ThaiPublica > สัมมนาเด่น > “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ชู “ประชารัฐ” สอดรับเป้าหมาย SDGs สหประชาชาติ ทางออก “การพัฒนาที่ยั่งยืน”

“สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ชู “ประชารัฐ” สอดรับเป้าหมาย SDGs สหประชาชาติ ทางออก “การพัฒนาที่ยั่งยืน”

4 กรกฎาคม 2016


เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 259 กลุ่มบริษัทยูนิลิเวอร์ ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า จัดงานการประชุมระดมความคิดเห็น “ร่วมมือกันผลักดันสู่เป้าหมาย”เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในการจัดการปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงและยุติความยากจน “Mobillzing Collective Action” to achieve the SDGs of a “Zero Carbon, Zero poverty” World โดยมี ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดงานและแสดงวิสัยทัศน์ “การพัฒนาอย่างยั่งยืนและวิสัยทัศน์ของประเทศไทยภายใต้ประชารัฐ” รายละเอียดดังนี้

ผมคิดว่างานวันนี้เป็นงานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนให้ทุกภาคส่วนได้มีโอกาสร่วมมือกัน ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศและต่อสังคม ในชีวิตการทำงานของผมตั้งแต่เป็นอาจารย์ เป็นที่ปรึกษาธุรกิจ และมาการเมือง ผมมีนิสัยอย่างหนึ่งคือชอบคิดคำศัพท์ใหม่ๆ เพราะการคิดคำศัพท์ใหม่ๆ จะเป็นจุดศูนย์รวมของความคิดที่ทุกคนเข้าใจกันแล้วจะได้เดินหน้าต่อไปได้ การที่จะมานั่งอธิบายยาวๆ นั้นต่างคนต่างไม่เข้าใจ

สมัยที่ผมยังเป็นนักศึกษาอยู่ที่ต่างประเทศได้มีโอกาสเขียนหนังสือขึ้นมา 2 เล่ม ใจผมอยู่ต่างประเทศ แต่ว่าความคิดอ่านเหล่านั้นยังต้องการนำมาใช้ในเมืองไทยตลอดเวลา ผมคิดคำศัพท์ขึ้นมา 2 คำ คำแรกคือคำว่า The New Competition เพราะผมได้แรงดลบันดาลใจจากเรื่องความสำเร็จของญี่ปุ่นที่เขาสามารถพัฒนาประเทศของเขาจนก้าวไกล ผมเรียกคำๆ นี้ว่า The New Competition และเขียนเป็นหนังสือออกมาร่วมกับอาจารย์ของผม (เขียนร่วมกับร่วมกับ Philip Kotler และ Liam Fahey)

ตอนที่กลับมาในเมืองไทยแล้วมองไปที่เมืองไทย ผมเริ่มรู้สึกว่ามันมีบางอย่างที่น่าจะเป็นประโยชน์ ผมเขียนจดหมายไปหาอาจารย์ผมว่าผมมีความคิดที่จะเขียนหนังสือเล่มใหม่ขึ้นมา แล้วผมก็บินไปหาอาจารย์ของผม แน่นอน โดยที่อาจารย์ผมต้องจ่ายค่าเครื่องบินให้ผม เพราะผมไม่มีเงิน ระหว่างที่บินไปผมคิดคำศัพท์ขึ้นมาคำหนึ่ง Marketing of Nations เพราะผมมองว่าประเทศไทยไม่ใช่แค่ผลิต จะต้องมีการวางแผน จะต้องมีการเดินตามเส้นทางยุทธศาสตร์ จึงคิดคำคำนี้ออกมา

พอไปถึงที่มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น (Northwestern University) ก็พอดีเริ่มมีโครงร่างออกมาแต่ละบท และกลายเป็นหนังสือชื่อ The Marketing of Nations: A strategic approach to building national wealth (เขียนร่วมกับ Philip Kotler และสุวิทย์ เมษินทรีย์)

