ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอต 8-14 เม.ย. 2560: “วุ่น กว่า 500 ผู้เสียหายร้องกองปราบ ‘ซินแสโชกุน’ ลอยแพทัวร์ญี่ปุ่น” และ “โลกเดือด ยูในเต็ดแอร์ไลน์ลากผู้โดยสารลงเครื่อง”

ประเด็นฮอต 8-14 เม.ย. 2560: “วุ่น กว่า 500 ผู้เสียหายร้องกองปราบ ‘ซินแสโชกุน’ ลอยแพทัวร์ญี่ปุ่น” และ “โลกเดือด ยูในเต็ดแอร์ไลน์ลากผู้โดยสารลงเครื่อง”

15 เมษายน 2017


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 8-14 เม.ย. 2560

  • วุ่น กว่า 500 ผู้เสียหายร้องกองปราบ “ซินแสโชกุน” ลอยแพทัวร์ญี่ปุ่น
  • ร้องสอบ “พุทธะอิสระ” ทำพระเครื่องหมิ่นเบื้องสูง เจ้าตัวโต้ “ถูกกลั่นแกล้ง”
  • กมธ.สื่อ ยัน “นักข่าวต้องมีใบอนุญาต”
  • ตั้ง “ศศิน เฉลิมลาภ” นั่งกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ
  • โลกเดือด ยูในเต็ดแอร์ไลน์ลากผู้โดยสารลงเครื่อง
  • วุ่น กว่า 500 ผู้เสียหายร้องกองปราบ “ซินแสโชกุน” ลอยแพทัวร์ญี่ปุ่น

    น.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ หรือซินแสโชกุน ที่มาภาพ : http://img.tnews.co.th/userfiles/images/560000003914201.JPEG

    วันที่ 11 เม.ย. 2560 เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อมีผู้โดยสารจำนวนมากอ้างว่าได้ซื้อทัวร์จากบริษัทขายตรงแห่งหนึ่ง โดยเดินทางด้วยการบินแบบเช่าเหมาลำ แต่สุดท้ายกลับไม่สามารถเดินทางตามกำหนดได้เนื่องจากไม่มีเที่ยวบินดังกล่าว ทำให้ต้องตกค้างอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้เกิดความสงสัยว่าเป็นการหลอกลวงจากบริษัทขายตรงดังกล่าว จนนำไปสู่การร้องเรียนกับกองบังคับการกองปราบปราม (บก.ป.) และทำให้เกิดการติดตามจับกุมตัว น.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ หรือซินแสโชกุน ซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยว่าได้ทำการหลอกลวงผู้โดยสารกลุ่มนี้ให้ไปทัวร์ญี่ปุ่นกับบริษัทขายตรงดังกล่าว

    ต่อมา ได้มีการจับกุมตัวซินแสโชกุนพร้อมพวกอีก 3 คน ได้ที่จังหวัดระนอง และนำตัวขึ้นเฮลิคอปเตอร์มายังกรุงเทพมหานคร เพื่อทำการสืบสวนข้อเท็จจริง โดยเบื้องต้นนั้นเป็นการควบคุมตัวด้วยหมายจับศาลอาญารัชดา เลขที่ 939/2560 ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน รวมทั้งยังอาจมีการพิจารณาว่าจะเข้าข่ายมีความผิดตามมาตรา 112 ด้วยหรือไม่ เนื่องจากต้องสงสัยว่ามีการแอบอ้างพาดพิงสถาบัน

    ตามรายงานของเว็บไซต์เดลินิวส์ น.ส.พสิษฐ์ กล่าวว่า ไม่ได้กระทำการฉ้อโกงประชาชนแต่อย่างใด ซึ่งแท้ที่จริงแล้วตนได้เปิดบริษัทขายสินค้าออนไลน์ และได้ชวนผู้ที่สนใจมาเข้าร่วม มีการแบ่งโปรโมชั่นในเรื่องของยอดขายให้ และได้มีการจัดโปรโมชั่นออกมาหลายอย่าง ซึ่งสิ่งที่ทำให้คนเกิดความสนใจคือการท่องเที่ยว ได้มีการจัดทริปไปท่องเที่ยวมาหลายครั้ง โดยเริ่มทำตั้งแต่ปลายเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว กระทั่งเดือน ม.ค. สมาชิกบอกว่าไม่มีเงินลงทุน แต่สามารถหาคนได้ ตนจึงได้ไปหาสินค้าที่ดีๆ มาขาย พอปลายเดือน ม.ค. ได้จดทะเบียนบริษัท หลังจดทะเบียนบริษัทได้พาสมาชิกไปเที่ยวฮ่องกง เพราะผู้ที่สนับสนุนเงินทุนอยู่ที่ฮ่องกง ทั้งนี้สาเหตุที่เปลี่ยนชื่อและนามสกุลหลายครั้งเพราะเป็นความเชื่อส่วนตัว ไม่ได้เปลี่ยนหนีคดี ซึ่งชื่อนามสกุลล่าสุด รวมเลขศาสตร์ได้ 97 ตามความเชื่อของตน

