ThaiPublica > เกาะกระแส > DSI สรุปสำนวนฟ้อง “พานทองแท้ ชินวัตร” ส่งอัยการดำเนินคดีฟอกเงิน กรณีอนุมัติสินเชื่อเครือกฤษดามหานคร แบงก์กรุงไทย

DSI สรุปสำนวนฟ้อง “พานทองแท้ ชินวัตร” ส่งอัยการดำเนินคดีฟอกเงิน กรณีอนุมัติสินเชื่อเครือกฤษดามหานคร แบงก์กรุงไทย

25 กรกฎาคม 2018


นายพานทองแท้ ชินวัตร
ที่มาภาพ : www.facebook.com/oakpanthongtae/

ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้สอบสวนดำเนินคดีความผิดในส่วนการฟอกเงินที่เกี่ยวกับการอนุมัติสินเชื่อโดยมิชอบของผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้แก่กลุ่มธุรกิจในเครือกฤษดามหานคร เป็นคดีพิเศษที่ 36/2550 โดยพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและอัยการร่วมสอบสวน มีการดำเนินคดีกับบุคคลและนิติบุคคลจำนวน 13 ราย ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และสรุปสำนวนการสอบสวนส่งไปยังพนักงานอัยการ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2560 แล้วนั้น

ต่อมาเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2559 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้มีหนังสือกล่าวโทษ โดยขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาดำเนินคดีอาญากับนางเกศินี จิปิภพ, นางกาญจนาภา หงษ์เหิน, นายวันชัย หงษ์เหิน และนายพานทองแท้ ชินวัตร รวม 4 คน ในความผิดฐานฟอกเงิน เพิ่มเติมด้วย ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาแล้วเห็นว่าคดีพิเศษที่ 36/2550 มีความคืบหน้าไปมาก จึงแยกกรณีดังกล่าวโดยรับไว้เป็นคดีพิเศษที่ 25/2560 บัดนี้ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและพนักงานอัยการที่ร่วมสอบสวนเห็นว่าการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว จึงสรุปสำนวนการสอบสวนและมีความเห็นเสนออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษได้มีความเห็นทางคดีในฐานะพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบแล้ว

ล่าสุด เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2561 กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ส่งความเห็นพร้อมสำนวนการสอบสวน และตัวผู้ถูกกล่าวหาไปยังพนักงานอัยการ เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ ในกรณีที่มีผู้ร้อง ขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการสืบสวน กรณีที่มีบุคคลอื่นได้รับเงินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดจากการอนุมัติสินเชื่อของผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยมิชอบ ด้วยว่าเป็นความผิดอาญาหรือไม่นั้น กรมสอบสวนคดีพิเศษได้มอบหมายให้กองคดีการเงินการธนาคาร และการฟอกเงิน เป็นผู้ดำเนินการ โดยเป็นสำนวนสืบสวนที่ 253/2560 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างวิเคราะห์เส้นทางการเงินที่มีจำนวนมาก และมีความคืบหน้าไปมากแล้ว จึงได้เร่งรัดให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

อนึ่ง ก่อนหน้านี้นายพานทองแท้ ชินวัตร เคยโพสต์ข้อความบน “เฟซบุ๊ก” เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2560 ว่า ผมได้ให้ทนายยื่นหนังสือขอให้สอบพยานบุคคลเพิ่มเติม กรณีที่ดีเอสไอแจ้งข้อกล่าวหาผมในข้อหาฟอกเงิน โดยผมได้ขอให้สอบพยานบุคคลเพิ่มประมาณ 20 ปาก ถ้าดีเอสไอมีความตั้งใจที่จะให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหาอย่างที่ควรจะเป็น เพียงแค่เรียกสอบพยานวันละ 4-5 คน ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็เสร็จสิ้น ไม่ได้เสียเวลาแต่ประการใด แต่ทางดีเอสไอ กลับตัดพยานสำคัญออกเกือบหมด เหลือไว้เพียง 8 คนเท่านั้น

พยานที่ถูกตัดออกนั้น หลายคนคืออดีตเจ้าหน้าที่ระดับบริหารของดีเอสไอ ที่จะมาให้ข้อเท็จจริงได้ว่า ในทางคดีนั้น ตัวผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลย และไม่เคยกระทำการใดๆ ที่จะเป็นความผิดในคดีฟอกเงินทั้งสิ้นและหนึ่งในพยานที่ถูกตัดออก คืออดีตเจ้าหน้าที่ระดับบริหารของดีเอสไอที่ถูกย้ายอย่างไม่เป็นธรรม และยังมีเรื่องฟ้องร้องกันอยู่ เนื่องจากทำคดีนี้อย่างตรงไปตรงมา และอาจทำงานไม่ตอบสนองกลุ่มบุคคลที่ถูกส่งมากำกับดูแล และคอยชักใยอยู่เบื้องหลังเจ้าหน้าที่ของดีเอสไอ ให้รีบสอบสวนเพื่อเอาผิดคดีนั้น แต่ยกเว้นยังไม่ต้องทำคดีนี้ อยู่ตลอดเวลา

