ThaiPublica > เกาะกระแส > เกียรตินาคินภัทรโชว์ผลงานปี’ 60 – คงจุดแข็งรุกบริการธนาคารตลาดทุนครบวงจร

เกียรตินาคินภัทรโชว์ผลงานปี’ 60 – คงจุดแข็งรุกบริการธนาคารตลาดทุนครบวงจร

25 มกราคม 2018


นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร

เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2561 นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2560 ว่า เป็นอีกหนึ่งปีที่ผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจฯ ออกมาในระดับที่น่าพอใจ สะท้อนความมีประสิทธิภาพของโมเดลธุรกิจที่สามารถใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญของบริษัทในกลุ่มธุรกิจฯ ได้อย่างเต็มศักยภาพ เห็นได้จากผลประกอบการที่ประกาศไปเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิและกำไรเบ็ดเสร็จ รวมทั้งมีสินเชื่อรวมเติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดยจุดแข็งของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทรคือมีบริการและผลิตภัณฑ์การเงินและการลงทุนมีคุณภาพที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ทำให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ทั้งบรรษัทขนาดใหญ่ ลูกค้าสถาบัน เอสเอ็มอี และลูกค้าบุคคลรายใหญ่ ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งสามารถปรับการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว และกลุ่มธุรกิจฯ ยังคงไม่หยุดการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้ยิ่งกว่าเดิม

นายอภินันท์กล่าวถึงทิศทางธุรกิจในปี 2561 ว่า กลุ่มธุรกิจฯ มุ่งเป้าขยายฐานลูกค้าเชิงรุก เพื่อขยายฐานบัญชีทั้งสินเชื่อและเงินฝาก และสร้างโอกาสสำหรับการทำ cross-sell ผลิตภัณฑ์อื่นภายในกลุ่มธุรกิจฯ นอกจากนี้ยังจะพัฒนาช่องทางการลงทุนในต่างประเทศของลูกค้าบุคคลรายใหญ่ให้มีความหลากหลาย และทำให้ลูกค้าสามารถรับคำแนะนำในการลงทุนและทำรายการได้สะดวกและใกล้ชิดยิ่งกว่าที่รับบริการ private bank ต่างประเทศ

เมื่อกลางปี 2560 บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) (บล.ภัทร) ได้เปิดตัวบริการ Global Investment Service หรือ GIS บริการพิเศษที่ช่วยให้ลูกค้าบุคคลรายใหญ่สามารถบริหารเงินลงทุนในต่างประเทศผ่านสินทรัพย์ที่หลากหลายได้อย่างไร้พรมแดน โดยเป็นความร่วมมือกับพันธมิตร private bank ต่างประเทศ

สำหรับสินเชื่อรวม ธนาคารตั้งเป้าการเติบโตที่ราว 10% ด้านสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPLs) คาดว่าจะลดลงไปที่ประมาณ 4.5% ส่วนนโยบายทางด้านสาขานั้น ธนาคารมีแนวคิดการพัฒนาเครือข่ายสาขา ซึ่งรวมถึงการปิด ย้ายสาขา หรือปรับปรุง ตั้งแต่เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ปัจจุบันมี 66 สาขา เพราะเห็นว่าการทำธุรกรรมที่สาขาอาจมีไม่มากเท่าเดิม และยังมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ เข้ามาอำนวยความสะดวกมากขึ้น โดยในอนาคต หลายสาขาของธนาคารจะถูกยกระดับให้เป็น financial hub มากขึ้นจากปัจจุบันมีอยู่ 2 แห่ง คือ สาขาเซ็นทรัลเวิลด์และสาขาทองหล่อ และปี 2561 นี้จะเปิดอีกหนึ่งสาขาที่เยาวราช หรือสถานที่ให้ลูกค้าเข้ามารับคำปรึกษาในการลงทุนจากผู้เชี่ยวชาญ