    “ต่อมาได้เริ่มพูดคุยกันว่าทำอย่างไรให้ยอดขายโตเร็ว เพราะสินค้าแต่ละตัวราคาค่อนข้างสูง ก็เลยคุยกันว่าต้องมีการโปรโมท เช่นในช่วงแรก ซื้อผลิตภัณฑ์ให้คนที่สมัครสมาชิกกินฟรี เมื่อกินแล้วดีก็จะบอกต่อให้คนอื่นทราบ จนสมาชิกคนใดสามารถทำยอดขายได้มาก ก็จะได้ไปเที่ยวที่อื่นๆ ด้วย แล้วแต่โปรโมชั่น แต่ที่มาดังเป็นพลุแตก คือประมาณเดือน ก.พ. ได้จัดทริปไปโอซาก้า 40 กว่าคน เป็นพ่อทีมแม่ทีม ซึ่งเสียค่าสมัคร 500 บาทเท่านั้น และได้ไปเที่ยวฟรี เมื่อคนที่ไปโอซาก้ากลับมาก็ได้มาโฆษณาให้เพื่อนๆ ทราบ จนกระทั่งอยากให้มีทริปเพิ่ม กระทั่งวันที่ 5 เม.ย. ตนได้จัดทริปอีกครั้งไปโอซาก้า 200 คน ซึ่งตนยืนยันว่าไม่เคยโปรโมททริปทัวร์ จะบอกเสมอว่าเราขายสินค้าอาหารเสริม เมื่อสมาชิกเข้ามาซื้อสินค้า เราจะพาไปเที่ยว แต่เนื่องจากมีพ่อทีมแม่ทีมหลายสาย ไปชักชวนเพื่อนๆ มาจำนวนมากจนไม่สามารถตรวจสอบและควบคุมได้”

    นอกจากนี้ น.ส.พสิษฐ์ ยังกล่าวอีกว่า กรณีเหตุการณ์เมื่อวันที่ 11 เม.ย. มีการจองตั๋วเครื่องบินไว้เรียบร้อยแล้ว ได้แยกเป็นกลุ่มๆ ไว้ ซึ่งตนได้ให้ทางนายทุนที่อยู่ฮ่องกงเป็นคนประสานให้ และจะมีการจัดสรรที่นั่งมาให้ว่าแต่ละคนจะได้นั่งที่นั่งอะไร เที่ยวบินใด ทั้งนี้ ไม่ทราบว่าไม่สามารถเช่าเหมาลำจากประเทศไทยไปที่โอซาก้าได้ มาทราบทีหลังว่าต้องทำเรื่องจองล่วงหน้า 3-5 เดือน ส่วนเงินจากผู้เสียหาย 500 กว่ารายที่มาร้องเรียนที่ บก.ป. ไม่ได้อยู่ที่ตน แต่ถูกปรับเปลี่ยนไปในรูปแบบสินค้า ซึ่งการคืนเงินให้ผู้เสียหายต้องตรวจสอบก่อนว่าผู้เสียหายสมัครที่แม่ทีมคนใด และให้นำหลักฐานมายืนยันจึงจะคืนเงินได้

    ส่วนกรณีคลิปเสียง ที่ว่าจะมีการนำสมาชิกของบริษัทเข้าเฝ้า และจะมีบุคคลพิเศษจากสำนักพระราชวังมาเป็นประธานเปิดงานให้กับบริษัทนั้น น.ส.พสิษฐ์ กล่าวว่า ทางออแกไนซ์ผู้จัดงานเป็นคนดำเนินการให้ทั้งหมด ระบุว่าจะทำหนังสือเชิญบุคคลสำคัญในสำนักพระราชวังมาเปิดงาน แต่ตนจำชื่อไม่ได้

