564 เจ้าหน้าที่ของรัฐได้ประกาศห้ามประชาชนและยานพาหนะออกจากฉือเจียจวง ยกเว้นในกรณีฉุกเฉิน

      นอกจากนี้ยังห้ามการรวมกลุ่ม ให้โรงเรียนทุกแห่งงดการเรียนการสอน และปิดพื้นที่สาธารณะในชุมชนและหมู่บ้าน

      โดยข้อบังคับเหล่านี้เป็นหนึ่งในข้อบังคับที่เข้มงวดมากที่สุดในประเทศจีน ตั้งแต่จีนยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในเดือนมีนาคม 2563 และชวนให้นึกถึงการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดระหว่างการระบาดครั้งแรกในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งตรวจพบเชื้อไวรัสโคโรนาครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2562

      การระบาดในฉือเจียจวงเกิดขึ้นก่อนเทศกาลตรุษจีน ซึ่งเป็นเทศกาลสำคัญประจำปีในจีน ที่จะเห็นประชาชนหลายล้านคนเดินทางกลับบ้านเพื่อไปอยู่กับครอบครัว

      ในปีที่แล้วรัฐบาลจีนได้ทำการปิดอู่ฮั่น 2 วันก่อนวันตรุษจีน แต่ประชาชนหลายล้านออกจากเมืองไปแล้ว ซึ่งอาจนำไวรัสติดตัวไปยังบ้านเกิดทั่วประเทศ

      ในปีนี้ เนื่องจากกลัวว่าการเดินทางในช่วงตรุษจีนจะเพิ่มการแพร่กระจายของไวรัสอีกครั้ง รัฐบาลในหลายท้องถิ่นแนะนำให้ประชาชนไม่เดินทางกลับบ้านในช่วงวันหยุดนี้ และสั่งข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจให้อยู่ที่พักเว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ

      ในฉือเจียจวง ทางการประกาศเข้าสู่ “ภาวะสงคราม” เพื่อต่อสู้กับการระบาดของไวรัส และการไล่ตรวจเชื้อโคโรนาไวรัสทั่วทั้งเมืองให้กับประชาชน 11 ล้านราย

      ที่มาภาพ: https://www.ctvnews.ca/health/coronavirus/a-year-after-wuhan-china-locks-down-another-city-of-11-million-people-to-contain-coronavirus-flare-up-1.5258811

      โดยนำเจ้าหน้าที่สาธารณะสุขมากกว่า 3,000 รายจากส่วนอื่น ๆ ของมณฑลมาทำการระดมตรวจหาเชื้อ ซึ่งในช่วงเที่ยงของวันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม 2564 ได้มีการเก็บตัวอย่างไปมากกว่า 6 ล้านตัวอย่าง และมากกว่า 2 ล้านตัวอย่างที่ได้ทำการตรวจเชื้อแล้ว รองนายกเทศมนตรี เหมิง เซียงหง กล่าวในงานแถลงข่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม 2564 ว่า จากการระดมตรวจหาเชื้อโคโรนาไวรัสพบ 11 รายที่มีผลเป็นบวก

      ในคืนวันที่ 7 มกราคม 2564 ทีมแพทย์ 2 ทีม แต่ละทีมมีสมาชิกประมาณ 100 คน นำชุดตรวจและอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ถูกส่งมาจากมณฑลเจียงซูและมณฑลเจ้อเจียงไปยังฉือเจียจวงเพื่อช่วยดำเนินการตรวจ

      นอกจากนี้ เหมิง กล่าวว่าโรงพยาบาลในเมืองอีก 3 แห่งถูกเตรียมไว้เพื่อรักษาผู้ป่วยโควิด-19

      มาตรการที่เข้มงวดและรวดเร็ว เช่น การระดมตรวจหาเชื้อ การติดตามผู้ที่สัมผัสเชื้ออย่าครอบคลุม และการล็อกดาวน์ที่เข้มงวด ทำให้จำกัดการรับมือต่อการระบาดในพื้นที่ของจีนเป็นระยะ ๆ

      เมื่อเดือนตุลาคม 2563 ที่ชิงเต่า เมืองท่าทางตะวันออก ได้มีการตรวจหาเชื้อให้แก่ประชาชนมากกว่า 10 ล้านราย ในเวลาเพียง 4 วัน มีผู้ติดเชื้อในท้องถิ่นมากกว่า 12 ราย

