ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 16-22 ธ.ค. 2560
นายกฯ เซ็น ม.44 ปลดล็อกพรรคการเมืองทั้งเก่าและใหม่ ให้ดำเนินการตามกรอบเวลา 3 ระดับ
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2017/12/Screen-Shot-2017-12-22-at-7.05.47-PM-620x559.png)
วันที่ 22 ธ.ค. 2560 เว็บไซต์เนชั่นทีวีรายงานว่า เวบไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่คำสั่ง คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 53/2560 เรื่อง การดําเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ให้ขยายกําหนดเวลาตามบทเฉพาะกาล มาตรา 141 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ซึ่งกําหนดเวลาดังกล่าวอาจขยายได้อยู่แล้วเป็นกรณีๆ ไป โดยได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนพรรคการเมือง แต่เพื่อให้ทุกพรรคการเมือง ได้รับประโยชน์เสมอกันจึงควรได้รับการพิจารณาไปพร้อมกัน
โดยก่อนหน้านั้น เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า เมื่อเวลา 14.45 น. วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คาดว่าในวันดังกล่าวนี้จะประกาศคำสั่งมาตรา 44 เรื่องการขยายเวลาให้พรรคการเมืองได้ดำเนินการเรื่องต่างๆ โดยเป็นการแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง โดยวาระสำคัญจะกำหนดให้พรรคการเมืองทั้งเก่าและใหม่ ได้ดำเนินการตามกรอบเวลา 3 ระดับ คือ
- นับตั้งแต่วันประกาศคำสั่งมาตรา 44 ไปจนถึงวันที่ 1 มี.ค. 2561
- จากวันที่ 1 มี.ค. 2561 ไปจนถึง 1 เม.ย. 2561
- จากวันที่ 1 เม.ย. 2561 เป็นต้นไป หลังจากนั้นจะมีการปลดล็อกพรรคการเมือง โดยจะยกเลิกประกาศ คสช. และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่เป็นปัญหา และอุปสรรคต่อการเลือกตั้งโดยเสรี
นายวิษณุ กล่าวว่า ขอให้ค่อยๆ อ่าน เพื่อความเข้าใจ อ่านไปอย่ายัวะไป มีความยาวเหมือนวิทยานิพนธ์ 1 เล่ม ต้องอ่านตั้งแต่หน้าแรกถึงหน้าสุดท้ายจึงจะเข้าใจเหตุผล และขั้นตอนทั้งหมด ก่อนออกคำสั่ง คสช. ได้ประเมินแรงกระเพื่อมทางการเมืองไว้แล้ว หากพรรคการเมืองให้ความร่วมมือดี ทุกอย่างน่าจะเรียบร้อยไม่มีปัญหา จากคำสั่งดูแล้วไม่ทำให้ใครเดือดร้อน หรือเสียประโยชน์ และคำสั่งนี้ประชาชนได้ประโยชน์ การขยายกรอบเวลาครั้งนี้ ยังไม่มีอะไรที่ทำให้เหลื่อมล้ำเวลาของโรดแมปที่วางเอาไว้ ยืนยันว่าการเลือกตั้งยังอยู่ในโรดแมปเดิมที่ได้แจ้งเอาไว้ เว้นแต่จะมีตัวแปรอย่างอื่น ซึ่งไม่มีใครรู้ และไม่อยากพูดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
สนช. ค้านหนัก ปม ป.ป.ช. เสนอเพิ่มอำนาจดักฟังให้ตนเอง
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2017/12/630px-Henri_Adolphe_Laissement_Kardinäle_im_Vorzimmer_1895-620x472.jpg)
ที่มาภาพ: วิกิพีเดีย (https://goo.gl/n1hgVY)
วันที่ 21 ธ.ค. 2560 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต วาระ 2 และ 3 ตามที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พิจารณาเสร็จแล้ว จำนวน 193 มาตรา ซึ่งมีสาระสำคัญหลายประการ เช่น
