วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของวุฒิสภา
ในกระบวนการ ปยป. (ปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง) ที่ดร. บัณฑูร เศรษฐศิโรฒม์ ดำเนินไปนั้น
ส่วนใหญ่เน้นที่เรื่องชุดกฎหมายและสิ่งแวดล้อมนี่แหละ
กฎหมายไทยเกี่ยวกับป่าไม้ มีหลายฉบับ ทั้ง พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ร.บ.สวนป่า พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ ฯลฯ
ผมมีเวลาไปร่วมประชุมสองสามครั้ง จึงได้พบบรรดานักวิชาการและผู้สันทัดกรณีอีกหลายๆ คนในคณะทำงาน รวมทั้งมีข้าราชการจากกรมอุทยาน สัตว์ป่าและพันธุ์พืชมาร่วมคิดอ่านกัน ผอ.วีระยุทธ เป็นหนึ่งในนั้น เป็นนักกฎหมาย เวลาคุยภาษากฎหมายกันจะเชื่อมกันได้เร็ว
ผมถูกภารกิจเป็นประธานคณะทำงานด้านการปฏิรูประบบบริหารราชการอีกด้าน จึงไม่ได้เข้าไปนั่งประชุมในห้องทำกฎหมายสิ่งแวดล้อมและป่าไม้อย่างต่อเนื่องครบทุกครั้ง
จับใจความได้หนท้ายสุดที่นั่งร่วมประชุมคือ เมื่อพิเคราะห์ว่า บรรดากฎหมายป่าไม้โดยเฉพาะกฎหมายอุทยานที่มีเป้าประสงค์หลักที่จะต้องสงวนและอนุรักษ์ระบบนิเวศของป่าให้แน่วแน่ การจะมีมาตราใดที่จะเอื้อให้คนอยู่กับป่าได้ ไม่ควรเขียนอยู่ในหมวดปกติในพระราชบัญญัตินี้
ควรไปคิดอ่านจัดวางเรื่อง “คนอยู่กับป่า” ไว้ใน “บทเฉพาะกาล” เพื่อจะได้ไม่กระเทือนหลักการใหญ่
จากนั้นผมก็ห่างๆ วงประชุมนี้ไปเรื่อยๆ เพราะต้องมีงานเพิ่มไปเป็นประธานองค์การมหาชน ที่ดูแลด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนแห่งหนึ่ง เรียกย่อว่า อพท. และไปดูแลการส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการนานาชาติอีกแห่งหนึ่ง เรียกย่อว่า สสปน. หรือ TCEB กับยังต้องทำหน้าที่เลขาธิการสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติต่อ แล้วก็เป็นอธิการวิทยาลัยการท่องเที่ยวที่มหาวิทยาลัยรังสิตอีกในเวลาซ้อนๆ กัน
นับว่ารับงานมาจับฉ่ายพอควร
มีโอกาสกลับมาเจอ ดร.บัณฑูรอีกเป็นครั้งคราว เมื่อต้องเอางานของอนุ ปยป. ด้านต่างๆ ไปเสนอเป็นรายงานที่ทำเนียบรัฐบาล จึงสอบถามเรื่องกฎหมายชุดป่าไม้ และคนอยู่กับป่า ได้ความว่าเดินหน้าไปได้ดีตามลำดับ
ตัดฉับเวลามาต่ออีกราวสองปี
ผมได้รับโปรดเกล้าฯ ให้กลับมาเป็นรัฐมนตรีท่องเที่ยวและกีฬาอีกหน ตอนปลายปี 2560 ได้ถวายสัตย์ปฏิญานตนเป็นรัฐมนตรีกระทรวงนี้เป็นหนที่ สาม…