      ในช่วงปลายเดือนตุลาคม เมืองคัชการ์ ในเขตการปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ได้ระดมตรวจหาเชื้อให้กับประชาชนเกือบ 5 ล้านรายและบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์หลังจากรายงานว่าพบผู้ติดเชื้อโคโรนาไวรัสที่ไม่แสดงอาการเพียงคนเดียว

    กวางโจว ล็อกดาวน์ – Mass Testing

    ที่มาภาพ: https://www.scmp.com/news/china/science/article/3136378/coronavirus-18-million-tests-three-days-guangzhou-tries-stem

    การระบาดระลอกใหม่ที่ตรวจพบโควิดสายพันธุ์เดลต้าในเมืองใหญ่ของจีน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2564 จีนยังคงใช้การล็อกดาวน์ และตรวจหาเชื้อให้ได้มากที่สุด

    ที่เมืองกวางโจว มณฑลกวางตุ้ง ทางตอนใต้ของประเทศจีน เจ้าหน้าที่ได้ดำเนิน การตรวจหาเชื้อแบบ Mass testingหรือการพยายามตรวจหาผู้ติดเชื้อให้ได้มากที่สุดและล็อกดาวน์พื้นที่เพื่อพยายามควบคุมการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส

    ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์เดลต้าที่พบครั้งแรกในอินเดีย ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในช่วงหลังของเดือนพฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลต้ามีความสามารถในการแพร่เชื้อได้สูง

    กวางโจวมีประชากรมากกว่า 15 ล้านคนและเป็นเมืองศูนย์กลางของมณฑล พบผู้ติดเชื้อ 96 รายจากจำนวนผู้ติดเชื้อในมณฑลกวางตุ้งจำนวน 100 รายในการระบาดครั้งล่าสุด

    โดยจีนเป็นประเทศแรกที่พบไวรัสโคโรนา ในปลายปี 2562 แต่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว และมีผู้ป่วยน้อยมากในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามมีคลัสเตอร์ปรากฎขึ้นในบางพื้นที่ของจีน รวมถึงเมืองใหญ่ ๆ เช่น เมืองหลวงปักกิ่ง และศูนย์กลางการเงินอย่างเซี่ยงไฮ้

    แต่ในกรณีของกวางโจวนั้นน่าเป็นห่วงกว่ามากเพราะเป็นไวรัสสายพันธุ์เดลต้า ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว

    ในลี่วาน ซึ่งเป็นอำเภอหนึ่งในกวางโจว ถือเป็นอำเภอที่มีการระบาดรุนแรงที่สุด ได้มีการออกมาตรการล็อกดาวน์ถนนบางสายอย่างเข้มงวด บางพื้นที่ไม่อนุญาตให้คนออกจากเขตพื้นที่และไม่อนุญาตให้ผู้อยู่อาศัยออกจากอาคาร ซึ่งจะมีการจัดตั้งจุดตรวจตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อติดตามการเคลื่อนไหวเข้าและออกจากพื้นที่เหล่านี้ รวมถึงร้านอาหารและสถานบันเทิงก็ถูกปิดด้วย

    แต่ไวรัสยังแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของเมืองและมณฑล ฝอซานเมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ของกวางโจวได้รายงานว่าพบผู้ติดเชื้อ นอกจากนั้นเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2564 สมาชิกในครอบครัวหนึ่งจำนวน 6 รายในเขตหนานซาของกวางโจว มีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวก และมีการพบผู้ป่วยที่ผลตรวจเป็นบวกในศูนย์กลางเทคโนโลยีของจีนในเซินเจิ้น ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทต่าง ๆ เช่น Huawei และ Tencent

    การตรวจหาเชื้อให้ได้มากที่สุดและการจำกัดการเดินทางหลังจากพบผู้ติดเชื้อรายแรก กวางโจวได้เริ่มทำการตรวจแบบ Mass testing ในลี่วาน ซึ่งต่อมาก็ได้ขยายไปยังพื้นที่อื่น ๆ

    ในอำเภอศูนย์กลางธุรกิจอย่างย่านเมืองใหม่ หรือ Zhujiang New Town ผู้อยู่อาศัยถูกขอให้ทำการตรวจเชื้อที่จุดตรวจใกล้อพาร์ตเมนต์ของพวกเขาระหว่างวันศุกร์ถึงวันอาทิตย์

    มีจุดตรวจตั้งอยู่บนถนนที่เต็มไปด้วยบาร์และร้านอาหาร และมีคิวตรวจจำนวนมากในวันศุกร์

    ระหว่างวันที่ 26 พฤษภาคมถึงเที่ยงคืนในวันที่ 5 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา กวางโจวได้ทำการตรวจทั้งหมดมากกว่า 16 ล้านครั้ง

