ThaiPublica > คนในข่าว > “บ้านปู” รับเมกะเทรนด์ เปลี่ยนผ่านด้วย “Banpu Heart” Transform to Sustainability

“บ้านปู” รับเมกะเทรนด์ เปลี่ยนผ่านด้วย “Banpu Heart” Transform to Sustainability

22 มีนาคม 2021


“สมฤดี ชัยมงคล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)

หากจะกล่าวถึงผู้นำหญิงในแวดวงธุรกิจ ชื่อของ “สมฤดี ชัยมงคล” น่าจะเป็นคนแรกๆ ที่หลายคนนึกถึง ซึ่งนอกจากจะเป็น CEO หญิงหนึ่งเดียวในธุรกิจพลังงาน เธอยังเป็นตำนานที่มีชีวิตของ “บ้านปู” ในฐานะลูกหม้อที่ทำงานกับที่นี่เป็นแห่งแรกและแห่งเดียว จากตำแหน่งพนักงานต้อนรับจนถึงตำแหน่งผู้นำสูงสุดขององค์กร กับภารกิจล่าสุดในการนำทัพการเปลี่ยนผ่านจากธุรกิจถ่านหินสู่การเป็น “บริษัทพลังงานแห่งอนาคต” ในวันนี้เมื่อถูกถามถึงกุญแจของการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดใจว่า “บ้านปู transform ได้ด้วยหัวใจที่แข็งแกร่งของคนบ้านปู”

Banpu Heart วัฒนธรรมองค์กร คือจุดเริ่มต้นที่แข็งแรง

“สมฤดี” เล่าว่า บริษัทให้ความสำคัญกับ “วัฒนธรรมองค์กร” ตั้งแต่ยุค “ชนินทร์ ว่องกุศลกิจ” ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารคนแรกที่ได้วางรากฐานไว้ จนวันนี้บริษัทขยายฐานการลงทุนไปในหลายประเทศ ความท้าทายของบ้านปู คือ การทำอย่างไรให้คนทำงานใน 10 ประเทศ อยู่บนเป้าหมายเดียวกัน และมีความมุ่งมั่นที่จะไปสู่วิสัยทัศน์เดียวกัน การมีวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งที่เรียกว่า Banpu Heart จึงสำคัญ และทำให้คนบ้านปูมีเป้าหมายที่ชัดเจนร่วมกันและร่วมแรงร่วมใจกัน

“หนึ่งในดีเอ็นเอที่แข็งแกร่งของบ้านปู คือ ความยืดหยุ่น (resilient) บุคลากรของบ้านปูทุกคนพร้อมจะเรียนรู้ที่จะตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงทีเสมอ ไม่ว่าจะอยู่สภาวะที่ท้าทาย หรือแม้แต่ในภาวะวิกฤติ”

ยิ่งไปกว่านั้น การที่บ้านปูให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนใน “ระดับนโยบาย” มายาวนานมากกว่า 15 ปี ทำให้การพัฒนามาตรฐานการทำงานในเรื่องนี้ได้รับการใส่ใจอย่างจริงจัง นับตั้งแต่การดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม การดำเนินธุรกิจด้วยหลักธรรมาภิบาล และการบริหารจัดการที่มุ่งสร้างดุลยภาพระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยนำหลักการทั้งในระดับประเทศและระดับสากลมาปรับใช้ในการกำหนดกลยุทธ์ด้านการพัฒนาความยั่งยืน เช่น การนำ Sustainable Development Goals (SDGs) ของสหประชาติ มาประกอบการกำหนดประเด็นของการพัฒนาที่ยังยืนขององค์กร ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนมาสู่การกำหนดวิสัยทัศน์ของบ้านปูที่จะเป็น “บริษัทพลังงานแห่งเอเชีย ที่มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยี และความยั่งยืน” และเป็นผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ (international versatile energy provider) โดยมีกลยุทธ์การลงทุน greener & smarter ที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน ภายใต้การเปลี่ยนผ่านขององค์กร หรือที่คนบ้านปูเรียกว่า Banpu Transformation