- การกำหนดให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐทุกระดับยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อหน่วยงานต้นสังกัด ตั้งแต่เริ่มเข้าทำงาน ขณะที่ผู้ทำงานอยู่แล้วให้ยื่นภายในเวลาที่กำหนด
- การกำหนดให้คู่สมรสที่ไม่จดทะเบียนของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. โดยให้ ป.ป.ช. เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์
- การกำหนดระยะเวลาไต่สวนพิจารณาคดีของ ป.ป.ช. ต้องทำให้เสร็จภายใน 2 ปี
- การเพิ่มอำนาจให้ ป.ป.ช. สามารถดักฟังข้อมูลทางโทรศัพท์และอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ทุกชนิด ในคดีทุจริตและร่ำรวยผิดปกติของนักการเมือง ข้าราชการ และประชาชน
- การต่ออายุการดำรงตำแหน่ง ป.ป.ช. ชุดปัจจุบันให้อยู่จนครบวาระ 9 ปี
ประเด็นที่มีการถกเถียงกันมากนั้นก็คือกรณีของ มาตรา 37/1 หรือก็คือเรื่องการเพิ่มอำนาจให้ ป.ป.ช. สามารถดักฟังข้อมูลทางโทรศัพท์และอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ทุกชนิด ในคดีทุจริตและร่ำรวยผิดปกติของนักการเมือง ข้าราชการ และประชาชน นั่นเอง โดยสมาชิก สนช. มีความเป็นห่วงว่าจะเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 36 และอาจเป็นดาบ 2 คม จึงขอให้ กมธ. ตัดมาตรา 37/1ทิ้ง
ตัวอย่างความเห็นค้านของสมาชิก สนช. ท่านต่างๆ มีดังนี้
นายวิชา มหาคุณ อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อย อภิปรายว่า การใช้อำนาจเกินขอบเขต เรียกร้องมากเกินไป อาจทำให้องค์กรสั่นสะเทือนได้ ยิ่งหากหลักฐานที่ได้มาไม่บริสุทธิ์ จะเป็นสิ่งที่ทิ่มตำทำลายผู้ที่นำหลักฐานนั้นมาใช้เอง เป็นห่วงว่า หากข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีหลุดออกไปอาจเป็นเครื่องมือนำไปใช้แบล็คเมล์ทางการเมืองกันได้ เป็นเรื่องที่ต้องระวัง ประเด็นนี้อ่อนไหวที่สุด ไม่ควรนำมาใส่เลย และต้องฟังเสียงประชาชนให้รอบด้าน
นายสมชาย แสวงการ สนช. อภิปรายว่า การให้อำนาจ ป.ป.ช. สืบค้นข้อมูลทางโทรศัพท์ ไลน์ เฟซบุ๊กได้เป็นภัยทางการเมืองต่อทุกคน อาจมีการดักฟังข้อมูลในทุกเรื่อง ถือว่าอันตรายต่อสิทธิเสรีภาพประชาชน หากยังเดินหน้าต่อไปจะมีผู้ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความอย่างแน่นอน
นายตวง อันทะไชย สนช. อภิปรายว่า การออกกฎหมายใดๆ ต้องพึงระวังเรื่องการละเมิดสิทธิเสรีภาพเกินสมควรแก่เหตุ อยากทราบว่าจะมีกลไกใดเข้าไปถ่วงอำนาจการสืบค้นข้อมูลส่วนตัวทางโทรศัพท์ ไลน์ เฟซบุ๊กได้ เพราะในอนาคตอาจมีการหยิบยกข้อมูลส่วนตัวเหล่านี้มาอภิปรายทำลายคู่ต่อสู้ทางการเมืองได้ เหมือนอย่างในอดีตที่เคยให้อำนาจกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ล้นฟ้า สุดท้ายกลับตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง นำมาใช้กลั่นแกล้งคู่ต่อสู้ทางการเมือง ขอให้พิจารณาอย่างรอบคอบ