    ล่าสุด เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า ศาลอนุญาตให้ฝากขัง น.ส.พสิษฐ์ โดยเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาไปคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลาง

    ร้องสอบ “พุทธะอิสระ” ทำพระเครื่องหมิ่นเบื้องสูง เจ้าตัวโต้ “ถูกกลั่นแกล้ง”

    พระพุทธะอิสระ
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์วอยซ์ทีวี (https://goo.gl/Mjmv3z)

    เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า วันที่ 10 เม.ย. 2560 นายวิชัย ประเสริฐสุดสิริ ผู้ประสานงานองค์กรส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา (อสคพ.) พร้อมคณะ เดินทางไปยังกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เพื่อเข้าพบ พ.ต.ท. อนันต์ จริงจิตร รอง ผกก. (สอบสวน) กก.5 บก.ป. เพื่อร้องทุกข์ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี พระสุวิทย์ ธีรธฺมโม หรือหลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ได้ประกอบพิธีปลุกเสกพระเครื่อง “พระนาคปรก” รุ่น “หนึ่งในปฐพี” โดยที่ด้านหลังของพระเครื่อง มีการอันเชิญพระปรมาภิไธยย่อ ภปร.และ สก.อุดปรอท (จารนะอ่อนช้อย) และมีการใช้เลือด หรือปะสะโลหิต ของหลวงปู่พุทธะอิสระ ในการจัดพิธีด้วย ซึ่งเป็นการกระทำที่อาจเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เนื่องจากเห็นว่าอาจยังไม่มีการขอพระบรมราชานุญาตอันเชิญพระปรมาภิไธยย่อมาใช้ประกอบพิธีการปลุกเสก อีกทั้งยังเป็นการกระทำที่ไม่สมควร ไม่ใช่แนวทางแห่งพระพุทธศาสนา และยังเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายด้วย

    ต่อมา วันที่ 11 เม.ย. 2560 เว็บไซต์วอยซ์ทีวีรายงานว่า พระพุทธะอิสระได้เดินทางมายังกองกำกับการปราบปรามเพื่อยื่นหลักฐานการขออนุญาตจัดสร้างพระนาคปรก รุ่น หนึ่งในปฐพี แก่พนักงานสอบสวนกองปราบปราม โดยยืนยันว่า ได้ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรและได้เอ่ยวาจาขออนุญาตจากนายแก้วขวัญ วัชโรทัย อดีตรองเลขาธิการพระราชวัง แต่ในวันนี้ไม่สามารถนำมาเปิดเผยได้ โดยจะให้ข้อมูลในชั้นศาล ทั้งนี้เชื่อว่าการแจ้งความต่อตนนั้นเป็นการกลั่นแกล้งจากกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่ง ส่วนการใช้เลือดในพิธีปลุกเสกนั้้นเป็นพิธีกรรมที่สืบทอดมาแต่อยุธยา 

    กมธ.สื่อ ยัน “นักข่าวต้องมีใบอนุญาต”

    วันที่ 10 เม.ย. 2560 เว็บไซต์คมชัดลึกรายานว่า พล.ต.ต. พิสิษฐ์ เปาอินทร์ รองประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 11 เม.ย. 2560 นี้ ทาง กมธ.ฯ สื่อมวลชน จะประชุมเพื่อสรุปร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. …. พร้อมกับทบทวนรายละเอียดในบางประเด็น เช่น สัดส่วนของคณะทำงานเพื่อเตรียมการจัดตั้งสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ ที่จะให้มาจากตัวแทนองค์กรสื่อมวลชนประจำภูมิภาค 2 ตำแหน่ง ที่มีประเด็นถกเถียงเกี่ยวกับความเป็นตัวแทนอย่างแท้จริงว่า ตำแหน่งหรือองค์กรสื่อมวลชนภูมิภาคใดที่เหมาะสม เนื่องจากประเทศไทยมีสื่อมวลชนหลายภูมิภาค ทั้งนี้มี 2 แนวทางพิจารณา คือ ให้มีอยู่ แต่ต้องพิจารณาองค์กรและตัวแทนที่เหมาะสม และไม่ให้มีอยู่เพราะมองว่าตัวแทนที่มาจากสภาวิชาชีพสื่อมวลชน ทั้ง สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ, ประธานสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์, สมาพันธ์วิชาชีพวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ และสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ล้วนมีสื่อมวลชนภูมิภาคประจำอยู่