จึงได้มีโอกาสสนทนาประสานภารกิจกับพลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ อีกบ่อยครั้งในฐานะร่วม ครม. ของท่านนายกฯ พลเอก ประยุทธ์
ครั้งหนึ่ง ผมเขียนยกร่างคำสั่งร่วมสองกระทรวงเพื่อเชื่อมงานประสานระหว่างทีมผู้บริหารด้านท่องเที่ยวกับทีมดูแลด้านทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อจะได้มีเหตุให้ปลัดและอธิบดีของทั้งสองกระทรวงได้ประชุมร่วมกันได้บ่อยๆ…
ปรากฏว่าพลเอก สุรศักดิ์ อ่านแล้วเห็นว่าน่าจะเข้าที เราจึงลงนามร่วมกันเงียบๆ ตอนพักการประชุม ครม. 15นาทีนั่นแหละ
ไม่ต้องมีพิธี…ไม่ต้องมีอีเวนต์เป็นรำฉุยฉาย
ยืนอ่านควักปากกาลงนามเสร็จก็เอาไปคนละฉบับ ต่างฝ่ายต่างถือกลับไปทำสำเนาแจกลูกทีมตัวเองที่กระทรวง… แล้วเราก็นัดวันประเดิมประชุมร่วมกัน
บางคราวผมได้รับเชิญให้บินไปร่วมตรวจราชการกับท่านในต่างจังหวัด
พวกเราฝ่ายท่องเที่ยวก็อยากเข้าใจข้อสงวนและข้อจำกัดที่เราควรรักษาในการถนอมทรัพยากรธรรมชาติ ฝ่ายอนุรักษ์ทรัพยากรก็อยากวางรูปแบบว่านักท่องเที่ยวหลายๆ ล้านคนที่จะเข้าอุทยานทางบกทางทะเลควรถูกบริหารวิธีกันยังไงได้บ้าง
เราจึงคุยกันตั้งแต่เรื่อง carrying capacity ของเกาะ ของหาด ของอ่าว และของป่า ไปจนถึงการร่วมสนทนาเกี่ยวกับนโยบายลดการใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้งกันถี่ๆ ทั้งนี้ก็เพื่อถนอมรักษาสิ่งแวดล้อม และแน่นอนเพื่อลดปัญหาขยะในทะเล เพราะพลาสติกและโฟมที่ทิ้งแทบทุกชิ้น จะมีอายุขัยไปอีกนับร้อยปี ฝนตกเมื่อไหร่มันก็จะเคลื่อนที่ไหลไปตามน้ำจากที่สูงอันไกลโพ้นบนภาคเหนือสุดมาเรื่อยจนจบลงในทะเล แทบทั้งสิ้น
รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมไปทำการเจรจากับผู้ผลิตขวดบรรจุเครื่องดื่มให้ทยอยเลิกทำ cap seal หรือที่เราเคยต้องแกะพลาสติกใสแถบเล็กๆ ที่พันรอบคอขวดเครื่องดื่มก่อนบิดฝาเกลียวเปิดจุกอีกชั้นก่อนดื่ม
ร้อยทั้งร้อย เจ้าแถบพลาสติกนี้ แม้ตั้งใจทิ้งใส่ถัง มันก็ปลิวลมไปลงที่อื่น!!
ในปีนั้น แค่เลิก cap seal อย่างเดียวก็ลดขยะพลาสติกแบบใช้หนเดียวทิ้ง หรือ single-use plastic waste ไปได้ราว 500 ตัน!
จากนั้นก็มีเรื่องการประกาศห้ามสูบบุหรี่ที่ชายหาดต่างๆ ตั้งกระถางทรายลึกเข้ามาใกล้ถนนบนฝั่งให้เป็นที่มุงสูบบุหรี่แทน
ผมเคยร่วมกิจกรรมกับ ททท. และเครือข่าย เดินเก็บแต่ก้นบุหรี่อย่างเดียว…ได้ก้นบุหรี่มาจากหาดเดียวจำนวน…5kg…ใช่ครับ
…ก้นบุหรี่ห้ากิโลกรัม …จากหาดเดียว!!!