    ในกวางโจว ทางการได้กำหนดข้อจำกัดการเดินทางที่เข้มงวดยิ่งขึ้น สถานีรถไฟใต้ดินบางแห่งในเมืองปิดให้บริการ ทางการได้เรียกร้องให้ประชาชนอย่าออกจากเมือง แต่ถ้าหากจำเป็นต้องออกจากจังหวัด ควรมีผลตรวจกรดนิวคลีอิกเป็นลบภายใน 48 ชั่วโมงก่อนออกเดินทาง ซึ่งก่อนหน้านี้กำหนดว่าภายใน 72 ชั่วโมง

    นอกจากนี้เที่ยวบินภายในประเทศหลายร้อยเที่ยวบินก็ถูกยกเลิกจากสนามบินนานาชาติไป่หยุนในกวางโจว

      กวางโจวสร้างห้องแล็ปตรวจโควิด-19 ได้ 1.5 ล้านตัวอย่างต่อวัน

      ในคืนวันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน 2564 จีนได้ติดตั้งห้องปฏิบัติการความปลอดภัยทางชีวภาพแบบเป่าลม หรือเรียกว่า หัวเหยี่ยน ที่แปลว่าดวงตาไฟ ที่สามารถตรวจโควิด-19 ได้มากที่สุดภายใน 10 เพื่อทำการตรวจโควิด-19 ฉุกเฉินในกวางโจว เมืองหลวงของมณฑลกวางตุ้งทางตอนใต้ของจีน

      ห้องปฏิบัติการนี้สามารถ ตรวจได้ถึง 150,000 กลุ่มตัวอย่างต่อวัน ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงที่สุดในประเทศ โดยใช้วิธีการตรวจแบบ 10 in 1 ซึ่งหมายถึงจะทำการตรวจเป็นกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มละ 10 ตัวอย่างพร้อมกัน ถ้าหากผลการตรวจเป็นบวก จะทำการตรวจซ้ำทีละตัวอย่าง วิธีการนี้เป็นการเร่งกระบวนการตรวจทำให้ความสามารถในการตรวจหาเชื้อเพิ่มเป็น 1.5 ล้านตัวอย่างต่อวัน

      โดยห้องปฏิบัติการนี้ประกอบด้วยฟองอากาศแบบเป่าลม 15 อันที่ติดตั้งเครื่องมืออัตโนมัติเพื่อทำการทดสอบกรดนิวคลีอิกตลอดทั้งวันโดยไม่หยุดพัก

      โครงสร้างพื้นฐานเป็นห้องปฏิบัติการระดับ P2 สำหรับโควิด-19 มีระบบการไหลของอากาศแบบเที่ยวเดียวและทำจาก PVC ซึ่งมีคุณสมบัติยับยั้งการติดไฟ ทนทาน และมีเสถียรภาพ

      โครงสร้างบอลลูนปิดผนึกอย่างดี เคลื่อนย้ายและติดตั้งได้ง่าย เหมาะสำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน

      ที่มาภาพ: https://news.cgtn.com/news/2021-06-05/China-builds-nucleic-acid-testing-lab-in-10-hours-in-Guangzhou-10QpS4W6IXm/index.html

      กว่า 30 ประเทศและหลายภูมิภาคได้เปิดตัวและสร้างห้องปฏิบัติการหัวเหยี่ยนเพื่อต่อสู้กับโควิด-19 แล้ว อย่างเช่นซาอุดีอาระเบีย บรูไน เซอร์เบีย เอธิโอเปีย โตโก เบนิน กาบอง และคาซัคสถาน

      โดยคณะกรรมการสุขภาพของมณฑล กล่าวว่า มณฑลกวางตุ้งพบผู้ป่วยโควิด-19 ในท้องถิ่นรายใหม่ 11 ราย และผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการในท้องถิ่นรายใหม่อีก 3 รายเมื่อวันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา

      อย่างไรก็ตามจีนได้ปิดห้องปฏิบัติการตรวจเชื้อไวรัสแบบเป่าลมในกวางโจวไปแล้ว แต่การต่อสู้กับโควิด-19 ในมณฑลกวางตุ้งยังไม่สิ้นสุด

      นายแพทย์จง หนานซาน นักระบาดวิทยาชั้นนำของจีนกล่าวว่า…

      “เรายังคงต้องเฝ้าระวังกันต่อไป และในขณะเดียวกันเราก็ต้องเรียนรู้จากประสบการณ์เมื่อเดือนที่แล้ว เพื่อวางรากฐานที่ดีกว่าในการต่อสู้กับไวรัสครั้งต่อไป เนื่องจากมณฑลกวางตุ้งยังอยู่ภายใต้แรงกดดันจากผู้ติดเชื้อที่เข้ามา”