Transform จากธุรกิจถ่านหินสู่พลังงานสะอาด

เมื่อถามว่า อะไรทำให้บ้านปูฉุกคิดว่าถึงเวลาแล้วที่องค์กรต้องเปลี่ยนแปลง คำตอบที่ได้ คือ มาจากความเชื่อของบ้านปูที่ว่าการปรับเปลี่ยนองค์กรให้สอดคล้องกับเมกะเทรนด์และยุคสมัย เป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอในระยะยาวให้แก่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุน รวมถึงผลประโยชน์อย่างยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม บวกกับแรงผลักดันจากแนวโน้มความสนใจที่มีมากขึ้นในเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน และการลงทุนที่คำนึงถึง ESG หรือประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม (environmental) สังคม (social) และการกำกับดูแลกิจการ (governance) โดยเฉพาะในมุมมองของนักลงทุนและ NGO ซึ่งสอดคล้องกับการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ที่บริษัทฯ ปฏิบัติมาตลอดระยะเวลาเกือบ 4 ทศวรรษ

พร้อมกล่าวต่อว่า ที่จริงแล้วการเปลี่ยนผ่าน หรือ transformation ของบ้านปูเกิดขึ้นมานานแล้ว และเกิดในทุกวัน เพียงแต่ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา บ้านปูมีภารกิจใหญ่ในการขับเคลื่อนองค์กรด้วยกลยุทธ์ greener & smarter จึงทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างชัดเจน โดยให้ความสำคัญกับ 2 เรื่องหลักๆ นั่นคือ

1) การ transform พอร์ตฟอลิโอ จากที่มีสัดส่วนพลังงานพื้นฐานเป็นหลัก สู่เป้าหมายการสร้างสรรค์พลังงานที่สะอาดและชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น โดยมี บ้านปู เน็กซ์ ทำหน้าที่เป็นเรือธงในการขับเคลื่อนเป้าหมายนี้ ในการลงทุนและพัฒนาในธุรกิจพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีพลังงาน เช่น การดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน การให้บริการวางระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด การออกแบบและผลิตรถยนต์ไฟฟ้า การผลิตและจำหน่ายแบตเตอรี่ระบบกักเก็บพลังงาน และระบบจัดการเทคโนโลยีพลังงาน

2) การปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ยุคดิจิทัล (digital transformation) เพื่อทำให้องค์กรพร้อมแข่งขันในฐานะธุรกิจพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ มีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมตลอดซัพพลายเชน โดยได้จัดตั้ง Digital Center of Excellence (DCOE) ในปี 2561 เพื่อเป็นหน่วยงานนำบ้านปูสู่การปรับเปลี่ยนวิธีทำงานให้ตอบรับโลกยุคใหม่ ตั้งแต่การวางยุทธศาสตร์ไปจนถึงการทำงานในทุกขั้นตอน ที่สามารถนำเทคโนโลยีและแนวคิดแบบดิจิทัลเข้าไปเสริมประสิทธิภาพได้ รวมไปถึงนำนวัตกรรมต่างๆ ไปช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ให้กับลูกค้าทั้งแบบ B2B, B2C และ B2G ได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งการร่วมมือกับหน่วยงานทรัพยากรมนุษย์ (HR) และเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ในการวางแผนและขยายผลกระบวนการในการพัฒนาทักษะให้พนักงาน

ความท้าทายของการเปลี่ยนผ่าน

แน่นอนว่าทุกการเปลี่ยนแปลงย่อมมีความท้าทาย การเปลี่ยนแปลงองค์กรก็เช่นกัน CEO ที่ทำงานกับ Banpu มาอย่างยาวนาน ถอดบทเรียนการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงจากประสบการณ์ตรงว่า

