ThaiPublica > เกาะกระแส > “ประสาร ไตรรัตน์วรกุล” ประธาน กก.ปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ ชี้ “การพัฒนาเศรษฐกิจที่แท้จริง ไม่ใช่การพัฒนาแบบหยาบๆ”

“ประสาร ไตรรัตน์วรกุล” ประธาน กก.ปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ ชี้ “การพัฒนาเศรษฐกิจที่แท้จริง ไม่ใช่การพัฒนาแบบหยาบๆ”

20 พฤศจิกายน 2017


ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ

ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ กล่าวเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “ร่วมปฏิรูปเศรษฐกิจไทย…สร้างความแข็งแกร่งให้กับ SMEs” เมื่อวันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2560 ว่า

“ก่อนจะเริ่มงานผมอยากจะใช้เวลาสักเล็กน้อยเล่าถึงความคืบหน้าและภาพรวมของการจัดทำแผนปฏิรูปเศรษฐกิจและความสำคัญของการสร้างความแข็งแกร่งให้ SMEs”

การพัฒนาเศรษฐกิจหลายทศวรรษที่ผ่านมาช่วยยกระดับประเทศไทยจากที่เคยยากจนที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคจนกลายเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง นับเป็นผลการพัฒนาที่น่าพึงพอใจ กล่าวคือ ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยขยายตัวมากกว่า 10 เท่า ความยากจนลดลงอย่างมาก เศรษฐกิจมหภาคมีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ และมาตรฐานการดำรงชีวิตของคนไทยดีขึ้นอย่างชัดเจน

แต่อีกด้านก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างในหลายเรื่อง เช่น ศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดลง ช่วงก่อนปี 2540 GDP ประเทศไทยเคยเติบโตเฉลี่ยประมาณ 9% ต่อปี ช่วงปี 2543-2556 โตเฉลี่ยประมาณ 4% ต่อปี แต่ในช่วงหลังๆ กว่าจะโตได้ถึง 4% ก็นับว่ายาก ถึงแม้วันนี้ตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ที่ประกาศออกมาจะเกิน 4% แต่ทั้งปีก็คิดว่ายังต้องลุ้น ส่วนหนึ่งมาจากทิศทางการพัฒนาที่มุ่งเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ ผลประโยชน์จากการพัฒนาไม่ได้กระจายไปสู่ประชาชนกลุ่มต่างๆ อย่างทั่วถึง ประเทศไทยจึงติดอยู่ในกลุ่มที่มีปัญหาความเหลื่อมล้ำในระดับต้นๆ ของโลก ทั้งในด้านความเหลื่อมล้ำด้านเศรษฐกิจ ด้านโอกาส และด้านความสามารถในการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการรายเล็ก-รายใหญ่ รวมทั้ง ปัญหาคอร์รัปชัน ที่เป็นต้นทุนแฝงที่ทำให้ทั้งประชาชนและภาคธุรกิจมีต้นทุนการดำรงชีวิตและการประกอบธุรกิจที่สูงขึ้น

ปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขจะเหนี่ยวรั้งการพัฒนาและการก้าวต่อไปของประเทศ โดยเฉพาะเมื่อมองไปข้างหน้า โลกที่เราอยู่จะไม่เหมือนเดิม เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าจะเปลี่ยนพฤติกรรมของคน รูปแบบการทำธุรกิจ งานหลายอย่างจะหายไป และหลายอย่างอาจจะถูกแทนด้วยระบบอัตโนมัติ อีกทั้งการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุจะทำให้แรงงานหายากขึ้นและค่าแรงแพงขึ้น จึงทำให้บริบทในอนาคตมีความท้าทายยิ่ง

ภายใต้บริบทของโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงเร็ว และปัญหาเชิงโครงสร้างที่กล่าวข้างต้น คณะกรรมการฯ ได้กำหนดเป้าหมายหลักของการปฏิรูปไว้ว่า ใน 20 ปีข้างหน้า อยากจะเห็นประเทศไทยมี “การพัฒนาเศรษฐกิจที่แท้จริง”

หลายท่านอาจจะมีคำถามว่า การพัฒนาเศรษฐกิจที่แท้จริงคืออะไร?

