ปพนธ์ มังคละธนะกุล www.facebook.com/Lomyak
รัฐมนตรีคลังออกมายืนกรานว่า ให้แบงก์ใช้งบการเงินที่ยื่นสรรพากรในการพิจารณาเครดิตเท่านั้น โดยมีผลบังคับใช้ตามกำหนดการเดิมคือ 1 มกราคม 2562
แน่นอน… มีเสียงออกมาโวยวาย คัดค้าน ขอให้เลื่อนการใช้ไปก่อน เพราะจะมีผลกระทบกับการเข้าถึงแหล่งเงินทุน (ซึ่งก็คือเงินกู้จากแบงก์เป็นหลัก)
เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ว่า งบการเงินของบริษัท SME นั้นเชือถือไม่ได้เลย ถ้าใช้งบสรรพากร ซึ่งจะโชว์รายได้ต่ำมาก ส่วนใหญ่เกินครึ่ง นั่นหมายความว่า ถ้ายึดเกณฑ์นี้ มีหลายบริษัทมากที่จะโชว์ว่าไม่มีความสามารถที่จะจ่ายหนี้ได้…
ซึ่งขัดกับความเป็นจริง
ที่ผ่านมา แบงก์พยายามแก้ปัญหานี้ โดยการใช้ bank statement เป็นตัวแทนของรายได้ แต่ยังไงก็ไม่มีความแม่นยำ เพราะเงินเคลื่อนไหวได้ตลอดเวลา
ผลกระทบที่ตามมาคือ แบงก์ต้องขอเอกสารมากมาย เพื่อมาชนยอดกับ bank statement เสียเวลามากมาย ขณะที่ SME ก็รำคาญใจ เพราะแบงก์ขอเอกสารเยอะ หลายรอบ
ผมขอสนับสนุนหลักการใช้บัญชีเดียวเต็มที่ เพราะมีข้อดีมากกว่าข้อเสียเยอะมาก
1. การอนุมัติสินเชื่อจะรวดเร็วมากขึ้น
เมื่อเรื่องรายได้มีความโปร่งใส ชัดเจน การอนุมัติสินเชื่อก็ไม่ต้องพึ่งพา bank statement มากมาย ไม่ต้องเสียเวลาในการรวบรวมเอกสารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น invoice แบบ ภ.พ.30 กระทั่ง PO เพื่อมาพิสูจน์ยอดรายได้
การอนุมัติสินเชื่อจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างมหาศาล ระยะเวลาอนุมัติจะสั้นลง ตอบสนองความต้องการของ SME ได้ดีขึ้น
2. ต้นทุนโดยรวมจะลดลง
ทุกวันนี้ SME ไม่รู้หรอกว่าต้นทุนของความไม่โปร่งใสนั้นสูงขนาดไหน ไหนจะต้นทุนในการอนุมัติของแบงก์ เพราะต้องใช้เวลาเยอะเกินควรในการตรวจสอบเอกสาร ที่สุดท้ายแล้วจะสะท้อนมาในรูปแบบดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย
ไหนจะต้นทุนการเสียโอกาสของ SME เอง ที่ไม่ได้สินเชื่อตามเวลาที่ต้องการ ทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจไป
3. มีทางเลือกของหลักประกันมากขึ้น
หากแบงก์เห็นสุขภาพทางการเงินของธุรกิจชัดเจน ความจำเป็นในการขอหลักประกันก็จะลดระดับความสำคัญลงไป ในทางทฤษฎี ธุรกิจที่มีการเงินแข็งแรง จะมีความยืดหยุ่นในการเจรจาให้หลักประกัน อันเนื่องมาจากโอกาสในการเป็นหนี้เสียน้อยกว่า ดังนั้นความจำเป็นของหลักประกันจะลดความสำคัญลง
หรือหากยังใช้หลักประกันเดิม ก็จะมีความยืดหยุ่นที่จะได้วงเงินมากขึ้น
4. ทางเลือกของบริการทางการเงินที่มากขึ้น
เมื่อความโปร่งใสเกิดขึ้น แบงก์แต่ละแห่งจะมีความมั่นใจในการให้สินเชื่อ SME ผลิตภัณฑ์สินเชื่อ SME จะมีความหลากหลายมากขึ้น เพราะทุกแบงก์ต้องแข่งกันเข้าถึง และตอบสนองให้ดีขึ้น ตลาดจะเปลี่ยนจากตลาดของผู้ขาย เป็นตลาดของผู้ซื้อ
ผลิตภัณฑ์ทางการเงินจะดีขึ้น มีความหลากหลายมากขึ้น กระทั่งเปิดโอกาสให้ Fintech เกิดขึ้นได้
ท้ายสุด ดอกเบี้ยควรต้องลดลง
แต่แน่นอน… การจะได้ประโยชน์ระยะยาวข้างต้น ต้องมีการยอมเสียประโยชน์ระยะสั้น ทุกฝ่ายต้องร่วมมือร่วมใจกัน ทำให้เกิด
แทนที่จะออกมาโวยวาย สิ่งที่ควรต้องทำกันคือ ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้จะทำอย่างไรให้เกิดการปรับตัว โดยให้มีผลกระทบน้อยสุด
อีกแค่ 2 เดือนเท่านั้นที่กฎระเบียบนี้จะมีผลบังคับใช้ ผมยังไม่เห็นมาตรการในการนำไปปฏิบัติที่ชัดเจน เพื่อให้เราเดินไปตามเส้นทางนี้
สิ่งที่เห็นคือ การบังคับใช้ แต่ไม่มีมาตรการรองรับในช่วงเปลี่ยนผ่าน ที่ผมกลัวที่สุดคือ กฎระเบียบถูกนำไปปฏิบัติแบบไม่จริงจัง เพราะไม่ได้เตรียมการรองรับผลกระทบ จึงย่อหย่อน ไม่มีมาตรฐานที่เป็นธรรมต่อทุกคน
สุดท้าย… จะค่อยๆ จางหายไป แล้วกลับไปสู่โลกเดิม
ต้องใจแข็งครับ เดินหน้าเต็มที่ โดยเตรียมมาตรการรองรับให้ดี อย่าให้ต้องกลับไปยืนอยู่ที่เดิมเลย
นวัตกรรมทางการเงินจะเกิดได้ ความโปร่งใสต้องมาก่อนครับ
หมายเหตุ : ตีพิมพ์ครั้งแรก เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/LomYak/