    พล.ต.ต. พิสิษฐ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับประเด็นที่กมธ.วิสามัญกิจการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (วิปฯ สปท.) ท้วงติงให้ปรับแก้ไขประเด็นต่างๆ มีข้อสรุป คือ 1. ให้มีสภาวิชาชีพสือมวลชนแห่งชาติ เพื่อเป็นองค์กรกลางของสื่อมวลชนที่ตรวจสอบการทำงานและประเด็นจริยธรรม 2. กรรมการของสภาวิชาชีพฯ  ได้ปรับรายละเอียดให้มีตัวแทนจากภาครัฐ จำนวน 2 คน คือ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม จากเดิมที่มีตัวแทนภาครัฐ 4 คน ขณะที่ตำแหน่งอื่นๆ ประกอบด้วย ผู้แทนสมาชิกสภาวิชาชีพ จำนวน 7 คน ผู้แทนคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้แทนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และกรรมการอื่นอีกจำนวน 4 คน และ 3. การออกใบอนุญาตให้กับผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ยืนยันว่าเป็นประเด็นสำคัญที่ ผู้สื่อข่าวต้องมีใบอนุญาต แต่รายละเอียดรวมถึงหลักเกณฑ์การออกใบอนุญาตนั้น จะให้สภาวิชาชีพสื่อมวลชนกำหนด

    “ในร่างกฎหมายที่จะเสนอ กำหนดบทเฉพาะกาลเรื่องใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน โดยกำหนดให้สื่อมวลชนทุกคนต้องมีใบอนุญาต แต่หากกรณีที่ไม่มี แต่มาทำข่าว อาจได้รับโทษได้ คือ จำคุก 2 ปี ปรับ 60,000 บาท ขณะที่ช่วงก่อนที่จะมีสภาวิชาชีพ ที่กำหนดให้จัดตั้งภายใน 2 ปี นั้น ได้เขียนคุ้มครองสื่อมวลชนในปัจจุบันให้ถือว่าได้รับใบอนุญาตโดยอนุโลม แต่ต้นสังกัดต้องออกใบรับรองให้ และหลังจากที่จัดตั้งสภาฯ แล้ว ภายใน 2 ปี สื่อมวลชนทุกคนทั้งเก่า และ ใหม่ต้องเข้ารับใบอนุญาตจากสภาวิชาชีพฯ ซึ่งมีจะมีกระบวนการสอบ รวมถึงการอบรม” พล.ต.ต. พิสิษฐ์ กล่าว

    ตั้ง “ศศิน เฉลิมลาภ” นั่งกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์มติชนสุดสัปดาห์ (https://www.matichonweekly.com/?p=31210)

    เว็บไซต์มติชนสุดสัปดาห์รายงานว่า เมื่อวันที่ 11 เมษายน ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม. มีมติอนุมัติให้ น.ส.พรวิลัย เดชอมรชัย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง (นักวิชาการคลังทรงคุณวุฒิ) กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง แต่งตั้ง น.ส.รัจนา เนตรแสงทิพย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง นางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้ตรวจราชการกระทรวง ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แต่งตั้งนายวิวัฒน์ ตังหงส์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงกระทรวงแรงงาน เห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้งนายปริญญา ยมะสมิต ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าการการประปานครหลวง

    พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ครม. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ จำนวน 9 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปีแล้วเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2559 ดังนี้ รศ.ปานเทพ รัตนากร ผู้แทนมูลนิธิช้างแห่งประเทศไทย, นายศศิน เฉลิมลาภ ผู้แทนมูลนิธิสืบนาคะเสถียร, พล.อ. สุรัตน์ วรรักษ์ ผู้แทนมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด, รศ.นริศ ภูมิภาคพันธ์ ผู้แทนสมาคมศิษย์เก่าวนศาสตร์, นายอนรรฆ พัฒนวิบูลย์ ผู้แทนสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่าแห่งประเทศไทย, นายชลธิศ สุรัสวดี ผู้ทรงคุณวุฒิที่มิได้มาจากสมาคมหรือมูลนิธิ, นายธิติ กนกทวีฐากร ผู้ทรงคุณวุฒิที่มิได้มาจากสมาคมหรือมูลนิธิ, น.ส.ธำรงลักษณ์ ลาพินี ผู้ทรงคุณวุฒิที่มิได้มาจากสมาคมหรือมูลนิธิ, น.ส.สุภาภรณ์ ปิติพร ผู้ทรงคุณวุฒิที่มิได้มาจากสมาคมหรือมูลนิธิ