เราร่วมกันประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวใช้ปิ่นโตในการไปเที่ยวในอุทยานต่างๆ ร่วมกันรณรงค์ให้หน่วยงานใช้กระติกหรือเหยือกไว้รินน้ำ จะได้ไม่ต้องมีขวดน้ำดื่มพลาสติกแจกในการประชุมให้ต้องเกิดขยะเยอะนัก แถมจะได้ไม่ใช้หลอดดูดพลาสติกเยอะ
ผมเอ่ยขอเศษถุงขนมอบกรอบจากอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง คุณจตุพร บุรุษพัฒน์ ที่นักวิจัยในกรมของท่านผ่าท้องของซากวาฬที่กลืนพลาสติกในทะเลหลายกิโลกรัมจนตายอย่างน่าอนาถในอ่าวไทย มาเป็นวัสดุประกอบการยืนบรรยายพิเศษของผมคู่กับการถือปิ่นโตบนเวทีต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศอย่างสม่ำเสมอ เพื่อชี้ให้เห็นภัยของขยะทะเล
คุณจตุพรจัดถุงขนมจากท้องวาฬ ใส่กรอบอย่างดี ส่งมาใส่มือผม ยังนึกชมเชยที่ท่านกระวีกระวาดทำให้ ทั้งที่ผมอยู่คนละกระทรวงกับท่าน
วันหนึ่งผมได้โอกาสสอบถามพลเอก สุรศักดิ์ เรื่อง คนอยู่กับป่า
ปรากฏว่าท่านตอบมาฉาดฉาน และเนื้อหาแน่น แถมยกตัวอย่างของพื้นที่อีกหลายแห่งให้ผมฟังอย่างน่าตื่นเต้น…ชาวมูเซอดำแห่งบ้านห้วยปลาหลดที่จังหวัดตาก ในเขตอุทยานแห่งชาติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นหนึ่งในนั้น ว่าเป็นตัวอย่างคนอยู่กับป่าที่ดี
ไม่นึกมาก่อนว่ารัฐมนตรีจะรู้ลึกขนาดนั้น
ผมเคยไปพบชาวบ้านห้วยปลาหลด เพราะทีมอาจารย์รอยล จิตรดอน เคยพาไป… จึงรู้ว่าท่านพูดตรงกับที่เรารู้แฮะ
แถมพ่วงด้วยการแนะนำคำคมคล้องจองที่พลเอก สุรศักดิ์ คิดนโยบายเองมาอีกซีรีส์ ว่าสิ่งที่ท่านเสนอรัฐบาลนายกฯ ประยุทธ์ใช้ปฏิรูปด้านทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมของไทยย่อสั้นๆ มีว่า
…ปลูกไม้มีค่า ป่าชุมชน คนอยู่กับป่า เพิ่มคุณค่าทะเลไทย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม พร้อมน้ำในไร่นา มีประปาทุกครัวเรือน…
ผมอ้าปากค้าง…ควักปากกาจดตามแทบไม่ทัน
เข้าท่าแฮะ
แต่ผมไม่มีเวลาซักมากไปกว่านี้เท่าไหร่เรื่องกฎหมายป่าไม้และอุทยาน
เพราะผมก็ต้องเผ่นกลับไปที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือ สนช. ทุกวันจันทร์บ่าย ในช่วงนั้น เพื่อทำหน้าที่ประธานกรรมาธิการแก้ไข ร่างพระราชบัญญัตินโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับใหม่ที่ผมเสนอ เพิ่มหลักการให้รัฐสามารถเรียกค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อนำมาซื้อประกันคุ้มครองความเสียหายในหลากมิติให้ได้ เนื่องจากระบบภาษีไทยที่เคยแบกรับแทนปีละราว 300 ล้านบาทเมื่อพวกเขาต้องเข้าห้องฉุกเฉินในสถานพยาบาลไทยเพราะสารพัดเหตุนั้น มันน่าจะไม่ค่อยแฟร์ต่อภาระภาษีจากประชาชนไทยมั้ง
แปลว่าต่างคนต่างยุ่ง หัวหมุนก้นตุงทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดใดๆ
เหลือบมองปฏิทิน เหลือเวลาอีกแค่ปีเศษก็จะถึงวันเลือกตั้ง
อันจะเป็นสัญญานการจบลงของรัฐบาลในช่วงเปลี่ยนผ่านที่หวังจะตั้งฐานปฏิรูปประเทศให้ได้มากเท่าที่ทำทัน
เรื่องเล่าตอนที่แล้วฉายให้เห็นต้นหน่ออ่อนที่เพิ่งแตกรากจากเมล็ดพันธุ์เรื่องคนกับป่าไปแล้ว
รอบนี้ลำต้นอ่อนๆ ของการปฏิรูปกฎหมาย เพื่อยอมรับหลักการ “คนอยู่กับป่า” จึงมีต้นอ่อนแรกดังที่พอจะจำปะติดปะต่อมาเล่า…