ขณะที่บริการอื่นๆ จะพัฒนาไปสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ สอดคล้องกับโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศที่กำลังทยอยเกิดขึ้นภายใต้โครงการ National e-Payment โดยกลุ่มธุรกิจฯ จะใช้เครือข่ายสาขาที่มีอยู่ ตลอดจน Alternative Channel และ Information Technology มาสร้างโอกาสในการเข้าถึงสาขาและบริการที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการด้านการลงทุน โดยจะมีการเปิดตัวเร็วๆ นี้

“เวลามองเราหลายครั้งที่ผมพยายมาจะยกตัวอย่างให้ฟัง จะให้เห็นภาพ คือการเทียบมิติเดียวว่าเราเป็นธนาคาร แต่ถ้าดูให้ครบองค์ประกอบ เหมือนเราเป็นพอร์ตโฟลิโอของธนาคารพาณิชย์กับธุรกิจตลาดทุน ผลประกอบการจะเป็นแบบนั้น เวลาจะมองแผนในอนาคตว่าจะเดินไปในทิศทางไหน ก็ต้องแยกว่าเป็นธุรกิจธนาคารหรือบริหารความมั่งคั่งหรือตลาดทุน อย่างธุรกิจธนาคารพาณิชย์เราเลือกแล้วว่ากลุ่มเป้าหมายขนาดเล็กที่เราคิดแล้วว่าเราแข่งขันได้ นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้เข้าถึงคนวงกว้างขึ้นโดยไม่ต้องลงทุนเครือข่ายสาขา บริหารความเสี่ยงให้คมขึ้น ส่วน private banking นอกจากเรื่องใช้ฐานลูกค้าร่วมกัน เพื่อให้ต่อยอดอย่างก้าวกระโดดต่อไปจะต้องมีแพลตฟอร์มที่รวมกันมากขึ้นทั้งส่วนของธนาคารและตลาดทุนให้ครบวงจรมากขึ้น ซึ่งกลุ่มเป้าหมายเรายังพอมีเวลาที่จะปรับตัวเรื่องเทคโนโลยี เนื่องจากกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ใช้เทคโนโลยีมากเหมือนคนรุ่นใหม่ๆ สุดท้ายธุรกิจตลาดทุนจะรุกต่อยอดไปทำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์มากขึ้นจากเดิมที่การเป็นบริษัทหลักทรัพย์ยังไม่สามารถทำได้ ซึ่งจากผลงานในปีที่ผ่านมาพบว่าเป็นไปด้วยดี ” นายอภินันท์กล่าว

ส่วนภาพรวมการดำเนินงานปี 2560 ทั้งในส่วนธุรกิจธนาคารพาณิชย์และธุรกิจตลาดทุนมีพัฒนาการที่ดี โดยในปี 2561 นี้ ยังคงมุ่งเน้น 3 ธุรกิจหลัก ซึ่งสะท้อนจุดแข็งของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทรได้เป็นอย่างดี ได้แก่

1. ธุรกิจให้สินเชื่อและธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง ประกอบไปด้วยสินเชื่อรายย่อย (สินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภค) สินเชื่อธุรกิจ และธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับธนาคารพาณิชย์ที่ประกอบด้วยเงินฝาก ประกัน และการลงทุน สินเชื่อรายย่อยที่ธนาคารเกียรตินาคินมีส่วนแบ่งการตลาดในอันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรมคือสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ โดยสิ้นปี 2560 ยอดสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์อยู่ที่ 103,926 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 8% ทั้งนี้ แม้ยอดการปล่อยสินเชื่อในกลุ่มนี้ลดลงจากการที่กลุ่มธุรกิจฯ ให้ความสำคัญในการดูแลคุณภาพหนี้ มุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่อเฉพาะกับกลุ่มที่สามารถแข่งขันได้ดีและมีศักยภาพในการเติบโตสูง เช่น รถแท็กซี่ รถบ้าน รวมถึงสินเชื่อรถกู้เงินด่วน เป็นหลัก แต่อัตราผลตอบแทนรวมของสินเชื่อเช่าซื้อมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น

