ThaiPublica > คอลัมน์ > นโยบายยาเสพติดของโปรตุเกส

นโยบายยาเสพติดของโปรตุเกส

28 กันยายน 2017


ณัฐเมธี สัยเวช

เมื่อพูดถึงการลดทอนความเป็นอาชญากรรม (decriminalization) ของยาเพสติด ก็แน่ละครับว่า ด้วยความคุ้นเคยต่อภาพของยาเสพติดที่เราแทบทุกคนต่างมีอยู่ในหัว สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมคือความรู้สึกกังวลและหวาดกลัวนานัปการ ตามแต่ว่าเรามีความรับรู้ต่อยาเสพติดในแบบไหน ในแบบที่จะมีคนคุ้มคลั่งไปจับคนอื่น (หรือกระทั่งตัวเอง) เป็นตัวประกัน ในแบบที่บ้านเมืองจะล่มสลายเพราะคนติดยาเดินไปเดินมาเต็มบ้านเต็มเมือง ในแบบที่ศีลธรรมจะเสื่อมทรามตามอัตราการใช้ที่เพิ่มขึ้น ในแบบที่อาชญากรรมรูปแบบต่างๆ จะตามมาเป็นหางว่าว

เรียกว่า ถ้าพูดกันตามความรู้สึกแล้ว การลดทอนยาเสพติดจะทำให้พระเจ้าส่งอุกกาบาตมาชนโลกก็ยังได้ เพราะในโลกของจินตนาการนี่อะไรก็ดูจะเป็นไปได้ไปเสียหมด

ทว่า ในความเป็นจริง หรือพูดให้เจาะจงกว่านั้นก็คือด้วยข้อเท็จจริงแล้ว ก็มีบ้านเมืองที่หันมาจัดการกับยาเสพติดด้วยแนวทางการลดทอนความเป็นอาชญากรรม และทำมาแล้วเป็นสิบปี โดยที่อย่าว่าแต่จะโดนน้ำท่วม ไฟเผา อุกกาบาตพุ่งชน แต่แค่ความเสียหายร้ายแรงจากการใช้แนวทางดังกล่าวดังที่มักกลัวๆ กันก็ยังไม่มี

หนึ่งในประเทศที่อยากนำมาเล่าให้ฟังกันก็คือโปรตุเกสครับ

โปรตุเกสนั้นหันมาใช้แนวทางการลดทอนความเป็นอาชญากรรมของยาเสพติดตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 โดยปัจจุบันนี้นั้น หากเจ้าหน้าที่ตำรวจพบผู้ครอบครองยาเสพติดเป็นปริมาณน้อยกว่าที่สามารถใช้เสพได้ 10 วัน หรือเฮโรอีน ยาอี ยาบ้า ไม่เกิน 1 กรัม, โคเคนไม่เกิน 2 กรัม และกัญชาไม่เกิน 25 กรัม คนผู้นั้นจะไม่ถูกจับนะครับ แต่จะได้รับคำสั่งให้ไปพบคณะกรรมาธิการเพื่อการยับยั้งการติดยาเสพติด (Commission for the Dissuasion of Drug Addiction) ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญใน 3 สาขา คือ นักสังคมสงเคราะห์ จิตแพทย์ และนักกฎหมาย ซึ่งสิ่งที่ผู้ครอบครองยาเสพติดจะได้รับนั้นก็คือบทลงโทษแน่นอนครับ แต่จะเป็นโทษในลักษณะทางปกครอง เช่น อาจจะถูกปรับ, ถูกระงับสิทธิในด้านต่างๆ เช่น ห้ามออกนอกประเทศ ห้ามไปบางที่ในประเทศ ห้ามครอบครองอาวุธปืน, ระงับใบรับรองวิชาชีพ, กำหนดให้มารายงานตัวเป็นระยะ ฯลฯ แต่จะไม่มีโทษทางอาญาถึงขั้นจำคุก แต่อย่างใด

กระนั้น สำหรับการถูกเชิญมาครั้งแรก มักจะไม่มีการลงโทษใดๆ นะครับ แต่หากต้องมาเจอกับคณะกรรมาธิการฯ บ่อยๆ หรือบ่งชี้ได้ว่าเป็นผู้ติดยาเสพติด นั่นก็ยังไม่ติดคุกอยู่ดีนะครับ คณะกรรมาธิการฯ ก็จะใช้มาตรการอื่นๆ ต่อไปตามที่กล่าวไปข้างต้น หรืออาจต้องไปทำงานบริการชุมชน หรือที่สุดคือเข้ารับการบำบัดรักษา แต่กระนั้น คณะกรรมาธิการก็ไม่มีสิทธิออกคำสั่งบังคับให้เข้ารับการบำบัดรักษาครับ และหากตัวผู้ถูกกล่าวหานั้นไม่ยินดีจะไปทำงานบริการชุมชนหรือเข้ารับการบำบัดรักษา พวกเขาก็อาจจะต้องจ่ายค่าปรับแทน