ส่วนทางด้านของกรรมาธิการเสียงข้างมากนั้น พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ ซึ่งเป็นประธาน ป.ป.ช. ด้วยได้อภิปรายว่า การใช้คำว่าดักฟังเป็นการสร้างภาพที่น่ากลัว เพราะ กมธ.เสียงข้างมากไม่มีเจตนาต้องการล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 36 เพราะการจะใช้อำนาจตามมาตรา 37/1 ได้ ต้องผ่านมติเห็นชอบจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้ง 9 คนก่อนว่ามีเหตุผลเพียงพอที่จะขอยื่นอนุมัติต่อศาล เมื่อ ป.ป.ช. อนุญาตแล้วต้องส่งเรื่องให้อธิบดีศาลทุจริตและประพฤติมิชอบให้ความเห็นชอบด้วย ไม่ใช่แค่ให้ผู้พิพากษาทั่วไปอนุญาต ที่สำคัญฐานความผิดที่เข้าข่ายใช้มาตรา 37/1 ได้ต้องเป็นเรื่องสำคัคญมีผลกระทบในวงกว้าง เมื่ออธิบดีศาลฯ อนุญาตแล้ว ป.ป.ช. จะมีเวลาไม่เกินครั้งละ 90 วันในการใช้อำนาจตามมาตราดังกล่าว ส่วนข้อมูลที่ได้มา จะใช้เฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีเท่านั้น ข้อมูลที่ไม่เกี่ยวกับคดีจะถูกทำลายทันที ป.ป.ช. ไม่มีเจตนาจะละเมิดสิทธิประชาชน แต่จะทำทุกทางเพื่อตรวจสอบการทุจริต
อนึ่ง แม้การอภิปรายจะยังไม่จบสิ้นภายในวันดังกล่าว และต้องเลื่อนมาอภิปรายกันต่อในช่วงเช้าของวันที่ 22 ธ.ค. 2560 แต่ในที่สุด จากการรายงานของเว็บไซต์ข่าวสด ก็ได้มีการถอนมาตรา 37/1 รวมถึงมาตรา 37/2 และมาตรา 37/3 ออกไปแล้ว โดย พล.ต.อ. ชัชวาล สุขสมจิตร์ ประธาน กมธ. กล่าวว่า การดักฟังถือเป็นเครื่องมือที่มีความจำเป็น แต่ กมธ. ไม่ต้องการให้สภาเสียเวลากับปัญหาดังกล่าว และเห็นว่าเวลายังไม่เหมาะสม
บีทีเอสยันใช้บัตรแมงมุมไม่ขึ้นราคา เผย ขบวนใหม่เริ่มมาปี ’61 มาครบปี ’62
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2017/12/Screen-Shot-2017-12-22-at-7.16.19-PM-620x408.png)
วันที่ 21 ธ.ค. 2560 เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ชี้แจงกรณีตามที่มีข่าวระบุว่า บริษัทฯ จ่อขึ้นราคาค่าโดยสารหลังเปิดใช้ระบบตั๋วร่วม หรือบัตรแมงมุม เพื่อเชื่อมกับระบบขนส่งมวลชนอื่นโดยใช้บัตรเพียงใบเดียวนั้น ไม่มีมูลความจริงแต่ประการใด
พร้อมย้ำให้ความร่วมมือกับรัฐในการจัดทำตั๋วร่วมเต็มที่ เพราะได้ร่วมมือกับทางภาครัฐมาตั้งแต่ต้นและเป็นรายแรกในการเซ็น MOU หรือบันทึกความร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อทำระบบตั๋วร่วม ซึ่งบริษัทฯ ได้พยายามในการที่จะให้ตั๋วร่วมนี้สามารถใช้ร่วมกับบัตร Rabbit ได้ และในอนาคต เมื่อมีส่วนต่อขยายออกไปหลายสาย ในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งถ้าเป็นสายสีเขียวด้วยกันจะไม่มีค่าแรกเข้า ส่วนสายสีอื่นๆ จะมีค่าแรกเข้า ซึ่งตรงนี้บริษัทฯพร้อมที่จะหารือร่วมกับทุกฝ่ายและทางภาครัฐเรื่องค่าแรกเข้าเพื่อให้เกิดความพอดี และประชาชนไม่เดือดร้อน
ส่วนการปรับค่าโดยสารที่เรียกเก็บสำหรับรถไฟฟ้าบีทีเอสในส่วนของเส้นทางสัมปทานระยะทาง 23.5 กิโลเมตร สายสุขุมวิท และสายสีลม บริษัทฯ ได้มีการปรับราคาค่าโดยสารครั้งล่าสุดที่ผ่านมาเมื่อเดือนตุลาคม 2560 ซึ่งสัญญาสัมปทานกำหนดให้บริษัทฯสามารถปรับค่าโดยสารที่เรียกเก็บได้ทุก 18 เดือนแต่ต้องไม่เกินเพดานอัตราค่าโดยสาร ดังนั้นจึงขอให้ผู้ใช้บริการวางใจได้ว่าบริษัทฯ จะยังไม่มีการเรียกเก็บหรือปรับราคาค่าโดยสารในขณะนี้แต่อย่างใด