ส่วนสินเชื่อรายย่อยอื่น มีการขยายตัวในอัตราที่สูงตลอดปี 2560 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการขยายสินเชื่อผ่านสายงานช่องทางการตลาดและพัฒนาฐานลูกค้า ที่ธนาคารได้จัดตั้งขึ้นเพื่อเพิ่มช่องทางในการขยายตลาด ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบุคคลสินเชื่อ KK SME และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สำหรับสินเชื่อธุรกิจ กลุ่มธุรกิจฯ มุ่งเน้นทำตลาดในอุตสาหกรรมที่ธนาคารมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ได้แก่ สินเชื่อกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อพาร์ตเมนต์และโรงแรม สินเชื่อธุรกิจขนส่ง สินเชื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม และสินเชื่อเพื่อเครื่องจักรและวัสดุก่อสร้าง โดยสินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีสัดส่วนคิดเป็นครึ่งหนึ่งของสินเชื่อกลุ่มนี้ กำลังขยายตลาดไปสู่ลูกค้าขนาดใหญ่หรือบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น เช่น ล่าสุดที่ธนาคารได้มีโอกาสให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด บริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้าของประเทศ ในโครงการเดอะรีเซิร์ฟ สุขุมวิท 6 ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมลักชัวรี

ในส่วนของเงินฝากประกันและการลงทุนนั้น ในปี 2561 จะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น ตราสารหนี้ที่มีอนุพันธ์แฝง รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนสำหรับลูกค้ากลุ่มที่มีความชำนาญในการลงทุน ซึ่งมีเพียงสถาบันการเงินจำนวนไม่มากที่สามารถนำเสนอได้

2. ธุรกิจ private bank ประกอบไปด้วยสายงานที่ดูแลให้คำปรึกษาการลงทุนให้แก่ลูกค้าบุคคลรายใหญ่ โดยธุรกิจนี้นับเป็นจุดแข็งของกลุ่มธุรกิจฯ ที่แตกต่างจากธนาคารพาณิชย์อื่นๆ เนื่องจากกลุ่มธุรกิจฯ สามารถให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างครบวงจร และมีผลิตภัณฑ์หลากหลาย เช่น มีบริการซื้อขายหน่วยลงทุนของ บลจ. 20 แห่ง มีบริการกู้ยืมเพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือบริการสินเชื่อเพื่อการลงทุน หรือสินเชื่อ Lombard ทั้งนี้ สินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำ (Asset under Advice: AuA) มีมูลค่า 447,000 ล้านบาท แต่หากรวมเงินฝากที่ธนาคารด้วยจะมีมูลค่ากว่า 580,000 ล้านบาท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ลูกค้าบุคคลรายใหญ่มีต่อกลุ่มธุรกิจฯ

ส่วนการทำงานต่อจากนี้ ยังคงเน้นการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้มาตรฐานการบริการเทียบเท่า private bank ในต่างประเทศ โดยสำหรับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ภัทร จำกัด (บลจ.ภัทร) นั้น ในช่วงปีที่ผ่านมามีผลงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกองทุนที่เป็น flagship ไม่ว่า LTF, RMF หรือกองหุ้น ล้วนติดอันดับกองทุนที่มีผลการดำเนินการยอดเยี่ยม สำหรับปี 2561 นี้ บลจ.ภัทร จะเน้นการดูแลสินทรัพย์ที่หลากหลายขึ้น โดยเฉพาะ fixed income และ structured products อีกทั้งจะขยายความสามารถในการบริหารจัดการสินทรัพย์ในต่างประเทศในประเภท mutual fund และ private fund อีกด้วย

3. ธุรกิจ investment bank ประกอบไปด้วยธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ลูกค้าสถาบัน ธุรกิจลงทุน และธุรกิจบรรษัทและวาณิชธนกิจ โดย บล.ภัทร ได้ให้บริการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ในธุรกรรมสำคัญระดับประเทศหลายรายการ เช่น การปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัทสหพัฒน์ การเสนอขายหุ้น IPO ของ บมจ.บี กริม เพาเวอร์ และ บมจ.โกลบอลกรีนเคมิคอล อีกทั้งยังได้รับคัดเลือกให้ทำหน้าที่ที่ปรึกษาทางการเงินในการระดมทุนขนาดใหญ่อีกหลายรายการในปี 2561 ขณะที่ธุรกิจการเป็นนายหน้าค้าหลักทรัพย์ลูกค้าสถาบันและหน่วยงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ ก็สามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดและรายได้เป็นที่น่าพอใจ

ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ประเมินว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2561 จะเติบโตใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ 3.8% โดยมีปัจจัยหนุนหลัก 2 ปัจจัย คือ 1. ภาคเศรษฐกิจต่างประเทศ ทั้งจากการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่พร้อมเพรียงกัน (synchronized growth) ขณะที่มาตรการปฏิรูปภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจโลกเช่นกัน และ 2. ภาคเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น การเบิกจ่ายงบกลางปี เป็นต้น ด้านการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นแต่ไม่โดดเด่นนัก

ฝ่ายวิจัยฯ ระบุว่า มีประเด็นที่ต้องจับตา 3 ประการ ได้แก่ 1. เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้อย่างทั่วถึงหรือไม่ โดยที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวจากภาคระหว่างประเทศเป็นหลัก 2. การลงทุนของภาครัฐและเอกชนจะกลับมาขยายตัวหรือไม่ โดยที่ผ่านมาการเบิกจ่ายงบลงทุนของภาครัฐที่รวมรัฐวิสาหกิจต่ำกว่าเป้ามาโดยตลอด และ 3. ความตึงตัวภาคการเงินจะผ่อนคลายลงหรือไม่ โดยที่ผ่านมาแม้อัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินอยู่ในระดับต่ำ แต่สภาพคล่องทางการเงินมิได้ไหลเข้าไปสู่ภาคธุรกิจที่มีความต้องการทางการเงินเท่าที่ควร

นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร(ซ้าย)และนายชวลิต จินดาวณิค ประธานสายการเงินและงบประมาณ (ขวา)

ด้านนายชวลิต จินดาวณิค ประธานสายการเงินและงบประมาณ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานปี 2560 เปรียบเทียบกับปี 2559 ว่า ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 5,737 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.4% และมีกำไรเบ็ดเสร็จรวมเท่ากับ 6,115 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.2% มีสินทรัพย์รวม 259,335 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.9% ทางด้านอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) คำนวณตามเกณฑ์ Basel III รวมกำไรถึงสิ้นปี 2559 อยู่ที่ 16.46% เป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 13.31% หากรวมกำไรถึงสิ้นปี 2560 อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงจะเท่ากับ 17.95% เป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 14.80%

สำหรับผลการดำเนินงานของธุรกิจธนาคารพาณิชย์นั้น สินเชื่อของธนาคารในปี 2560 มีการขยายตัวที่ 9.3% หลังจากที่มีการหดตัว 3 ปีต่อเนื่องในปี 2557-2559 โดยสินเชื่อมีการขยายตัวในเกือบทุกประเภทยกเว้นสินเชื่อเช่าซื้อที่หดตัวลง ทั้งนี้ สินเชื่อของธนาคารที่มีการขยายตัวค่อนข้างดี ได้แก่ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 205% สินเชื่อ Micro SMEs ซึ่งรวมสินเชื่อ KK SME เพิ่มขึ้น 84% สินเชื่อบุคคลเพิ่ม 35% สินเชื่อบรรษัทเพิ่ม 130% สินเชื่อ Lombard เพิ่ม 62%

ในด้านคุณภาพของสินเชื่อ อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 5.0% ปรับตัวดีขึ้นจาก 5.6% เมื่อสิ้นปี 2559 สำหรับธุรกิจตลาดทุนนั้น มีรายได้รวมราว 3,000 ล้านบาท บล.ภัทรมีส่วนแบ่งตลาด 4.69% เป็นอันดับที่ 5 จากบริษัทหลักทรัพย์ทั้งหมด 38 แห่ง ตลอดจนมีรายได้จากค่าธรรมเนียมวาณิชธนกิจและจากการลงทุนเพิ่มขึ้นเป็นที่น่าพอใจ