ThaiPublica > เกาะกระแส > ซีไอเอ็มบี ไทยลดเป้า GDP ปี’64 เหลือ 1.3% ชี้มี 4 ปัจจัยเสี่ยง

ซีไอเอ็มบี ไทยลดเป้า GDP ปี’64 เหลือ 1.3% ชี้มี 4 ปัจจัยเสี่ยง

1 กรกฎาคม 2021


วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทยจัดบรรยายสรุปภาวะเศรษฐกิจ ผ่านระบบออนไลน์ โดย ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า จากการระบาดของโควิด -19 ระลอก 3 ที่มีแนวโน้มยาวนาน ประกอบกับการฉีดวัคซีนล่าช้า หรือวัคซีนยังมีประสิทธิภาพไม่เต็มที่ มีผลต่อเนื่องให้การระบาดของโควิด-19 ระลอกอื่นๆ กำลังจะเกิดขึ้นตามมา

ขณะเดียวกัน ไวรัสกลายพันธุ์ และปัจจัยการฟื้นตัวของตลาดโลก สำนักวิจัยฯ จึงได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจปี 2564 ลงจาก 1.9% เหลือ 1.3% และปี 2565 ลงจาก 5.1% เหลือ 4.2%

การใช้เงิน 1 ล้านล้านบาทของรัฐบาลที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นลักษณะโครงการเงินโอน ผ่านมาตรการที่พยุงการบริโภคเอกชน และการใช้จ่ายอีก 5 แสนล้านก็มีลักษณะที่คล้ายกัน แต่โจทย์สำคัญคือเงินไปซื้อวัคซีนเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว อย่างไรก็ตามคาดว่ารัฐบาลคงต้องมีมาตรการเพิ่มเติม เพราะปัจจุบันการบริโภคหายไป แม้มีการใช้มาตรการจากประกันสังคมซึ่งช่วยได้ระยะสั้น

ดร.อมรเทพคาดว่า การระบาดและการติดเชื้อน่าจะลดลงในไตรมาสสี่ แต่การบริโภคจะไม่โดดเด่นเหมือนในไตรมาสสามหลังจากการเปิดเมืองในปีที่แล้วและมีผลให้เศรษฐกิจหดตัวน้อยลง เนื่องจากการระบาดรอบนี้มีการติดเชื้อสูง รายได้ยังไม่ฟื้นตัว ต้องให้รายได้ของหลายภาคฟื้นตัวดีขึ้น แต่อย่างน้อยรายได้ภาคเกษตรยังช่วยประคองเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง

นอกจากเศรษฐกิจไทยจะเติบโตช้า (Slow) ยังเผชิญ 4 ปัจจัยเสี่ยงเสริมเข้ามา ได้แก่ 1. Stagnant 2. Uneven 3. Reverse 4. Effective จึงขอเรียกเศรษฐกิจไทยช่วงนี้ว่า Slow But S.U.R.E.

S = Stagnant นิ่ง เพราะการใช้จ่ายที่ ซึมและนิ่ง
การบริโภคภาคเอกชนโตช้า จากความมั่นใจที่อยู่ระดับต่ำ คนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย จากความระมัดระวัง การเดินทางในประเทศยังซึม เพราะขาดความมั่นใจ และการแพร่ระบาดที่สูง

U = Uneven ความไม่เท่าเทียม การฟื้นตัวในระดับที่ต่างกัน
กลุ่มคนรายได้น้อย กลุ่ม SME กลุ่มคนประกอบอาชีพอิสระ ฟื้นตัวช้า ขณะที่มนุษย์เงินเดือน กลุ่มคนทำงานภาคอุตสาหกรรม ฟื้นตัวตามตลาดโลก ตามภาคการส่งออก ส่วนภาคการผลิต ฟื้นตัวได้มากกว่าภาคบริการ สำหรับประเทศไทยในภาพรวม ฟื้นตัวตามการส่งออก ได้มากกว่าอุปสงค์ในประเทศ

R = Reverse กลับด้าน การเปลี่ยนมุมมองด้านโลกาภิวัตน์ (reversed globalization)
สงครามการค้าสหรัฐ-จีน ทวีความกดดันขึ้นอีกครั้ง หลังเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ G7 ร่วมมือกันกดดันจีน ไม่ให้จีนเติบโตเป็นยักษ์ใหญ่แทนที่สหรัฐ และขยับจากสงครามการค้ารูปแบบภาษี เป็นกดดันการเติบโตทางเทคโนโลยีของจีน อีกทั้งขีดเส้นให้ชาติอื่นๆ ต้องเลือกข้าง ระหว่างสหรัฐ ชาติพันธมิตรสหรัฐ หรือจีน ส่งผลให้ประเทศตลาดเกิดใหม่ เผชิญปัญหาต้นทุนการผลิต ต้นทุนทางเทคโนโลยีสูงขึ้น เรามองว่า ประเทศไทยต้องระมัดระวัง ไม่เลือกข้าง และควรสานสัมพันธ์ความร่วมมือกับทั้ง 2 ชาติ มหาอำนาจ