“วันนี้บ้านปู transform ได้ด้วยความร่วมใจของคนบ้านปู ภายใต้วัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแรง การกำกับกิจการที่ดี การบริหารจัดการ กลยุทธ์ที่ชัดเจน และกระบวนการในการทำงานไม่ซับซ้อน รวมทั้งมีการสื่อสารระหว่างกันอย่างสม่ำเสมอ ทั้งหมดนี้ทำให้การเปลี่ยนแปลงองค์กรเป็นไปได้”

“สมฤดี” ให้ข้อมูลเพิ่มว่า ปัจจัยความสำเร็จประการหนึ่งก็คือ การเปลี่ยนผ่านของบ้านปูที่มีมาอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้ ถือเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเกิดวิกฤติ เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ช่วยตอกย้ำว่าโลกของเราจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การเรียนรู้ที่จะปรับตัวและพร้อมเปลี่ยนองค์กรของเราให้ก้าวสู่เป้าหมายของความยั่งยืนทางธุรกิจจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ในขณะเดียวกัน บุคลากรก็เป็นปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กัน บ้านปูจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาความแข็งแกร่งด้านศักยภาพของบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านในครั้งนี้ให้ประสบความสำเร็จ โดยการสร้างทักษะใหม่ที่จำเป็น (reskill) และพัฒนาทักษะเดิมให้แข็งแกร่ง (upskill) ให้มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว เหมาะสมกับตำแหน่งงาน และทิศทางธุรกิจมากที่สุด ควบคู่ไปกับการรับคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่มีทักษะและองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีพลังงานและเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาเสริมทัพ ตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยทุกคนในบริษัทฯ ทำงานผสานร่วมกันด้วยวัฒนธรรมองค์กร Banpu Heart

นอกจากนี้ การจัดตั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องนี้โดยเฉพาะ ก็ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างรวดเร็วและคล่องตัว นั่นคือ Digital Center of Excellence (DCoE) ที่มุ่งเน้นการพัฒนาและการนำแพลตฟอร์มและระบบดิจิทัลมาประยุกต์ใช้กับทุกส่วนของการดำเนินธุรกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนให้แก่บริษัทในกลุ่มบ้านปู และ Banpu Innovation & Venture พร้อมห้องปฏิบัติการนวัตกรรม (innovation lab) ในช่วงปลายปี 2561 เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีขององค์กรให้กับ
ทุกกลุ่มธุรกิจ และเร่งพัฒนาสู่ธุรกิจใหม่ๆ ที่สามารถสร้างคุณค่าต่อไปได้ในอนาคต

และที่สำคัญ คือการจัดให้มีการสื่อสารภายในให้พนักงานตระหนักรู้และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ ผ่านเวทีต่างๆ เช่น town hall, annual strategy conference หรือแม้แต่การประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับเรื่องราวการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญขององค์กรทางอีเมล์ ฯลฯ

สร้างความยั่งยืนด้วยพลังงานแห่งอนาคต

“สมฤดี” มองว่า เทรนด์ด้านพลังงาน คือ 3Ds ที่เน้นเรื่องการกระจายการผลิตและจัดจำหน่ายพลังงานแบบไม่รวมศูนย์ (decentralization) การใช้พลังงานที่ลดการปล่อยคาร์บอน (decarbonization) และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (digitalization) ซึ่งบ้านปูดำเนินธุรกิจด้วยจุดยืน “Smarter Energy for Sustainability: อนาคตพลังงานเพื่อความยั่งยืน” เน้นตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และสอดคล้องกับเทรนด์พลังงานโลก