ฟังอย่างนี้แล้วสำหรับหลายคนคงเหมือนสวรรค์พอกันกับที่หลายคนคงเห็นว่าเป็นนรก…

แต่สำหรับผมที่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดไม่เกินกว่าเหล้าและบุหรี่ ผมอยากบอกว่านั่นไม่ใช่ทั้งสวรรค์และนรกครับ แต่มันคือโลกแบบที่ผมคิดว่าควรจะเป็น

เราลองมาดูกันครับว่า พอโปรตุเกสใช้แนวทางเช่นนั้นกับยาเสพติดแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง

หลังจากใช้แนวทางการลดทอนความเป็นอาชญากรรมของยาเสพติดได้ปีเดียว อัตราการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีก็ลดลงจาก 1,016 รายเป็น 56 ราย ด้านจำนวนผู้เสียชีวิตจากการเสพยาเกินขนาดนั้นก็ลดลงจาก 80 รายในการเริ่มใช้แนวทางนี้เหลือเพียง 16 ราย และปัจจุบันก็มีผู้เสียชีวิตจากกรณีดังกล่าวเพียง 3 รายต่อประชากรล้านคน (ค่าเฉลี่ยของสหภาพยุโรปอยู่ที่ 17.3 รายต่อประชาการล้านคน)

นอกจากนี้ การใช้สิ่งที่เรียกว่า “Legal High” หรือคือยาเสพติดที่เกิดจากการเอายาถูกกฎหมายซึ่งออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทหลายๆ ชนิดมาผสมกัน ซึ่งสามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ก็ลดลงไปด้วย และยิ่งไปกว่านั้น จำนวนผู้ใช้เฮโรอีนก็ลดลงจากประมาณ 100,000 คนในช่วงทศวรรษ 1990 เหลือประมาณ 50,000 คนในปัจจุบัน และส่วนใหญ่ในจำนวนนี้อยู่ภายใต้การบำบัดโดยใช้สารทดแทน

ข้อเท็จจริงเหล่านี้ล้วนสวนทางกับจินตนาการที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงครับ

แต่กล่าวเช่นนี้นี่ ก็ไม่ใช่ว่าลำพังลดทอนความเป็นอาชญากรรมของยาเสพติดแล้วจะได้ผลแบบเดียวกันในทันทีนะครับ เพราะผมผมได้กำลังบอกว่ายาเสพติดไม่มีอันตรายนะครับ มันอันตรายแน่ๆ ถ้าใช้กันอย่างไม่รู้เท่าทัน และเท่าที่ผมเล่ามา คุณผู้อ่านก็น่าจะพอเห็นกันแล้วว่า การแก้ปัญหายาเสพติดด้วยแนวทางนี้ก็ไม่ต่างจากการแก้ปัญหาใหญ่อื่นๆ ในบ้านเมือง นั่นก็คือ เราจะแก้ไขเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้ แต่เราต้องแก้ไขหลายๆ อย่างพร้อมกัน หรือกระทั่งสร้างอะไรใหม่ๆ ขึ้นมาเสริมด้วย

เราชอบพูดกันว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ใช่ไหมครับ แต่ในมุมมองของผมแล้วนั้น จินตนาการจะสำคัญกว่าความรู้ก็เมื่อเรามีความรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างเต็มที่ จนเราต้องใช้จินตนาการที่เปี่ยมด้วยฐานความรู้นั้นมาพัฒนาความรู้ที่มีอยู่ไปสู่ความรู้ใหม่ๆ เพื่อแก้ปัญหาซึ่งขอบฟ้าความรู้เดิมไม่สามารถแก้ไขได้ ต้องเวลาแบบนั้นแหละครับ จินตนาการถึงจะสำคัญกว่าความรู้ขึ้นมา

แต่ถ้าเราเอาแต่จินตนาการโดยไม่มีความรู้มาสนับสนุนกัน แบบนั้นเรียกว่าเพ้อเจ้อครับ