E = Effective ประสิทธิภาพของวัคซีน
การวางแผนฉีดวัคซีนให้ถึง 100 ล้านโดส สิ่งที่ต้องติดตามเพิ่มเติมคือ วัคซีนที่เราได้รับวันนี้ สามารถป้องกันไวรัสกลายพันธุ์ได้หรือไม่ และหากฉีดครบ 2 โดสแล้ว จำเป็นต้องฉีดโดสที่ 3 ที่ 4 หรือโดสอื่นๆ เพื่อกระตุ้นต่อเนื่องไหม เราจึงอยากเห็นการวางแผนเพิ่มเติมในจุดนี้ รวมถึงเร่งดำเนินการเชิงรุกในการกระจายความเสี่ยงของชนิดวัคซีน เพราะนอกจากมีความสำคัญทางการแพทย์ วัคซีนยังมีผลต่อเศรษฐกิจด้วย วัคซีนสะท้อนความเชื่อมั่นของคน หากคนไม่มั่นใจในประสิทธิภาพ แม้ฉีดแล้วยังไม่กล้าเดินทาง หรือยังถอดหน้ากากไม่ได้ เดิมคาดว่ากิจกรรมเศรษฐกิจจะกลับมาเปิดได้ในเดือนสิงหาคมนี้ อาจถูกเลื่อนออกไป

“4 ข้อนี้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ ปีหน้า โตช้า กว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า แต่ไม่รุนแรงถึงขั้นพาเศรษฐกิจไทยกลับไปสู่ภาวะวิกฤต” ดร.อมรเทพ กล่าว

อย่างไรก็ดี ยังมีความหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นเร็วกว่าที่คาด หากมี 4 ปัจจัยเร่ง ได้แก่ 1. Confidence 2. Agriculture 3. Return of tourists 4. Expenditure

C = Confidence สร้างความเชื่อมั่น หากมีการเร่งฉีดวัคซีนโดยเร็ว ควบคู่ไปกับเอกชนเข้าถึงวัคซีนทางเลือกรวดเร็ว คนจะกลับมามีความเชื่อมั่นอีกครั้ง

“รัฐบาลต้องสร้างความเชื่อมั่น มาตรการต้องดำเนินการให้ประคองกำลังซื้อของคน รวมทั้งควบคุมการติดเชื้อ ไม่ให้ระบบสาธารสุขล่ม เรากำลังแข่งกับเวลา หลายธุรกิจเอสเอ็มอีกำลังขาดรายได้ต้องเลิกจ้าง การดำเนินมาตรการต้องเร่งให้เร็ว รวมทั้งต้องมีมาตกรช่วยคนประกอบอาชีพอิสระ ต้องใช้ข้อมูลที่มีจากการที่ให้ประชาชนลงทะเบียนในโครงการต่างๆให้เป็นประโยชน์ เพราะเม็ดเงินมีจำกัด โจทย์คือต้องหาคนที่โดนผลกระทบที่ตรงจุด ให้ช่วยได้อยู่ในระยะสั้น โจทย์ที่สำคัญคือวัคซีนรับมือไวรัสกลายพันธ์”

A = Agriculture ฟื้นแรงงานภาคเกษตร หลังปิดกิจกรรมเศรษฐกิจ คนย้ายถิ่นฐานกลับบ้าน หากเร่งการฟื้นตัวของแรงงานกลุ่มนี้โดยเสริมการจ้างงานในชนบทให้สร้างสาธารณูปโภคในพื้นที่เพื่อกักเก็บน้ำและป้องกันน้ำท่วมได้ จะยิ่งเป็นแรงหนุน เพราะเป็นโชคดีที่รายได้ภาคเกษตรปีนี้ถือว่าดี จากราคาที่สูงและผลผลิตมาก

R = Return of Tourists เตรียมแผนรับนักท่องเที่ยวปีหน้า เร่งทำ Bubble Tourism กับต่างประเทศเพื่อลดการกักตัวสำหรับผู้ได้รับวัคซีน แม้ปีนี้เราจะเตรียมความพร้อมและทดลองผ่าน Sandbox แต่ปีหน้าหลังมีวัคซีนที่ดีพร้อม เราจะสามารถมีรายได้การท่องเที่ยวเป็นตัวหลักฟื้นเศรษฐกิจได้

สำหรับโครงการภูเก็ตแซนด์บอกซ์ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลที่จะเกิดขึ้น โดยกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ส่วนใหญ่ คือ โรงแรม ส่วนกลุ่มที่ได้รับประโยชน์เล็กน้อย คือ กลุ่มธุรกิจการค้าต่างๆ เนื่องจากประเทศจีนยังไม่มีมาตรการให้ประชาชนเดินทางออกนอกประเทศ แต่คาดว่าในปีนี้จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 4-5 แสนคนเท่านั้น

E = Expenditure เร่งการใช้จ่ายภาครัฐให้ตรงจุด บรรเทาปัญหาแรงงานด้วยการเร่งประกันสังคมชดเชยรายได้ ดูแล SME ให้สามารถจ่ายเงินเดือนพนักงาน มีค่าชดเชยรายได้ที่หาย หรือเครดิตเงินคืนภาษีในปีต่อๆไป พร้อมเร่งอัดฉีด Soft Loan เสริมสภาพคล่องไม่ให้ธุรกิจต้องปิดตัว หากรัฐกังวลหนี้ชนเพดาน ก็ให้หาทางเพิ่มรายได้ เช่นปล่อยเช่าทรัพย์สิน หรือใช้ตลาดทุนในการขายหุ้นรัฐวิสาหกิจบางส่วน แล้วพอเศรษฐกิจฟื้นมีรายได้ค่อยมาซื้อคืน

“ทั้ง 4 ปัจจัยนี้ สร้างความเชื่อมั่น เตรียมแผนล่วงหน้า คู่ขนานไปกับงบประมาณใช้จ่ายภาครัฐ จะช่วยประคองกำลังซื้อของคนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ และช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทยได้ในปีหน้า” ดร.อมรเทพ กล่าว