    โลกเดือด ยูในเต็ดแอร์ไลน์ลากผู้โดยสารลงเครื่อง

    วันที่ 10 เม.ย. 2560 ได้มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอข้างต้น ซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์ขณะที่เจ้าหน้าที่ของสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ใช้กำลังฉุดลากผู้โดยสารคนหนึ่งออกจากที่นั่งเพื่อนำตัวลงจากเครื่องบิน

    รายงานจากเว็บไซต์บีบีซีไทยระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเนื่องจากทางสายการบินขอให้ผู้โดยสารสละที่นั่งของตนให้พนักงานของทางสายการบิน ที่ต้องเดินทางไปเตรียมการปฏิบัติงานที่สนามบินปลายทางในวันรุ่งขึ้น แต่ไม่สามารถขึ้นเครื่องได้เนื่องจากก่อนหน้านี้นั้นทางสนามบินได้จำหน่ายตั๋วเกินจำนวนที่นั่งไป ซึ่งมีสามีภรรยาคู่หนึ่งยินยอมโดยไม่มีผู้โดยสารคนใดยินยอมอีก ทางสายการบินจึงประกาศใช้สิทธิ์เลือกผู้โดยสารลงจากเครื่องเพิ่มเติม และได้เลือกชายชาวเอเชียในคลิปพร้อมภรรยา แต่ชายผู้เป็นสามีนั้นไม่ยอม โดยให้เหตุผลว่าตนเป็นแพทย์และต้องปฏิบัติงานสำคัญที่โรงพยาบาลของเมืองปลายทางในวันรุ่งขึ้น ทำให้เจ้าหน้าที่ของสายการบินใช้กำลังในการฉุดกระชากลากเขาลงจากเครื่องบินตามที่เห็นในคลิป ซึ่งจากในคลิปนั้น จะเห็นว่าจากการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ ทำให้ชายคยดังกล่าวได้รับบาดเจ็บ มีเลือดไหลออกมาจากปาก ขณะที่ถูกลากร่างไปตามพื้นห้องโดยสาร และระหว่างที่เกิดเหตุนั้น มีเสียงร้องด้วยความตื่นตกใจของผู้โดยสารคนอื่นๆ ดังตลอดเวลา

    เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งของสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์เปิดเผยกับบีบีซีว่า ตามปกติในกรณีที่สายการบินขายตั๋วโดยสารเกินที่นั่งบนเที่ยวบิน จะมีการขออาสาสมัครให้สละที่นั่งเพื่อเดินทางในเที่ยวบินถัดไปแทน โดยจะมีการมอบเงินชดเชย รวมทั้งห้องพักรอเดินทางในโรงแรมเพื่อจูงใจให้มีผู้ยอมสละที่นั่ง ซึ่งในเที่ยวบินที่เกิดเหตุได้มีการเสนอมอบเงินชดเชย 400 ดอลลาร์สหรัฐฯ (เกือบ 14,000 บาท) แต่ไม่มีผู้ใดรับข้อเสนอ จนต้องขึ้นเงินชดเชยให้อีกเท่าตัวเป็น 800 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 27,700 บาท) แต่ก็ยังไม่มีผู้ยอมสละที่นั่ง เนื่องจากเป็นเที่ยวบินสุดท้ายในคืนวันอาทิตย์ และทุกคนต่างมีธุระการงานที่จะต้องทำในวันจันทร์

    เจ้าหน้าที่ของสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ยังบอกกับบีบีซีว่า ในทางเทคนิคแล้วสายการบินมีสิทธิบังคับให้ผู้โดยสารลงจากเครื่องบิน แม้ในกรณีที่สายการบินจำหน่ายตั๋วเกินเองก็ตาม โดยจะเลือกจากผู้โดยสารที่ไม่ได้บินกับสายการบินเป็นประจำหรือซื้อตั๋วราคาถูก แต่ที่ผ่านมายังไม่เคยมีกรณีใช้กำลังบังคับผู้โดยสารเกิดขึ้น

    อย่างไรก็ดี จากรายเดียวกันของเว็บไซต์บีบีซีไทย เจ้าที่ 1 ใน 3 คนที่ทำการดังกล่าวได้ถูกพักงานแล้ว และทางยูไนเต็ดแอร์ไลน์ได้ทำการติดต่อไปยังผู้โดยสารผู้เสียหายเพื่อแก้ปัญหาต่อไป