      ห้องปฏิบัติการชั่วคราวถูกสร้างขึ้นในกวางโจวยิมเนเซียม (Guangzhou Gymnasium) โดย Guangzhou KingMed Diagnostics Group ซึ่งเป็นระบบตรวจที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความสามารถในการตรวจกรดนิวคลีอิก โดยถูกปิดในวันพุธที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากมีตัวอย่างการตรวจกรดนิวคลีอิกถึง 1.5 ล้านตัวอย่างภายในหนึ่งเดือน

      นอกจากนี้ นายแพทย์จง ยังกล่าวอีกว่า “ประสบการณ์ในการต่อสู้กับโควิด-19 ของกวางโจวในครั้งล่าสุดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความพยายามในการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดในระดับโลก”

      การตรวจกรดนิวคลีอิกด้วยความเร็วสูง ความหนาแน่นสูง และคุณภาพสูงทั่วทั้งเมือง และการติดตามประชาชนกลุ่มหลัก ๆ โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมการระบาด

      “ห้องปฏิบัติการมีบทบาทสำคัญในการคัดกรองบุคคลที่ต้องสงสัยว่าติดเชื้อไวรัสภายในระยะเวลาอันสั้น”

      โดยห้องปฏิบัติการนี้เชื่อมโยงกับห้องปฏิบัติการสำนักงานใหญ่ของ Guangzhou KingMed และประกอบด้วยพื้นที่สำหรับการเตรียมสารเคมี การประมวลผลตัวอย่าง และทำการวิเคราะห์แบบเพิ่มจำนวน สามารถรับตัวอย่างได้ตลอด 24 ชั่วโมงและออกผลใน 6-10 ชั่วโมง

      นายแพทย์จง กล่าวว่า “กว่าครึ่งของผู้ป่วยโควิด-19 ที่ได้รับการยืนยันในกวางโจวถูกตรวจพบหลังจากทำการตรวจกรดนิวคลีอิกหลายรอบ”

    เรียนรู้จากจีน

    นายแพทย์จง หนานซานกับทีมสร้างห้องปฏิบัติการที่กวางโจว ที่มาภาพ: https://www.chinadaily.com.cn/a/202107/02/WS60def266a310efa1bd65f754.html

    ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ เผชิญกับการล็อกดาวน์ครั้งใหม่ มาตรการที่ประสบความสำเร็จของจีนทั้งการกักตัวทุกคนที่มีความเสี่ยงติดเชื้อ และการกักตัวแบบรวมศูนย์เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อในครัวเรือน ทำให้ประเทศอื่น ๆ ต้องกลับมาไตร่ตรองมาตรการของตนเอง

    มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของจีน ทั้งการแบ่งกลุ่มประชากร การค้นหาผู้ที่เสี่ยงติดเชื้อ การปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวด และการประสานงานของรัฐบาลในทุก ๆ ด้าน ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยประชาชนชาวจีนถือว่ามีบทบาทสำคัญ และหัวใจหลักของการรับมือกับการระบาดของจีนคือการที่รัฐบาลเป็นผู้ออกคำสั่งและจัดการ

    นายแอนดี้ มอก นักวิจัยที่ศูนย์จีนและโลกาภิวัตน์ (The Center for China and Globalization: CCG) ซึ่งเป็นหน่วยงานสาธารณะที่เป็นคลังความคิด ตั้งอยู่ในปักกิ่งกล่าวว่า “ที่อู่ฮั่นมันไม่ใช่เป็นการกักตัวด้วยกันทั้งครอบครัว แต่เป็นการแยกตัวบุคคลออกมาจากครอบครัวและเพื่อนของพวกเขา”

    “การรับมือกับการระบาดของจีนเป็นรับมือระดับประเทศอย่างแท้จริง เป็นระบบ ครอบคลุม และมีการประสานงานกัน นี่คือเหตุผลที่จีนสามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อได้อย่างรวดเร็ว”

    นายมอกกล่าว โดยอ้างถึงมาตรการกักตัวทางสังคมที่ทำเพื่อควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อให้อยู่ในระดับที่โรงพยาบาลและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์รับไหว