และหากเหตุผลที่ตัดพยานเหล่านี้ออกคือ การปฏิบัติตาม “ธง” เพื่อตอบสนอง ”นาย” เมื่อสั่งมาให้ต้องฟ้อง ก็ต้องทำทุกทางเพื่อให้ฟ้องให้ได้ อะไรที่เป็นคุณกับผู้ถูกกล่าวหาก็ตัดออก แล้วไปหาเหตุที่เป็นโทษมาใส่เข้าไป มันจะได้ดูน่าเชื่อถือให้สั่งฟ้องได้

รัฐบาลที่คอยแอบสั่งหน่วยงานของรัฐ ให้คอยเป็นมือ-เป็นเท้าในการกระทืบฝ่ายตรงข้าม และสั่งให้ “ลดราวาศอก” เพื่อช่วยฟอกขาวให้กับพวกของตน อย่าคิดว่าคนอื่นจะรู้ไม่ทันครับ เจ้าหน้าที่ดีๆ ที่มีความรู้ความสามารถ ยึดหลักการของการทำหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม ท่านเล่นย้ายออกไปแทบจะหมดสิ้น แบบนี้หรือคือ ธรรมาภิบาลของการเข้ามาสร้างความปรองดองให้กับคนในชาติ..!!
ผมต้องปกป้องสิทธิของผม ด้วยการให้ทนายไปยื่นหนังสือ เพื่อขอให้ทบทวนการตัดพยานบุคคลที่ผมได้อ้างไว้ในคำแก้ข้อกล่าวหาของผมอีกครั้งครับ วัดกันดูครับ ระหว่าง “ธง” จากผู้มีอำนาจ กับ “ความถูกต้อง” DSI จะเลือกทางไหน??

จากนั้นเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2561 นายพานทองแท้ ได้โพสต์ข้อความบน “เฟซบุ๊ก” ส่วนตัว เรื่อง เช็คคนดัง-คดีดัง ตอนที่ 2 ว่า ครบรอบ 1 สัปดาห์ ที่ผมโพสต์รูปเช็คสั่งจ่ายเงินเข้าบัญชีบุคคลที่มีชื่อเสียง 2 ท่าน ที่ได้รับเงินจากเงินกู้กรุงไทยแล้ว วันนี้ผมจะขอเล่าให้ฟังต่อ เป็นตอนที่ 2 นะครับ ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า โลกโซเชี่ยลในปัจจุบันนี้ ได้ทำหน้าที่ตรวจสอบเรื่องราวต่างๆ อย่างสุดยอดมาก อาจจะเรียกได้ว่า ดีกว่าการตรวจสอบโดยหน่วยงานที่ตั้งมาอย่างเป็นทางการเลยด้วยซ้ำ

เพราะนอกจากโซเชียลจะทำหน้าที่กระจายข่าว ความไม่ชอบมาพากล ที่มีปรากฏให้เห็นอยู่ตลอดเวลาในช่วงปีขาลงของรัฐบาลนี้แล้ว โลกโซเชียลยังช่วยกันตรวจสอบและชี้ข้อผิดสังเกต ที่เกิดขึ้นในหน่วยงานของรัฐ อันอาจนำมาซึ่งการกระทำผิดกฎหมายในเรื่องต่างๆได้

ซึ่งในกรณีนี้ อาจเป็นเรื่องของการเลือกปฏิบัติ หรือ ละเว้นการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ของรัฐบางคน หรือ บางตำแหน่งก็ได้ (ซึ่งผมได้ทำเรื่องสงวนสิทธิ์ที่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเป็นรายบุคคลในทุกตัวบทกฎหมายไว้แล้ว หากตรวจพบการกระทำผิด)

มีแฟนเพจ และผู้ที่ได้ติดตามข่าวหลายท่าน ได้ตั้งข้อสังเกตและชี้ประเด็น ตลอดจนเสนอแนะกันเข้ามามากมาย ทั้งคอมเมนต์ในเพจนี้ ส่งข้อความเข้ามาหลังไมค์ และติดต่อเข้ามา เพื่อให้ข้อมูลที่น่าสนใจเยอะมาก ซึ่งผมจะขอสรุปรวมกัน แล้วเปิดมาขยี้ทีละประเด็นให้เห็นกันชัดๆไป โดยวันนี้จะขอเริ่มที่ประเด็นแรกคือ

เช็คที่ถูกนำมาเข้าบัญชี พล.ร.ท.พะจุณณ์ จำนวน 1 แสนบาท ซึ่งสั่งจ่ายจากเงินก้อนเดียวกันกับคดีที่เร่งรีบจะฟ้องผม แถมมีเลขที่เช็คติดกันกับของผม คือเช็คเลขที่ ‭2724851‬ และ ‭2724852‬ ซึ่งมีตัวแทน พล.ร.ท.(ย่อว่า PJ ละกันสั้นดี) ออกมาชี้แจงว่า เป็นเช็คที่จ่ายค่างานเลี้ยง(ในข่าวว่าเป็นงานเลี้ยงรุ่น วปอ. หรือไงนี่แหละ) แต่..ปรากฏว่า..