พอมาอยู่ในช่วงของการเป็นอาจารย์ เริ่มเขียนคำว่ายุทธวิธีการแข่งขัน เพราะมองออกไปแล้วประเทศไทยจะต้องแข่งขัน พอเข้าไปอยู่ในการเมืองก็เห็นคำว่าคิดใหม่ทำใหม่ พอมาถึงการเมืองในขณะนั้นก่อนจะเข้ามาเราเห็นชาวต่างจังหวัดลำบาก สินค้าเขาขายลำบาก เราก็เอาคำพูด wording มาผสมกัน เปลี่ยนชื่อสินค้าชุมชนเป็น OTOP คำสั้นๆ เหล่านี้พอคนเราเข้าใจความหมายซึ่งกันและกันจะทำให้งานเดินหน้าได้เร็วมาก

พอมาถึงการเมืองปัจจุบันมันก็เริ่มมาทีละตัวๆ ทุกตัวมันจะมีความหมายของมันเอง ตั้งแต่เรื่องที่บอกว่าเราจะต้องมีประเทศไทย 4.0 เพราะเราต้องการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง เราคิดคำว่า Thailand Startup รณรงค์ว่าจะต้องมีการเกิดอะไรบางอย่างตั้งแต่ระดับมวลชนของประเทศเป็น Entrepreneur’s Economy หรือสังคมผู้ประกอบการ บอกว่าสังคมผู้ประกอบการคนก็ไม่เข้าใจ บอก Thailand Startup เดี๋ยวมันก็ Startup กันเต็มประเทศ พอเห็นว่าทุกอย่างมีการเปลี่ยนผ่าน เราก็คิดคำว่า Digital Thailand ก็เกิดขึ้นมา ทั้งหมดนี้คือการใช้คำพูดคิดปากเพื่อสื่อความให้ทุกคนเข้าใจ

ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี

นิยาม “ประชารัฐ” รวมพลัง 3 ฝ่าย – ผลักดันพัฒนาอย่างยั่งยืน

แต่ไม่เคยมีคำไหนเลยที่ผมจะดีใจมากที่บังเอิญคิดขึ้นมาได้ว่าจะต้องใช้คำคำนี้ และไม่ได้คิดว่าจะมีผลกระทบถึงขนาดนี้ คือคำว่าประชารัฐ ซึ่งไม่ใช่แนวคิดใหม่เลย แต่เป็นสิ่งที่เราต้องการมาตลอดว่าการทำงานต้องทำงานร่วมกันระหว่างรัฐ เอกชน และประชาชน งานถึงจะเดินได้ทุกอย่าง

ถ้าคุณจะเขยื้อนภูเขา ผมเห็นภาคเอกชนเขาเขยื้อนมาหลาย 10 ปีแล้ว เขาเขยื้อนไม่ไปเพราะว่ามันมีข้อจำกัดของมันอยู่ เราเห็นรัฐเขยื้อนหลายๆ อย่างแต่ไม่ค่อยออก เพราะเป็นการเขยื้อนในระดับสถาบันในระดับของนโยบาย ภาคเอกชนผมก็เห็นเขาขยับเขยื้อนเฉพาะภายในบริษัทของเขา อย่างเก่งผ่านมาสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม แต่ว่ามันขาดพลังร่วมที่แท้จริง

ฉะนั้น มันมีโอกาส ณ จุดนี้ คำว่าประชารัฐก็เกิด แต่ผมคิดไม่ถึงว่าจะส่งผลกระเทือนรุนแรงขนาดนี้ ขณะนี้ผมเรียนท่านเลยว่าหยุดไม่อยู่ แล้วมันไปในหลายๆ วงการ ทั้งทางการและไม่เป็นทางการ ผมดีใจมากเลยที่วันนี้บริษัทยูนิลีเวอร์ ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงมาก ท่านก็เข้ามาร่วมในเรื่องของประชารัฐ แล้วเข้ามาในประชารัฐในสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว คือเรื่อง Sustainable Development คือทำอย่างไรที่จะให้มีการพัฒนาที่ยั่งยืน ผมเคยบอกหลายครั้งแล้วว่าประเทศไทยไม่ได้เดินโดยจีดีพี ต้องคิดสิ่งไกลๆ ว่าทำอย่างไรให้ยืนยันอยู่อย่างนี้ให้จงได้