การพัฒนาเศรษฐกิจที่ผลลัพธ์ไม่ใช่แค่โตปีละมากๆ ไม่ใช่การพัฒนาแบบหยาบๆ แต่เป็นการพัฒนาที่จะต้องคำนึงถึงการเพิ่มศักยภาพของทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจ และเป็นการพัฒนาที่ให้ความสำคัญกับการกระจายผลประโยชน์ไปสู่ประชาชนแต่ละคน รวมทั้งจะต้องเป็นการพัฒนาที่จะช่วยให้ประเทศก้าวหน้าไปได้อย่างยั่งยืน พูดสั้นๆ คือ เศรษฐกิจไทยต้อง “แข่งขันได้-กระจายประโยชน์ไปสู่ประชาชน-เติบโตยั่งยืน”

ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้แบ่งประเด็นปฏิรูปออกเป็น 3 ด้าน สำคัญ

ด้านที่ 1 การเพิ่มผลิตภาพและความสามารถในการแข่งขัน ให้กับทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจ

ระยะสั้น – การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่เราเก่ง มีความชำนาญ เช่น เกษตรแปรรูป อาหาร ท่องเที่ยว สุขภาพ ยานยนต์ การค้า SMEs Hospitality รวมทั้งเรื่องที่วันนี้เรายังไม่เก่ง แต่ต้องให้ความสำคัญ เพราะจะช่วยสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่จะต่อยอดขึ้นไป เช่น เทคโนโลยีดิจิทัล และเทคโนโลยีชีวภาพ

ระยะกลาง – การขยายตลาดด้วยการสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศกลุ่ม CLMVT มีขนาดตลาด 230 ล้านคน ซึ่งรวมบังกลาเทศอีก 160 ล้านคน จะทำให้ตลาดมีขนาดถึง 400 ล้านคน ซึ่งประเทศกลุ่มนี้โตปีละ 6-8% โดยมีการเชื่อมโยงกันผ่านโครงข่ายคมนาคมที่จะเอื้อให้บริษัทต่างๆ เลือกใช้ไทยเป็นฐานในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาค (Regional Supply Chain)

ระยะยาว – การก้าวเป็น Innovation Hub และ Startup Nation ที่รายได้หลักจะมาจากการสร้างนวัตกรรมของเราเอง และเป็นผู้นำและแหล่งกำเนิดของ Startup ในภูมิภาค รวมถึงส่งเสริมการวิจัยและใช้ Big data เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน

ด้านที่ 2 การลดความเหลื่อมล้ำ และกระจายประโยชน์จากการพัฒนาไปสู่ประชาชนให้ทั่วถึงมากขึ้น โดยจะมีหน่วยงานดูแลจากส่วนกลาง มีการจัดสรรประโยชน์ใหม่ ที่จะช่วยให้สังคมมีความสมดุลมากขึ้น และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งมองได้หลายระดับ

ระดับประเทศสังคม – การพัฒนาหัวเมืองใหญ่ในภาคต่างๆ ควบคู่ไปกับกรุงเทพฯ และการจัดสรรงบประมาณให้กับจังหวัดที่ยากจน เพื่อกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค การสร้างระบบสวัสดิการพื้นฐาน การปฏิรูประบบภาษี การเร่งโครงการประชารัฐ เพื่อให้กลุ่มธุรกิจที่ประสบความสำเร็จช่วยเหลือทุกคนให้เข้มแข็งมากขึ้น

ระดับชุมชน – การสร้างชุมชนที่เข้มแข็ง ซึ่งรวมถึงการจัดให้มีสถาบันการเงินในชุมชนต่างๆ การพัฒนาระบบสวัสดิการชุมชนการส่งเสริมให้มีวิสาหกิจชุมชน ตลอดจนการวางกรอบเพื่อสนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) เป็นต้น

ระดับบุคคล – การเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกรและกลุ่มแรงงานที่ยากจนในระดับฐานราก โดยเปิดโอกาสการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมมากขึ้น เพื่อให้เขาสามารถยืนอยู่บนขาของตนเองได้

ด้านที่ 3 การปฏิรูปโครงสร้างสถาบันทางเศรษฐกิจ (Institution) ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการปรับกลไกและบทบาทของภาครัฐ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยการปฏิรูปด้านที่ 1 และ 2 ให้สำเร็จ เพราะภาครัฐเป็นผู้กำหนดนโยบาย กฎหมาย กฎเกณฑ์ กติกา ซึ่งจะมีผลต่อการสร้างแรงจูงใจและระบบนิเวศน์ที่เอื้อให้ระบบเศรษฐกิจพัฒนาได้เต็มศักยภาพ

