ThaiPublica > เกาะกระแส > กสศ.จับมือ “สมุทรสาคร” เดินหน้าศูนย์ช่วยเหลือเด็กและเยาวชนในภาวะวิกฤติการศึกษา “Smart Refer”

กสศ.จับมือ “สมุทรสาคร” เดินหน้าศูนย์ช่วยเหลือเด็กและเยาวชนในภาวะวิกฤติการศึกษา “Smart Refer”

13 กุมภาพันธ์ 2021


กสศ.จับมือ “สมุทรสาคร” เดินหน้า “ศูนย์ช่วยเหลือเด็กและเยาวชนในภาวะวิกฤติการศึกษาหรือ Smart Refer”

กสศ.จับมือ “สมุทรสาคร” เดินหน้า “ศูนย์ช่วยเหลือเด็กและเยาวชนในภาวะวิกฤติการศึกษาหรือ Smart Refer” รับมือวิกฤติการเรียนรู้ถดถอย-หลุดนอกระบบ พัฒนาสู่สมุทรสาครโมเดล

นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวถึงสถานการณ์การปิดเรียนของจังหวัดว่า สมุทรสาครยังคงเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด แม้ว่าสถานการณ์การระบาดจะดีขึ้นตามลำดับ แต่ยังคงต้องประเมินรายวัน ซึ่งจำเป็นต้องปิดโรงเรียนมาตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2563 และให้มีการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ โดยมอบหมายศึกษานิเทศก์คอยติดตามประเมินว่าการเรียนออนไลน์ได้ผลมากน้อยอย่างไร

อย่างไรก็ตามพบว่ามีเด็กบางกลุ่มที่เข้าไม่ถึงอุปกรณ์เทคโลยี ซึ่งได้แจ้งให้ศึกษาธิการจังหวัด เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและมัธยมศึกษา หากพบว่ามีเด็กคนใดต้องการเครื่องมืออุปกรณ์ เน้นเฉพาะรายที่ไม่มี ขาดแคลนจริงๆ เมื่อมีการร้องขอเข้ามา ทางจังหวัดยินดีที่จะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อดูแลเด็กและเยาวชนในจังหวัดสมุทรสาครของเรา

นายธีรพัฒน์ กล่าวว่า การจัดการเรื่องนี้ ต้องพิจารณาหลายๆส่วนร่วมกันทั้ง ด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และการศึกษา เป็นส่วนสำคัญ ต้องทำๆทุกอย่างในเวลาเดียวกัน เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตอนนี้บุคลากรทางการศึกษาทั้งหมดรับทราบสถานการณ์ แต่ยังมีความจำเป็นไม่ให้เด็กเจอกัน เกรงว่าปัญหาการระบาดจะเกิดขึ้น ทางจังหวัดสมุทรสาครได้เตรียมประชุมร่วมกันกับหน่วยงานทางการศึกษาทั้งหมดเพื่อรับทราบข้อมูล และลงทำงานในพื้นที่เพื่อให้ครอบคลุมถึงเด็กทุกคน

นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร

“เป็นเรื่องที่ดีที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ได้เข้ามาร่วมช่วยกับจังหวัดสมุทรสาคร ฉะนั้นเด็กนักเรียนยากจนพิเศษก็จะได้รับการดูแล ต้องขอขอบคุณ กสศ. ที่เข้ามาช่วยจังหวัดสมุทรสาคร และทุกฝ่ายที่ให้ความสนใจเรื่องการศึกษาในจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งช่วยให้สามารถชดเชยสิ่งที่ขาดหายไปสำหรับกลุ่มเด็กด้อยโอกาส ให้ได้มีสิทธิและความเท่าเทียมกับเด็กคนอื่น ๆ เพราะพวกเขาคือต้นกล้าต้นหนึ่งในการพัฒนาประเทศ” นายธีรพัฒน์ กล่าว

ด้าน นพ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวว่า จากการประเมินผลกระทบการปิดโรงเรียนที่ยาวนานในจังหวัดสมุทรสาคร พบว่า กลุ่มเด็กนักเรียนยากจนด้อยโอกาสกำลังเผชิญวิกฤติทางการศึกษา 2 ด้าน คือ

    1.การไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาในช่วงล็อคดาวน์เพราะขาดอุปกรณ์จึงส่งผลให้เกิดภาวะความรู้ถดถอย (learning loss)

    2.มีแนวโน้มที่เด็กและเยาวชนยากจนด้อยโอกาสเสี่ยงหลุดออกนอกระบบการศึกษาเพิ่มขึ้น เนื่องจากผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคโควิด-19