สอดรับเป้าหมายพัฒนาใหม่สหประชาชาติ

เป็นสิ่งที่น่ายินดีอยู่แล้วว่าสหประชาชาติยึดเอาสิ่งเหล่านี้เป็นเป้าหมายใหญ่ เพราะอะไร เพราะเขาได้บทเรียนว่าที่ผ่านมาทั้งหมด องค์กรทางเศรษฐกิจทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าไทยและต่างประเทศ ต่างผิดพลาดกันหมด ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ทุกคนขับเคลื่อนไปสู่เรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ยิ่งญี่ปุ่นเจริญก็เลยเป็นโมเดลตัวอย่างว่าประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายต้องขับเคลื่อนให้เหมือนญี่ปุ่น เราได้ยินคำว่า Little Dragon คำว่า Tiger ไทยเราก็เป็น Tiger ตัวหนึ่งในยุคนั้นเหมือนกัน ประเทศก็เกิดขึ้นมา โมเดลเหมือนกัน จนกระทั้งเกิดเป็นนโยบาย Exporter Economy แล้วก็มาจีน เกิดพลังยิ่งใหญ่ ทั้งจีนและอินเดีย ตามมา

แต่ยิ่งสิ่งเหล่านี้พัฒนาไปเท่าไหร่ เราก็เห็นจุดอ่อนของเราแล้ว สหประชาชาติเริ่มเห็นแล้ว ธนาคารโลกเห็นชัดเจนเลย ก็เริ่มเปลี่ยนนโยบายว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเดียวนั้นไม่ใช่ บางครั้งมันก่อให้เกิดปัญหาที่ยิ่งใหญ่ตามมา ความยากจน ความไม่เท่าเทียม เป็นไปได้อย่างไรที่บางประเทศคนเรามีชีวิตความเป็นอยู่ได้ด้วยเงินเพียงวันละ 1 ดอลลาร์สหรัฐ แต่มันก็เกิดขึ้นจริง ในขณะเดียวกัน คนเราก็เริ่มเห็นแล้วว่าหายนะที่ยิ่งใหญ่นั้นมาโดยธรรมชาติ น้ำท่วมตรงนี้ แล้งตรงนั้น เกิดอะไรหลายอย่างที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน

ก็เริ่มเกิดความหวั่นกลัวขึ้นมาว่า ถ้าเรายังทำแบบนั้นโดยที่เน้นเติบโตอย่างเดียว ในที่สุดแล้วสังคมก็อยู่ไม่ได้ คนเราถ้ามีคนรวยมากก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้ามีคนรวมนิดเดียวแล้วคนจนมหาศาล มันง่ายมากเลยที่สังคมหนึ่งจะเกิดกลียุคขึ้นมา แล้วถ้าเราใช้ทรัพยากรอย่างเต็มที่ ไม่ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ วันหนึ่งข้างหน้าก็เหมือนคุณกำลังเอาของลูกหลานของคุณมาใช้ก่อนจนกระทั่งไม่มีอะไรเหลือสำหรับเขา

ฉะนั้น แนวคิดตรงนี้ก็เกิดเป็นเป้าหมายใหญ่ของสหประชาชาติว่าต้องการเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเน้นใน 3 มิติใหญ่ คือ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม แล้วมันจะกลายเป็นเป้าประสงค์ที่จะขับเคลื่อนให้ทุกคนเดินตาม

จริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ของประเทศไทย ในหลวงท่านใช้เวลาทั้งชีวิตทำสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว ท่านรู้ว่าการพัฒนาประเทศ 40-50 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เราพัฒนาแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 ในชนบทมันห่างไกลความเจริญมาก ท่านก็เดินตามเส้นทางนี้ไปพัฒนาชนบท ไปดูแลแหล่งน้ำ ให้คนปลูกป่า รักษาทรัพยากร เผยแพร่แนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง ให้คนรู้ว่าการที่จะอยู่พอเพียงอย่างไร ไม่ใช่พอเพียงเฉพาะตนเอง ต้องเกื้อกูลกันเป็น Community สังคมจึงจะแน่นหนาเป็นปึกแผ่น ฉะนั้น จึงไม่น่าประหลาดใจว่าขณะนี้แนวความคิดอ่านเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง จึงเป็นไปในทิศทางร่วมกับเรื่องของ Sustainable Development ของสหประชาชาติ

บทบาทรัฐบาลหนุนพัฒนา “เศรษฐกิจ-สังคม-สิ่งแวดล้อม” ยั่งยืน

ในบทบาทของรัฐบาลเท่าที่ทำมาทั้งหมด เน้น 3 มิติ ในส่วนเศรษฐกิจที่ผมรับผิดชอบอยู่ 6 เดือนที่ผ่านมาหลายโครงการถูกขับเคลื่อนออกมาจากความคิดอ่านที่สะสมกันมา จากตัวอย่างที่ไปดูมา เราก็รู้ว่าสิ่งแรกคือทำอย่างไรที่จะเพิ่มรายได้ ทำอย่างไรจะต้องลดรายจ่าย แนวความคิดใหม่ๆ ออกมา เช่น การเติบโตจากภายใน การลดความเหลื่อมล้ำ การต้องไปช่วยเกษตรกรสร้างมูลค่าสินค้าขึ้นมา เพื่อให้เขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี ผมคงไม่ต้องพูดในรายละเอียด

ในขณะเดียวกัน เราก็รู้ว่าการเติบโตของเราไปไม่ได้แน่ๆ ถ้าเรายังเป็น Exporter Economy อย่างเดียว สินค้าอุตสาหกรรมเราก็แข่งขันกับเขาไม่ได้ ฉะนั้น การตั้งเป้าการเสริมเรื่องความสามารถการแข่งขันของประเทศก็เริ่มขับเคลื่อนออกมา การตั้งเป้าในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น การเน้นความสำคัญของนวัตกรรม การจูงใจให้มีการลงทุนในดิจิทัล ความพยายามสร้างแรงจูงใจใหม่ๆ ให้มีการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา ให้ลงทุนในประเทศ ให้เอกชนพยายามลงทุนปรับปรุงความสามารถของตนเองขึ้นมา จนกระทั่งล่าสุดก็ขับเคลื่อนเป็นนโยบายออกมาคือระเบียงเศรษฐกิจฝั่งตะวันออก หรือ EEC (Eastern Economic Corridor) เพื่อคล้ายๆ กับเป็นจุดสรุปว่าอุตสาหกรรมใหม่ แรงจูงใจใหม่ๆ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนในเศรษฐกิจดิจิทัล สิ่งจูงใจทางภาษี ทุกอย่างต้องมามีจุดไคลแมกซ์ตรง EEC ว่าจุดนี้เป็นจุดที่เราต้องการให้เป็นแหล่งความเจริญของการพัฒนาความสามารถของเราในอนาคตข้างหน้า

ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี

แต่ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยไม่ได้เดินอยู่แค่นี้ มันก็ต้องมีเรื่องของธรรมาภิบาลที่ดี หรือ Good Governance หลายอย่างที่รัฐบาลทำไปข้างนอกไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก ผมไปคุยในงานของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) วันก่อน กระทรวงการคลังออกมากี่เรื่องแล้ว พระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้าง, ระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Payment, กฎหมายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และอีกหลายเรื่องไม่ว่าจะเรื่องการประมูล, เรื่องโครงการ CoST เรื่องของสัญญาคุณธรรม หรือ Integrity Pact มันทยอยออกมาโดยลำดับ สิ่งเหล่านี้เพื่อทำให้เกิดความโปร่งใส โครงการใหญ่ของรัฐบาลต้องเปิดเผยข้อมูล ต้องให้คนอื่นเข้ามามีส่วนร่วม นี่คือสิ่งที่รัฐบาลพยายามทำ