บ้านปูฯ ต้องการสร้างความยั่งยืนด้านพลังงานให้กับโลกด้วยการส่งมอบพลังงานที่ราคาสมเหตุสมผลและมีต้นทุนที่ประชาชนในแต่ละประเทศสามารถเข้าถึงได้ มีเสถียรภาพในการผลิตพลังงานเพื่อสร้างความต่อเนื่องในการส่งมอบพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านการดำเนินธุรกิจด้านพลังงานอย่างครบวงจรใน 3 กลุ่มธุรกิจ คือ กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ที่ผนึกกำลังระหว่างกันในกลุ่มธุรกิจหลักอย่างแข็งแกร่งเพื่อบริหารทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยจะมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถสร้างความยั่งยืนให้กับทั้งธุรกิจ ความยั่งยืนด้านพลังงาน และความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและสังคม ควบคู่กับการบริหารจัดการอย่างมีธรรมาภิบาล เน้นการสร้าง business ecosystem ให้ครบวงจรมากที่สุด โดยทำงานร่วมกับพันธมิตร คู่ค้าและสตาร์ทอัปด้านเทคโนโลยีพลังงาน เพื่อคิดค้นและพัฒนาบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค และเทรนด์พลังงานโลกอย่างยั่งยืน

“การสร้างการเติบโตในยุคนี้ จะต้องทันกับตลาด พฤติกรรมของผู้บริโภค และเทรนด์พลังงานแห่งโลกอนาคตที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ก็ต้องยืนหยัดก้าวข้ามความท้าทายที่คาดเดาไม่ได้ด้วย”

ล่าสุดบ้านปูได้เปิดแผนธุรกิจ 5 ปี ฉบับใหม่ สำหรับปี 2564-2568 ซึ่งประกอบด้วย 3 แกนหลัก คือ

  • acceleration-เร่งสร้างการเติบโตตามกลยุทธ์
  • greener & smarter ใน 4 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจเหมือง ธุรกิจผลิตไฟฟ้า และธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน
  • antifragile–รับมือกับความเปลี่ยนแปลงและวงจรเศรษฐกิจโลกผ่านพอร์ตโซลูชันด้านพลังงานที่ครบวงจร โดยกระจายความเสี่ยง และคว้าโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ augmentation-ต่อยอดระบบนิเวศทางธุรกิจปัจจุบันและความเชี่ยวชาญในด้านพลังงานเพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในการสร้างรายได้

ทั้งหมดนี้จะช่วยเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่พอร์ตพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีพลังงานที่สอดคล้องกับเทรนด์พลังงานในอนาคตได้รวดเร็วและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

“สมฤดี” กล่าวย้ำว่า ในการบริหารความยั่งยืน โดยเฉพาะในการเปลี่ยนแปลง หรือเมื่อเกิดวิกฤติใดๆ

tone from the top สำคัญมาก เพราะ “ความเป็นผู้นำ” จะทำให้องค์กรก้าวข้ามวิกฤติได้ ซึ่งไม่ใช่แค่ CEO คนเดียว แต่ต้องเป็น leadership team ที่มีทัศนคติเป็นหนึ่งเดียวกันที่จะกำหนดแผนงานหรือทางเดินเพื่อให้องค์กรผ่านพ้นวิกฤตให้ได้

วันนี้เราต้องคิดว่า never normal ทุกอย่างจะไม่มีอะไรปกติอีกแล้ว เพราะฉะนั้น เราต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ ไม่ต้องรอให้เกิดวิกฤติ และทำงานด้วยหัวใจที่แข็งแกร่งและมั่นคง

beyond resilience เมื่อมีอะไรมากระทบเรา มีความฉับไวที่จะลุกขึ้นมายืนได้สูงกว่าเดิม และสามารถไปให้ไกลกว่าเดิม

สิ่งสุดท้ายที่สำคัญที่สุด คือ one goal, one team ทุกคนในองค์กรต้องมีเป้าหมายเดียวกัน และไปด้วยกันทั้งทีม

“เราอยู่ในยุค never Normal จึงทำให้ทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวอยู่เสมอ และหากเรามีการเตรียมพร้อมที่ดีพอ ไม่ว่าโลกจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นอย่างกะทันหัน ก็จะไม่มีอะไรที่อยู่เหนือความคาดหมายอีกต่อไป”