ทั้งนี้บรรเทาปัญหาดังกล่าว กสศ.ได้ประสานจังหวัดสมุทรสาคร นำกลไกศูนย์ช่วยเหลือเด็กและเยาวชนในภาวะวิกฤติทางการศึกษาหรือ smart refer ซึ่งเป็นการบูรณาการความร่วมมือหน่วยงานต่างๆที่อยู่ในคณะกรรมการบริหารกสศ. เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมุนษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข เข้ามาสนับสนุนการช่วยเหลือเด็กยากจนด้อยโอกาสที่ประสบกับภาวะวิกฤติทางการศึกษา โดยการทำงานจะแบ่งเป็น 2 ระยะ

  • ระยะวิกฤติ ประคับประคองเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า ให้ได้รับการช่วยเหลือตามสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมทันสถานการณ์
  • ระยะฟื้นฟู จัดทำโปรแกรมการช่วยเหลือดูแลรายคนให้สามารถกลับเข้าสู่ภาวะวิถีปกติทางการศึกษาหรือได้รับการศึกษาตามสภาพปัญหาของแต่ละคนต่อไป ทั้งนี้สามารถแจ้งความช่วยเหลือได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 079 5475 ต่อ 8
นพ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา

“ก่อนหน้านี้ กสศ. ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน ช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับนักเรียนกลุ่มที่ยากลำบาก ผ่านโครงการเงินอุดหนุนอย่างมีเงื่อนไข หรือทุนเสมอภาคของกสศ. ซึ่งดูแลเด็กๆตั้งแต่ระดับชั้น อนุบาล-มัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยในภาคเรียนที่ 2/63 จัดสรรคนละ 1,000 บาท เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยช่วยเหลือแล้ว จำนวน 932,162 คน การที่กสศ.ริเริ่มศูนย์ smart refer นี้ขึ้น เพื่อปิดช่องว่างไม่ให้เด็กที่อยู่ในภาวะวิกฤติทางการศึกษาคนใดตกหล่น ในสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ โดยเริ่มต้นที่จังหวัดสมุทรสาครเป็นพื้นที่แรก เพื่อพัฒนาให้เป็นสมุทรสาครโมเดล ก่อนขยายการทำงานต่อไป ” นพ.สุภกร กล่าว

ด้าน ดร.รัฐวิทย์ ทองนวรัตน์ ศึกษาธิการจังหวัดสมุทรสาคร ระบุว่า COVID-19 ส่งผลกระทบถึงระบบการศึกษาในจังหวัดสมุทรสาครอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในเบื้องต้นการปิดเรียนทำให้การนำเทคโนโลยีถูกนำมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ โดยรวมถือว่าช่วยให้การศึกษาเดินต่อไปได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่จำเป็นต้องได้รับการเข้าถึง ค้นหาให้พบ เพื่อมอบความช่วยเหลือให้เป็นกรณีพิเศษ นั่นคือกลุ่มที่ขาดปัจจัยพื้นฐาน ไม่มีความพร้อมทั้งด้านชีวิตความเป็นอยู่หรือเครื่องมือสื่อสาร ซึ่งหากไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แม้การจัดการศึกษาในภาพรวมจะไปต่อได้ แต่เด็กกลุ่มนี้จะค่อย ๆ ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และหลุดออกจากระบบการศึกษาไปในที่สุด

ดร.รัฐวิทย์ ทองนวรัตน์ ศึกษาธิการจังหวัดสมุทรสาคร

ดร.รัฐวิทย์ กล่าวต่อว่า เบื้องต้นเราได้นำเทคโนโลยีหลากหลายช่องทางมาใช้ ทั้งการใช้ DLTV หรือถ่ายทอดสดการสอนผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ ซึ่งพบว่าประสบปัญหาน้อยในโรงเรียนที่มีศักยภาพ และในกลุ่มนักเรียนระดับมัธยมศึกษา แต่สำหรับเด็กเล็กและกลุ่มเด็กด้อยโอกาสในที่ห่างไกล เขาไม่มีเครื่องมือสื่อสาร เข้าไม่ถึงอินเตอร์เน็ต โรงเรียนจึงได้ใช้วิธีทำใบงานแล้วให้ผู้ปกครองเด็กเข้ามารับงานจากโรงเรียนไปทำแล้วกลับมาส่ง บ้างให้ครูลงพื้นที่เข้าไปหาเด็ก โดยจัดเป็นกลุ่มย่อย ๆ ในกลุ่มเด็กที่อาศัยอยู่ใกล้กัน นี่คือเราแก้ปัญหาคนละครึ่งทาง เพราะบางคนอยู่ในพื้นที่เสี่ยงครูเข้าไปหาที่บ้านไม่ได้ ก็ต้องหาพื้นที่ส่วนกลางที่ปลอดภัยหมายถึงเราต้องบูรณาการปัญหาด้านการศึกษาและสาธารณสุขเข้าด้วยกันตั้งแต่ในการวางแผนงาน ขณะที่บางโรงเรียนใช้วิธีแก้ปัญหาด้วยการที่โรงเรียนจัดหาเครื่องมือสื่อสารสำหรับเด็กด้อยโอกาสให้เขาได้ใช้เรียนชั่วคราว โดยเป็นนโยบายที่รองผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายให้สำรวจข้อมูลว่าเด็กคนไหนขาดแคลนและสามารถช่วยได้