และในขณะเดียวกัน ในซีกของสังคม ท่านนายกรัฐมนตรีก็พยายามขับเคลื่อนว่าทำอย่างไรจะรักษาทรัพยากร ทั้งบนบก ในน้ำ บนอากาศ เราจะเห็นขณะนี้ว่าหลายประเทศมีทรัพยากรเยอะ แต่แทนที่มันจะดีกลับกลายเป็นไม่ดี เพราะทำให้ไม่รู้จักการรักษาและไม่รู้จักการใช้อย่างมีผลิตภาพสูงสุด ประเทศที่มีน้ำมันมากๆ มีเท่าไรขายมันเท่านั้นไม่เคยคิดพัฒนาผลิตภาพในการทำอย่างอื่นเลย ฉะนั้น เรื่องสภาพสิ่งแวดล้อมไม่ใช่แค่การรักษา แต่ต้องเน้นการใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ท่านเคยได้ยินคำว่า Resource’s Curse หรือไม่ คือคำสาปแช่งของประเทศที่มีทรัพยากรเยอะ มีเท่าไรไม่เคยรักษา ตัดต้นไม้ สูบน้ำมันขาย ไม่เคยคิดถึงโลกอนาคตเลย ไม่เคยรู้ว่านี่คือสมบัติของลูกหลาน ฉะนั้นเราก็เลิกทำในสิ่งเหล่านี้

ทางด้านสังคมเป็นเรื่องใหญ่มาก เป็นมิติที่ผมอยากจะทำสังคมมากกว่าเศรษฐกิจ แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไรจะได้ย้ายไปทำเรื่องสังคม เพราะสังคมเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งทีเดียว ผมอยากทำเรื่องบ้านก็พยายามทำทางอ้อมออกมา วันก่อนประชุมกันว่าอยากทำบ้านให้คนจนทั่วประเทศ เราใช้วิธีว่าให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ให้พัฒนาสังคม และให้หน่วยงานอื่นๆ ทำบ้านคนจนออกมา

อยากจะให้ดูแลคนแก่ เพราะว่าคนเราเวลาชราลงแล้ว ที่ญี่ปุ่นเคยไปสำรวจคนแก่ที่อยู่ในบ้านพักคนชรา ปรากฏว่าสิ่งที่ค้นพบน่าตกใจมาก คนเหล่านี้อายุเยอะมากเลย อยู่ในบ้านพักคนชราที่ดูแลกันอย่างดีนะ แต่เขาไม่อยากมีชิวิตอยู่ เพราะเขาไม่มีสังคม ชีวิตของเขาไม่มีความหมาย ผมคุยกับกระทรวงแรงงานให้ขยายเวลาเกษียณ ให้พยายามจ้างงานคนแก่มาทำงาน เราจะให้สิ่งจูงใจทางภาษี สิ่งเหล่านี้เราอยากจะให้มีในอนาคตข้างหน้า เด็กที่เกิดขึ้นมาก่อนที่จะเข้าโรงเรียนเป็นวัยที่จำเป็น เราก็อยากดูแลเขาในสิ่งเหล่านี้ ด้านสาธารณสุข โรงพยาบาลไม่ต้องมาตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ในเมืองใหญ่ คุณต้องมีระบบเคลื่อนที่ไปหาเขา

เพราะว่านี่เป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานแห่งโอกาส การสร้างการเข้าถึงสิ่งที่จะช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายของเขา เราเป็นประเทศจนไม่ใช่ประเทศรวย เราต้องพยายามทำสิ่งที่เราพอจะทำได้ แต่สิ่งสำคัญคือเรื่องสังคม ผมคิดว่าเราลืมไป อยากให้พวกเราให้ความสำคัญกับมัน