“เช็คเงินสดฉบับนี้ พล.ร.ท.PJ เป็นคนเซ็นต์นำฝากเอง โดยเขียนระบุด้วยลายมือว่า ให้นำเงินไปเข้าบัญชีเงินฝากประจำประเภท 12 เดือน อันเป็นบัญชีของออเจ้า พีเจ เองเจ้าค่ะ”

เรื่องนี้ มีข้อสังเกตจากนักสืบออนไลน์ และนักกฎหมายออนไลน์หลายท่านที่ส่งข้อมูลมาให้ ผมขอสรุปเป็นข้อๆดังนี้

    1. เงินก้อนที่บอกว่าเป็นเงินจากการกระทำความผิด ถูกนำไปเข้าบัญชีโดยระบุว่า เป็นการฝากประจำ 12 เดือน ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นบัญชีเงินฝากประเภทที่ให้ดอกผลสูงสุด มากกว่าการฝากประเภท 6 เดือน หรือ การฝากออมทรัพย์ ถือเป็นเจตนาหาประโยชน์งอกเงย จากเงินก้อนนี้หรือไม่?

    2. เงินที่บอกว่านำมาชำระหนี้ค่างานเลี้ยง – งานเลี้ยงที่ว่านี้ เป็นงานเลี้ยงในกลุ่มเพื่อนหรือลูกน้องของ PJ เองหรือไม่?

      2.1 ทำไมเจ้าของธุรกิจใหญ่ จึงต้องมาจ่ายค่างานเลี้ยงเป็นแสนๆ ให้นายทหาร?

      2.2 เงินจ่ายหนี้ค่างานเลี้ยง ทำไมจึงนำมาเข้าบัญชีฝากประจำ?

      2.3 กรณีนี้ ถือเป็นการรับทรัพย์เกิน 3,000 บาท ที่ทหารชั้นนายพลจะต้องสำแดงหรือไม่? ได้เคยสำแดงหรือยัง?

      2.4 หน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ ได้สอบสวนความผิดในประเด็นเหล่านี้หรือยัง?

      2.5 จนป่านนี้ยังไม่มีความคืบหน้าจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะปล่อยไปจนหมดอายุความหรือไม่?

      2.6 จะเร่งเอาผิดเฉพาะคดี พานทองแท้และพวก เท่านั้นหรือไม่?

    3. เมื่อนำกรณีนี้มาเปรียบเทียบกับกรณีเช็ค 26 ล้านของพานทองแท้ที่ตัวเงินยังไม่ทันเข้าบัญชีเลย เช็คก็ถูกยกเลิกไปก่อนแล้ว ไม่มีเงินเข้าบัญชีแม้แต่บาทเดียว ภายหลังเงินถูกนำไปเข้าบัญชีผู้อื่น ซึ่งผมได้ทราบว่า ได้มีการคืนเงินกลับไปแล้วทุกบาททุกสตางค์เช่นกัน ไม่มีใครได้รับผลประโยชน์ แต่ผมกลับจะโดนคดี

ส่งท้ายวันนี้ผมขอตั้งคำถามไปถึงผู้รับเช็ค เป็นคำถามในเชิงจริยธรรม(ที่คนดีพึงมี) ซึ่งถ้าท่านคือคนดีของแผ่นดินจริง ขอให้ท่านตอบต่อสาธารณชนด้วย เงินที่ท่านได้มาฟรีๆ โดยที่ไม่ได้ทำงานทำการอะไร และท่านได้นำไปเข้าบัญชี หรือจะนำไปเลี้ยงลูกน้องก็แล้วแต่ (รวมถึงเงินที่นำไปเข้ามูลนิธิฯก้อนนั้นด้วย) ในทางกฎหมายอาจสาวไปไม่ถึงตัวท่าน เจ้าหน้าที่ของรัฐอาจจะไม่กล้าเอาผิด และไม่กล้าสั่งฟ้องท่าน แต่ในทางจริยธรรมที่ท่านพึงมี เมื่อท่านได้ทราบที่มาที่ไปของเงินก้อนนี้อย่างกระจ่างชัด ว่าเป็นเงินที่ได้มาโดยมิชอบแล้ว ท่านมีความคิดที่จะนำเงินมาคืนให้กับเจ้าของ หรือ ผู้เสียหายหรือไม่ครับ.

  • ศาลฎีกาฯ ตัดสินจำคุก “วิโรจน์ นวลแข-อดีตบิ๊กกรุงไทย” 18 ปี คดีปล่อยกู้เอื้อ บมจ.กฤษดามหานคร
  • อสส. แจงไม่ฟ้อง “พานทองแท้” ในคดีปล่อยกู้กรุงไทย ฐานรับของโจร เพราะไม่ใช่ จนท.รัฐ – โยนคดีอยู่ที่ DSI
  • “ดีเอสไอโต้ ‘เอกสารตั้งธงฟ้องโอ๊ค’ ไม่รู้จริงหรือไม่ – ยันทำตามหลักฐาน”