ส่วนการจัดทำตั๋วร่วมของรัฐบาลไม่มีผลกับการปรับขึ้นค่าโดยสารบีทีเอส เพราะเป็นเรื่องของอนาคต ที่รัฐบาลจะพิจารณาร่วมกับเอกชนผู้ให้บริการทุกราย บริษัทฯ ยินดีให้ความร่วมมือในการจัดทำตั๋วร่วมมาตั้งแต่ต้นไม่ว่าเอกชนรายใดจะถอนตัวออกไป บริษัทฯก็ยังคงร่วมงานกับรัฐ โดยเฉพาะระบบบัตรบัตรแมงมุมที่พัฒนาระบบเปิดไว้ให้บัตรโดยสารของผู้ให้บริการทุกรายสามารถเชื่อมต่อกับบัตรแมงมุมได้โดยง่าย ไม่ใช่เฉพาะของบีทีเอสเพียงรายเดียว
นายสุรพงษ์กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคืบหน้ารถไฟฟ้าขบวนใหม่ที่ได้ลงนามสั่งซื้อไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2559 จำนวน 46 ขบวน 148 ตู้มูลค่ารวม 11,000 ล้านบาทกับ บริษัทซีเมนส์ จำกัด 22 ขบวน จะทยอยเข้ามาในปี 2561 และบริษัทฉางชุน เรลเวย์ เวฮิเคิล จำกัด 24 ขบวน จะทยอยมาถึงเมืองไทยจนครบ ในปี 2562
โดยขบวนแรกจะเข้ามาประมาณเดือนพฤษภาคม ปี 2561 เพื่อจะมาทดสอบระบบต่างๆ ทั้งนี้เพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสารที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยสถิติสูงสุดของผู้โดยสารเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา มีจำนวน 918,109 เที่ยวคนซึ่งเป็นสถิติใหม่ล่าสุด
เครือข่ายงดเหล้าหนุน สธ. อุดช่องโหว่ เจาะเลือดตรวจแอลกอฮอล์อุบัติเหตุทุกราย
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2017/12/Screen-Shot-2017-12-22-at-7.21.31-PM-620x410.png)
วันที่ 22 ธ.ค. 2560 เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า ที่กระทรวงสาธารณสุข ภก.สงกรานต์ ภาคโชคดี ผอ.สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) พร้อมด้วยเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต และเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ กว่า 30 คน เดินทางมายังกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อยื่นหนังสือถึง นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข เพื่อสนับสนุนมาตรการเจาะเลือดวัดแอลกอฮอล์ในอุบัติเหตุทุกราย และให้กำลังใจกระทรวงยืนหยัดตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 หลังมีการวิ่งเต้นขอแก้กฎหมาย เพื่อเปิดทางให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้อย่างเสรีมากขึ้น โดยมี นพ.โสภณ เมฆธน ที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข เป็นตัวแทนรับหนังสือ
ภก.สงกรานต์ กล่าวว่า เครือข่ายฯ ขอสนับสนุนมาตรการเจาะเลือดเพื่อวัดปริมาณแอลกอฮอล์กับผู้ประสบอุบัติเหตุจราจรทางถนนทุกราย เพราะที่ผ่านมามีปัญหาคนไม่ยอมให้ตรวจวัดแอลกอฮอล์ ใช้ช่องว่างของกฎหมายบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้ตรวจ เพราะฐานโทษความผิดจะสูงกว่า โดยหากทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี ปรับสูงสุด 2 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลมีสิทธิพักหรือถอนใบอนุญาตขับรถได้ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมากระทรวงก็เคยทำเมื่อเทศกาลสงกรานต์โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจส่งเรื่องมาให้ รพ. ตรวจเลือดหาปริมาณแอลกอฮอล์ ถ้าเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถือว่าเมาสุรา ซึ่งมาตรการนี้มีความก้าวหน้าทางนโยบาย ช่วยถ่วงดุลการทำงานระหว่างสาธารณสุขและตำรวจ หลังพบพวกหัวหมอเมาแล้วขับแต่ไม่ยอมเป่า กลับพยายามวิ่งเต้นขอเคลียร์ผู้ใหญ่ เชื่อว่ามาตรการนี้จะปิดช่องตำรวจชั้นผู้น้อยถูกขอจากกรณีเมาแล้วขับได้มากขึ้น