ปลูกผัง “ค่านิยม” ใหม่ – พัฒนาชาติอย่างยั่งยืน

คุณพูดถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน มันไม่ใช่แค่การขับเคลื่อนเชิงนโยบาย ไม่ใช่มาพูดทีละชิ้นๆ มันสำเร็จล้มเหลวอยู่ที่คนทั้งนั้น อยู่ที่ค่านิยมของคน ดังนั้น การระดมความคิดอ่านใดๆ คุณต้องคิดว่าบ้านเมืองจะเจริญหรือไม่ สังคมจะดีขึ้นหรือไม่ คนที่ออกไปข้างนอกจะดูแลสิ่งแวดล้อมหรือไม่ จะทำความดีให้กับสังคมหรือไม่

แล้วเริ่มต้นมาจากไหน เริ่มต้นมาจากการสร้างตัวตนของเด็กในโรงเรียนหรือไม่ มาจากการที่ครอบครัวเป็นครอบครัวใหญ่หรือไม่ ทำไมเราจะต้องทำให้สิ่งที่ดีๆ ของเราย่อยสลายไปตามตะวันตกซึ่งมีการพัฒนาที่ผิดพลาดมาโดยตลอด เขาทำอย่างนั้นไปทางซ้ายเราก็ไปทางซ้ายตามเขาไม่ลืมหูลืมตา ดูสิ ในสังคมตะวันตกบางประเทศ พ่อแม่คิดว่าการเลี้ยงลูกเป็นภาระ ลูกโตขึ้นมาการเลี้ยงดูพ่อแม่เป็นภาระ ทุกคนต่างแยกกันไป เด็กเกิดมาไม่มีคนเลี้ยงดู เกิดมาเป็นภาระของสังคมทั้งนั้น

สิ่งเหล่านี้เรารู้ว่ามันเป็นจุดอ่อนของเขา แล้วทำไมเราถึงไม่ช่วยกันสร้างร่านิยมของครอบครัว ทำไมเราโตขึ้นมาจนถึงตอนนี้แล้วเป็นคนดีได้ ใช่เพราะว่าระบบการศึกษา ซึ่งเราเข้มข้น เรามีทั้งลงโทษและให้คุณ ทำให้เด็กเข็ดขยาดไม่กล้าทำสิ่งที่ไม่ดี พวกเราโตขึ้นมากับระบบการศึกษาที่ทำผิดครูตี แต่พวกเราเคยโกรธครูหรือไม่ที่ตีเรา เราไม่เคยโกรธเลย แต่เด็กสมัยนี้เป็นอย่างไร กลายเป็นว่าผมเข้าโรงเรียน ผมจ่ายเงินครบ คุณไม่มีสิทธิลงโทษผม ค่านิยมแบบนี้มาจากไหน ค่านิยมที่ดีของตะวันตกเราต้องยึดเอามา การสร้างค่านิยมของความซื่อสัตย์ การไม่คอร์รัปชัน เป็นสิ่งที่ดี เราต้องยึดเอาไว้ สิ่งที่ไม่ดีไม่ต้องเอามา ค่านิยมแบบนี้ต่างหากที่จะทำให้เกิดความยั่งยืน

เวลาคุณเข้าโรงเรียนฝรั่งในเมืองไทย สิ่งแรกที่เขาปลูกฝั่งในสมองคุณเลยคือว่าสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญ เด็กที่ออกมาเวลาเห็นคนทำลายสิ่งแวดล้อม เขาทนไม่ได้เลย ของเรามีหรือไม่ จะให้รัฐบาลกำหนดเป็นนโยบายว่าห้ามทำลายสิ่งแวดล้อม แมวที่ไหนจะไปฟัง เพราะความเชื่อมันไม่มี ไม่มีจิตสำนึก แบบนี้ต้องสร้างขึ้นมาเป็นเจเนอเรชันฉะนั้นมันต้องทำ จะรอกระทรวงศึกษาธิการเขียนตำราใหม่มันเป็นไปไม่ได้