ดร.รัฐวิทย์ระบุว่า การปิดเรียนที่ยาวนานอาจส่งผลต่อภาวะความรู้ถดถอย โดยเฉพาะกลุ่มเด็กด้อยโอกาสในพื้นที่เสี่ยงซึ่งไม่ได้ขาดแคลนแค่การเข้าถึงการศึกษา แต่ยังรวมไปถึงความปลอดภัยทางสาธารณสุข และคุณภาพชีวิตรอบด้าน เด็กกลุ่มที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือพวกที่ด้อยโอกาส อาศัยในพื้นที่โรงงาน พ่อแม่ทำงานในพื้นที่เสี่ยง เด็กกลุ่มนี้เราจะให้ทางโรงเรียนต้นสังกัดแจ้งจำนวนและข้อมูลพื้นฐานเข้ามา แล้วจะจัดให้เขาได้รับการเฝ้าระวังพิเศษ มีทีมงาน ศธจ. ลงพื้นที่เยียวยา พร้อมกับสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด(พมจ.), สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัด ที่จะเข้าไปช่วยเก็บข้อมูล ตรวจสอบ และดูแลเรื่องคุณภาพชีวิต รวมถึงการประสานหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อหาทางสนับสนุนเรื่องทุนการศึกษาเฉพาะราย

ในระยะยาว ผลกระทบจากการที่โรงเรียนปิดจะทำให้เด็กกลุ่มนี้อาจต้องออกจากระบบการศึกษา เพราะเขามีปัญหาอื่น ๆ ที่รุนแรงกว่า ศธจ. สมุทรสาคร จึงมีหน้าที่เชื่อมโยงหน่วยงานทุกหน่วยที่มีศักยภาพเข้ามาช่วยกันหาทางแก้ปัญหา เบื้องต้นคือมอบสิ่งของจำเป็น ให้ความรู้ในการดูแลตนเองและครอบครัวตามมาตรการสาธารณสุข หน้ากากอนามัยหรือเจลแอลกอฮอล์ต้องมี 100% และใช้ให้ถูกวิธีเพื่อลดการแพร่ระบาดให้ได้มากที่สุด ก่อนจะไปสู่การแก้ปัญหาระยาว คือการหาทางให้กลุ่มเป้าหมายยังอยู่ในระบบการศึกษาได้ต่อไป

“เราได้ร่วมมือกับหน่วยงานเช่นกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(กสศ.) ที่ได้นำนวัตกรรมทางการเรียนเข้ามามอบให้เด็ก ๆ ช่วยให้เด็กกลุ่มนี้สามารถเรียนได้จากที่บ้านปิดด้วยสื่อการเรียนรู้ด้วยตนเองที่พัฒนาขึ้นในช่วงโรงเรียน นอกจากนี้เรายังคุยถึงความเป็นไปได้ในการเดินตามโมเดลการสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์การเรียนออนไลน์ ที่ กสศ. จะเข้ามาช่วยประสานความร่วมมือด้านการระดมงบประมาณช่วยเหลือ โดยทาง ศธจ. มีข้อมูลของเด็กที่ขาดแคลนซึ่งเรามองแล้วว่าด้วยงบประมาณสนับสนุนจะช่วยเด็กด้อยโอกาสกลุ่มนี้ได้จริง ซึ่งตอนนี้เรามองไปถึงว่าหากหลังจากนี้บางพื้นที่ยังเปิดเรียนไม่ได้ การจัดการเรียนการสอนผ่านเทคโนโลยีออนไลน์ต้องพัฒนาระบบให้ไหลลื่นยิ่งขึ้น รวมถึงการจัดหาอุปกรณ์พื้นฐานที่ช่วยให้การเรียนรู้เดินต่อไปได้ นี่คือความร่วมมือที่เรามองว่าเป็นสิ่งที่ทุกหน่วยในสังคมจำเป็นต้องเชื่อมต่อกัน และขยายออกไปให้ทั่วถึงทุกหน่วยงานในวงกว้างให้ได้มากที่สุด”ดร.รัฐวิทย์กล่าว