    นายมอกยังกล่าวอีกว่า แม้ว่าปักกิ่งจะห่างจากอู่ฮั่นถึง 750 ไมล์ แต่กฎเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาก็ถูกบังคับใช้ โดยบังคับให้ผู้อยู่อาศัยต้องได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการในการเข้าและออกจากอาคารอพาร์ตเมนต์และบ้านของพวกเขา ที่จุดสูงสุดของการระบาดในอู่ฮั่น ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าหรือออกจากเมือง และในการเข้าร้านขายอาหารก็ถูกจำกัดให้เข้าได้แค่ทุก ๆ 2-3 วัน

    อย่างไรก็ตามมีคนที่ไม่พอใจกับมาตรการรับมือที่เข้มงวดของจีน เจน เรนเดอส์ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาวัย 29 ปี ที่ศึกษาการเมืองอยู่ที่มหาวิทยาลัยครูกลางของจีน (Central China Normal University: CCNU) ในอู่ฮั่น ถูกส่งตัวทางอากาศกลับบ้านในเบลเยียมเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 กล่าวว่าการดำเนินการของจีนนั้น “โหดร้ายเกินไป” และขาดความโปร่งใส

    “ในอู่ฮั่น เมื่อทุกอย่างเข้าสู่การล็อกดาวน์ ไม่มีใครสามารถเข้าหรือออกไปไหนได้ และนั่นรวมถึงผู้ป่วยด้วย มีโรงพยาบาลที่ผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล และฉันแน่ใจว่ามีผู้เสียชีวิตเพราะไม่สามารถย้ายพวกเขาไปที่โรงพยาบาลอื่นที่มีที่ว่างได้”

    ในอีกด้านหนึ่ง นายเอ็ดเวิร์ด ซี ผู้ก่อตั้ง Gao Feng Advisory Co., ในฮ่องกง ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการจัดการ ที่มีรากฐานในจีนแผ่นดินใหญ่ กล่าวว่า ในความรู้สึกของเขานั้น โดยรวมแล้วคนส่วนใหญ่ในประเทศจีนสนับสนุนมาตรการที่เข้มงวดของรัฐบาล รวมถึงการแยกตัวออกจากกันอย่างเป็นระบบ และการกักตัวผู้ที่เป็นพาหะของไวรัส แม้ว่าพวกเขาจะมาจากครอบครัวเดียวกัน หรือมีการติดเชื้อเล็กน้อย หรือเพียงแค่ต้องสงสัยก็ตาม

    “การกักตัวคือกุญแจสำคัญ” เขากล่าว “มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะทำอย่างไร รัฐบาลจีนได้ตัดสินใจที่จะทำในบางวิธี ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ”

    บล็อกเกอร์ชาวอังกฤษโพสต์วิดีโอบนแพลตฟอร์ม Weibo อธิบายว่าจีนใช้นโยบาย “ling jiechu” ซึ่งแปลว่า “ไร้การสัมผัส” โดยมีมาตรการให้คณะกรรมการในละแวกบ้านรับผิดชอบทำการชอปปิงและมาส่งมอบของให้ผู้อาศัย การขึ้นทางหลวงโดยไม่ต้องเสียค่าผ่านทางและไม่จำกัดจำนวนรถบนถนน สำหรับผู้ที่ไม่มีรถ มีเปลี่ยนแปลงเส้นทางรถประจำทางให้เหมาะกับความต้องการ โดยสามารถซื้อตั๋วผ่านทางแอปบนสมาร์ทโฟน และลดความจุผู้โดยสารลง 50% ร้านอาหารหลายแห่งมีการติดตั้งระบบมู่เลย์เพื่อรักษาระยะห่างระหว่างพนักงานกับลูกค้า

    สหราชอาณาจักร ได้นำนโยบายจากจีนมาปรับใช้ ในการอภิปรายสาธารณะ มีการอภิปรายถึงเงินพิเศษพร้อมกับความรับผิดชอบและทางเลือกของแต่ละบุคคล หากมีการขอ (ไม่บังคับ) ให้ชาวสหราชอาณาจักรกักตัว พวกเขาจะต้องมีความพร้อมทางการเงินที่จะทำด้วย การกักตัวอยู่บ้านต้องมีความสะดวก โดยจะต้องให้คำแนะนำที่ชัดเจนและปฏิบัติได้ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อภายในครัวเรือน และหากต้องพิจารณาการกักตัวแบบรวมศูนย์ จะต้องมีการอภิปรายเกี่ยวกับมาตรการสนับสนุนเพื่อให้ประชาชนปฏิบัติตาม

    นี่คือการเรียนรู้จากประเทศจีน ในปีแห่งการล็อกดาวน์