ดังนั้น การจะบรรลุ 3 มิติอันนี้ สิ่งสำคัญไม่ใช่หันไปมองรัฐบาล เป็นไปไม่ได้เลย หรือหันไปภาคเอกชนก็ไม่ได้อีก ภาคเอกชนอย่างเดียวก็ไม่ได้ มันจะต้องมา 3 ฝ่าย รวมกัน 3 ฝ่ายเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า Civil Society หรือประชาสังคมของทุกประเทศ มันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่มาก แต่เราไม่เคยเน้นความสำคัญของสิ่งเหล่านี้ ถ้า Civil Society แข็งแรงก็คือประชารัฐนี่แหละ ทำเลยไม่ต้องมารอราชการ ยูนิลีเวอร์มีศักยภาพขนาดไหน ไม่ต้องเป็นบริษัทไทยอย่างเดียว ต่างประเทศเข้ามาช่วยกัน ทรัพยากรมันก็เกิด รัฐบาลก็หนุน คุณจะให้รัฐบาลทำทุกอย่างมันเป็นไปไม่ได้เลย

ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์

คนไทยต้องร่วมมือก้าวข้ามอุปสรรค

ผมถึงเรียนว่าประชารัฐเป็นสิ่งที่ผมดีใจอย่างยิ่งที่เกิดขึ้นมา แล้วมันสามารถดึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้เข้ามาในสังคมร่วมกันมากมายอย่างนี้ ผมอยากให้รักษาตรงนี้ไว้และขอบคุณยูนิลีเวอร์จริงๆ ที่เริ่มมาสู่เรื่องนี้ วันนี้อาจจะเน้น 2 เรื่อง ค่อยๆ ทำ โฟกัส 2 เรื่องนี้ให้ได้ ค่อยๆ ดึงคนอื่นเข้ามาทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ตอนนี้ ทรู คอร์เปอเรชั่น ทำเรื่องการศึกษาสูงมาก เขาก็ต้องการคนอื่นๆ เข้ามากับเรา เมื่อสักครู่นี้ก่อนเข้ามาเขาบอกว่ายูนิลีเวอร์เป็นบริษัทที่การตลาดเก่งมาก ผมอยากให้อีกด้านหนึ่งไปสร้าง Startup ขึ้นมา

ทำไม ยกตัวอย่างให้ฟังเรื่องหนึ่ง ท่านดูประเทศญี่ปุ่น คิดว่าเขาเจริญหรือไม่ เขาเจริญแต่ประเทศของเขากำลังถดถอย ถ้าไม่พลิกฟื้นเรื่องนโยบายของเขา การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของบริษัทญี่ปุ่นขึ้นอยู่กับบริษัทใหญ่ บริษัทใหญ่เวลาจ้างงานทุกคนจะแห่กันเข้าบริษัทใหญ่ แล้วการจ้างงานของเขาจะมีอยู่ 2 กลุ่ม อันแรกเข้าบริษัทใหญ่ อีกกลุ่มจะเป็นกลุ่มอิสระคอยดูแลเก็บตกเรื่องงานบริการต่างๆ เรียกว่า Freeter

ในอดีตการจ้างงานแบบแรกใหญ่มาก แต่ Freeter เล็กกว่า แต่ตอนนี้ Freeter ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะบริษัทใหญ่เริ่มถดถอย เริ่มแข่งไม่ได้ เพราะว่าความคิดสร้างสรรค์เริ่มถดถอยลง ในขณะที่ประเทศอื่นกำลังสร้าง Startup กันเต็มไปหมด Startup ที่ญี่ปุ่นกลับกลายเป็น Startup ที่สนับสนุนห่วงโซ่การผลิต ธุรกิจเอสเอ็มอีของเขาคือสนับสนุนห่วงโซ่การผลิต พอบริษัทใหญ่ถอยลง สมมติว่าอย่าง Sony ถ้าถอยลงห่วงโซ่การผลิตของโซนี่เป็น 100 บริษัทเลย