โดยเรื่องที่สำคัญ คือ การปฏิรูปกฎหมายเศรษฐกิจให้ทันสมัย เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ (ease of doing business) ภาครัฐต้องปรับบทบาทจากผู้กำกับดูแล ให้เป็นผู้สนับสนุนภาคธุรกิจ และปล่อยให้มีการแข่งขันตามระบบตลาดเสรีให้มากขึ้น รวมทั้งปรับปรุงกลไกหน่วยงานภาครัฐ ทั้งในระดับการวางยุทธศาสตร์ การปฏิบัติ และการติดตามประเมินผล ดังนี้

  • หน่วยงานยุทธศาสตร์ – ที่จะทำหน้าที่ต้นหน กำหนดทิศทางการพัฒนา
  • ฐานข้อมูลและระบบข้อมูล
  • หน่วยงานด้านงบประมาณ – ที่จะทำหน้าที่จัดสรรงบประมาณที่จะไปสู่ Unit ต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ปฏิรูปด้านการคลัง และความยั่งยืนของระบบประกันสังคมและประกันสุขภาพ
  • หน่วยงานบริหารจัดการสินทรัพย์ของภาครัฐ –ให้ Value creation ได้เต็มศักยภาพ
  • กลไกการปฏิบัติ และประเมินผล – ที่จะยกระดับ Execution ด้านนโยบายให้เป็นระบบ ไม่ล่าช้า

การสร้างความเข็มแข็งให้ SMEs ซึ่งเป็นหัวข้อของการประชุมเชิงปฏิบัติการในวันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญและเกี่ยวเนื่องกับการปฏิรูปเศรษฐกิจด้านที่ 1 ด้านการยกระดับการแข่งขันและผลิตภาพ และ การปฏิรูปเศรษฐกิจด้านที่ 2 ด้านการลดความเหลื่อมล้ำที่ผมกล่าวในตอนต้น เพราะกว่าร้อยละ 99 ของผู้ประกอบการในประเทศไทย คือ SMEs ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการจ้างงานร้อยละ 80 ของทั้งประเทศ

การยกระดับความสามารถของ SMEs ให้สามารถเป็นฟันเฟืองของระบบเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ท้าทาย ซึ่งผมคิดว่า ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจะต้องร่วมมือกันอย่างรอบด้านในทุกมิติ ที่ผ่านมาการให้ความช่วยเหลือจากภาครัฐจะให้น้ำหนักไปด้านการเข้าถึงสินเชื่อเป็นสำคัญ เพราะอาจจะสังเกตเห็นได้ง่าย แต่ปัญหาเรื่องความสามารถในการแข่งขันของ SMEs อาจจะซับซ้อนกว่า กล่าวอีกนัยหนึ่ง การเข้าถึงแหล่งทุนเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่อาจไม่เพียงพอที่จะช่วยให้ SMEs แข่งขันได้ การช่วยเหลือไม่ควรจำกัดอยู่เฉพาะการช่วยให้ SMEs สามารถเริ่มกิจการได้เท่านั้น แต่จะต้องรวมถึงการช่วยให้ SMEs มีศักยภาพที่จะดำเนินกิจการต่อไปได้ โดยเฉพาะในบริบทของโลกยุคใหม่ ที่เปลี่ยนแปลงเร็วและมีการแข่งขันที่รุนแรง

“ในการประชุมวันนี้ ผมอยากเชิญชวนท่านร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจของ SMEs บทบาทของภาครัฐในด้านการให้ความช่วยเหลือ SMEs รวมทั้งระบบนิเวศที่จะเอื้อให้ SMEs ไทยสามารถใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ในการเพิ่มผลิตภาพและความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งคณะกรรมการฯ จะได้รวบรวมความเห็นของท่านไปประกอบการจัดทำข้อเสนอการปฏิรูป”

หมายเหตุ: สำหรับ SMEs และประชาชนทั่วไปสามารถส่งความเห็นท่านต่อการปฏิรูปเศรษฐกิจมาที่ www.econreform.or.th ทุกความเห็นของท่านมีประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนประเทศ