
ประธานสมาคมธนาคารไทยยืนยันทุกธนาคารปฏิบัติตาม ปปง.อย่างเคร่งครัด ด้าน EXIM BANK เผยตรวจสอบไม่พบรายการต้องห้าม ยึดหลักกม.ฟอกเงิน
จากกระแสข่าวเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 21 กันยายน 2563 สำนักข่าว ICIJ รายงาน(Global banks defy U.S. crackdowns by serving oligarchs, criminals and terrorists)โดยอ้างข้อมูลเอกสารของเครือข่ายปราบปรามอาชญากรรมทางการเงินสหรัฐฯ หรือ FinCen (US Financial Crimes Enforcement Network) ว่า ธนาคารหลายแห่งทั่วโลก ได้ปล่อยให้เกิดการโยกย้ายเงินที่เข้าข่ายผิดกฎหมายมาเป็นระยะเวลานานกว่า 20 ปี (ในช่วงปี 2542-2560) รวมมูลค่าการโอนเงินกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมีชื่อธนาคารไทย 4 แห่ง ติดอยู่ด้วย ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพจำนวนเงินโอนที่ต้องสงสัยราว 28.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ธนาคารกรุงไทย 16.65 ล้านดอลลาร์ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) 2.55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และธนาคารกสิกรไทย 8.35 แสนดอลลาร์สหรัฐ
วันที่ 24 กันยายน 2563 นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิกให้ความสำคัญในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติของกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด ทุกธนาคารได้มีการกำหนดนโยบายและวิธีปฏิบัติที่เป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานสากล ซึ่งมีกระบวนการรับลูกค้าและพิสูจน์ทราบตัวตน การตรวจสอบรายชื่อลูกค้าและรายชื่อประเทศที่ห้ามทำธุรกรรม (Sanction) มาตรการบริหารความเสี่ยง ตลอดจนการตรวจสอบการทำธุรกรรมของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการรายงานธุรกรรมที่ผิดปกติหรือที่มีเหตุอันควรสงสัย ไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
นอกจากนี้ สมาคมธนาคารไทยได้ให้ความสำคัญในการสร้างมาตรฐานการทำงานของระบบธนาคารตามประกาศ Industry Code of Conduct เพื่อให้ทุกธนาคารนำไปปรับใช้ ซึ่งมาตรฐานดังกล่าวรวมถึงการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
สำหรับกรณีดังกล่าว ทางสมาคมธนาคารไทย ได้มีการประสานงานกับหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ ปปง. อย่างใกล้ชิด ในการตรวจสอบข้อมูลที่มีการอ้างถึงที่ยังไม่สามารถทราบความถูกต้องและรายละเอียดของเอกสารข้อมูลที่ชัดเจน เพียงแต่สันนิษฐานได้ว่าหากเป็นข้อมูลที่ได้จาก FinCen ก็น่าจะเป็นการรายงานธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัยของสถาบันการเงินสหรัฐอเมริกา ภายใต้กฎหมายของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นกระบวนการดำเนินงานปกติ และไม่ได้หมายความว่าธุรกรรมที่ถูกรายงานจะเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมายเสมอไป ตามที่ธปท.ได้ให้รายละเอียดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
ส่วนธนาคารกสิกรไทย โดยฝ่ายสื่อสารองค์กรได้กล่าวสั้นๆเพียงว่า ธนาคารได้มีการประสานงานกับธปท. และปปง. อยู่ตลอดเวลา และพร้อมให้ความร่วมมือในการตรวจสอบกับหน่วยงานทางการ
ธปท.ยันสถาบันการเงินไทยรายงานปปง.เข้ม
วันที่ 23 กันยายน 2563 ธนาคารแห่งประเทศ(ธปท.) ระบุสถาบันการเงินไทยมีการรายงานธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัยตามกฎหมาย ปปง. อย่างเคร่งครัด โดยนายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน 1 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้แจงว่า ธปท. ได้กำกับดูแลและตรวจสอบสถาบันการเงินให้มีกระบวนการป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย รวมถึงการสนับสนุนทางการเงินแก่การแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (AML/CPTF) ตั้งแต่ขั้นตอนการทำความรู้จักตัวตนลูกค้า (KYC/CDD) การตรวจสอบและการรายงานธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัยตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กำหนดอย่างเคร่งครัด โดย ธปท. และ ปปง. ประสานงานกันเพื่อกำกับดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด
เมื่อสถาบันการเงินพบธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัยตามหลักเกณฑ์ที่ ปปง. กำหนด ก็มีหน้าที่ต้องรายงานต่อ ปปง. ซึ่งเรียกว่ารายงานธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย (Suspicious Transaction Report: STR) ซึ่ง ปปง. จะนำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์และตรวจสอบ เพื่อดูว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ผิดกฎหมายหรือไม่ ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าทุกธุรกรรมที่ถูกรายงานใน STR จะเป็นธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมายเสมอไป จึงต้องตรวจสอบก่อนที่จะสรุปได้ว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมายหรือไม่
สำหรับกรณีมีข่าวสถาบันการเงินของไทย 4 แห่ง มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมการโอนเงินที่น่าสงสัย โดยใช้ข้อมูลจากรายงานธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัยที่รั่วไหลจากหน่วยงานเครือข่ายปราบปรามอาชญากรรมทางการเงินแห่งสหรัฐอเมริกา (US Financial Crimes Enforcement Network หรือ FinCEN) นั้น ข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลที่สถาบันการเงินภายใต้กฎหมายของสหรัฐอเมริกามีหน้าที่ต้องรายงานธุรกรรมที่น่าสงสัยต่อ FinCEN เป็นปกติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดอยู่แล้ว และไม่ได้หมายความว่าธุรกรรมที่ถูกรายงานจะเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมายเสมอไป แต่เนื่องจากข้อกล่าวหาที่เป็นข่าวอยู่นั้น ไม่ได้มาจาก FinCEN หรือหน่วยงานทางการใดๆ เรื่องนี้จึงขอให้รอการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน
เมื่อวันที่ 22 กันยายน ที่ผ่านมา ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เป็นรายแรกที่ออกมาชี้แจงเรื่องที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกรรมโอนเงินต้องสงสัย ว่า ธุรกรรมดังกล่าวเป็นกระบวนการทำงานปกติ ซึ่งธนาคารได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องครบถ้วนแล้ว และไม่พบรายการต้องห้าม ทั้งยังได้ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินอย่างครบถ้วน จึงได้ดำเนินธุรกรรมตามขั้นตอน “ปกติ”
หมายเหตุ:แก้ไขล่าสุด 24 กันยายน 2563 เวลา 19.00 น.