ด้าน นพ.โสภณ กล่าวว่า การลดอุบัติเหตุเป็นนโยบายที่กระทรวงดำเนินการ และประสบความสำเร็จในหลายพื้นที่ ส่วนการวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดผู้ประสบอุบัติเหตุนั้นเริ่มทำเมื่อช่วงสงกรานต์ เจาะเลือดตรวจประมาณ 700 กว่าราย พบกว่าครึ่งมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ส่วนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 นี้ก็จะดำเนินการต่อโดยไม่ต้องแก้กฎหมาย ทั้งนี้ได้รับงบประมาณจาก สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) 1.4 ล้านบาท คาดว่าจะตรวจได้ประมาณ 1,000 ราย ในรายที่เกิดอุบัติเหตุและตำรวจร้องขอให้ตรวจ ทั้งนี้โดยหลักการจะต้องตรวจภายใน 4 ชั่วโมง เนื่องจากทุก 2 ชั่วโมงปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดจะลดลง
ไทยโหวตหนุนยูเอ็น ค้านสหรัฐฯ รับรองเยรูซาเลม
จากกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ยอมรับนครเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล จนทำให้บรรดาชาติสมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติออกร่างมติที่มีเนื้อหาสำคัญยืนยันว่า “การตัดสินใจหรือการกระทำใดๆ ที่เปลี่ยนแปลงสถานะ ลักษณะ หรือองค์ประกอบของประชากรแห่งนครศักดิ์สิทธิ์เยรูซาเลม ถือว่าไม่มีผลทางกฎหมาย เป็นโมฆะ และจะต้องถูกยกเลิก เพื่อเป็นการปฏิบัติตามข้อมติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องของคณะมนตรีความมั่นคงฯ” และ “ขอเรียกร้องให้ทุกชาติงดเว้นไม่ประจำการคณะทูตในนครเยรูซาเลม ตามมติที่ 478 ของคณะมนตรีความมั่นคงฯ ซึ่งออกมาเมื่อปี 1980”
ร่างมติดังกล่าวทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ถึงขั้นประกาศขู่จะตัดความช่วยเหลือด้านการเงินกับประเทศที่สนับสนุนร่างมตินั้น โดยเว็บไซต์บีซีไทยรายงานว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวต่อผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า “พวกเขาเอาเงินไปเป็นร้อยล้านพันล้าน จากนั้นก็ลงคะแนนต่อต้านเรา…ให้เขาลงคะแนนต่อต้านเราไปเลย เราจะประหยัดเงินได้อีกมาก เราไม่ใส่ใจ” ร่างมติสหประชาชาติดังกล่าว ไม่ได้อ้างถึงสหรัฐฯ แต่ระบุว่า ควรจะเพิกถอนการตัดสินใจใดก็ตามเกี่ยวกับเยรูซาเลม
รายงานของบีบีซีไทยยังระบุด้วยว่า ไทยเป็นหนึ่งใน 128 ประเทศ ที่ลงคะแนนในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ เพื่อสนับสนุนร่างมติเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกา เพิกถอนการรับรองนครเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล แม้ว่จะมีการขู่ตัดการสนับสนุนดังกล่าวไปแล้วก็ตาม