ดังนั้น การสร้าง Mass Entrepreneur การสร้าง New Startup การไปช่วยเขาออกแบบสินค้า ไปช่วยพัฒนาสินค้าให้เขา การตลาดให้เขา ทำ e-Commerce ให้เขา รวมไปถึงเรื่องชุมชน สินค้าชุมชน สินค้าเกษตร อันนี้ท่านไม่ต้องทำคนเดียว ท่านไปรวบรวมพรรคพวกของท่าน สมาคมการตลาดที่บอกว่ายิ่งใหญ่มาก แต่ไม่ใช่สมัครกันปีละครั้งมาฝึกฝนการตลาด แบบนี้ไม่ใช่เลย 30 ปีก็จะอยู่ที่เดิม ผมกลับมาใหม่ๆ ผมไปบรรยายจนเลิกบรรยายแล้ว ไม่ใช่ที่ไหนก็ 4P ไม่รู้ P อะไรก็ไม่รู้

สิ่งที่จับต้องได้มีมหาศาล เราต้องคิดในสิ่งใหม่ๆ มันจะมีพลัง และอย่าทำคนเดียว มีอะไรให้รัฐบาลช่วยบอกมา แบบนี้จึงจะเดินไปข้างหน้า พลังยิ่งใหญ่ก็จะเกิดขึ้น อะไรที่คิดว่ายากก็จะทำได้

ก่อนที่เข้ามาผมเล่าให้ฟังว่าผมเปิดดู CNN พิธีกรถามซีอีโอของ Aston Martin บริษัทรถยนต์อังกฤษ เขาพยายามกดดันให้ตอบให้ได้ว่า Brexit อังกฤษออกจากสหภาพยุโรปแล้วลำบากหรือไม่ เป็นห่วงกังวลหรือไม่ ผมฟังแล้วคุ้นๆ เหมือนกับหนังสือพิมพ์ชอบลงกัน วันนี้หวั่น วันนี้หวาด วันนี้กังวล มันเป็นความวิตกกังวลกัน

ซีอีโอคนนั้นตอบว่าอย่างไร เขาพูดว่า Brexit มันเกิดแล้ว มันเป็นเวลาที่ต้องเลิกคิดถึงความกลัว สหราชอาณาจักรต้องเลิกคิดเรื่องของการแบ่งแยก ต้องรวมตัวกันเป็นเอกภาพ คิดและต้องทำให้อังกฤษเป็นผู้ประกอบการ แปลว่าอะไร แปลว่าผู้ประกอบการต้องคิดหาทางสร้างมูลค่าแข่งขันให้อยู่รอดได้ เพราะ Brexit ไม่ได้เกิดขึ้นกับเฉพาะอังกฤษ มันเกิดขึ้นกับทั่วโลก ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับพ่อค้าไทย เกิดขึ้นกับพ่อค้าทั่วโลก ทุกคนโดนกันหมด มันก็เท่ากันสิ กลายเป็นอยู่ที่ว่าใครแน่กว่าใคร ถ้าเรามัวแต่หวาด หวั่น วิตก ตั้งกองทุน 50,000 ล้าน เอาเงินที่ไหน ขึ้นภาษีไหม ฉะนั้น เราต้องมั่นใจในตัวเราเองเดินไปข้างหน้า

ผมฟังแล้วโอ้โหนี่แหละอังกฤษแท้ มิน่าจะแพ้สงครามอยู่แล้วเขายังไม่แพ้เลย เขาสู้ คนไทยต้องสู้แบบนี้ ทั้งรัฐ เอกชน ประชาชน ก็จะก้าวข้ามผ่านสิ่งที่ยากลำบาก เมืองไทยก็จะเจริญ ผมดีใจที่เอกชนวันนี้ตื่นตัว ผมได้คนมาช่วยผมเยอะทีเดียว เป็นหนี้บุญคุณกันตอบแทนกันไม่หมด ผมกำลังจะได้กลุ่มใหม่ๆ เข้ามา สื่อมวลชนต้องเข้ามาร่วมด้วย เพื่อสื่อความออกไป ไม่เช่นนั้นการสื่อสารกับประชาชนทั่วประเทศมันสื่อไม่ออก พลังไม่เกิด การเปลี่ยนแปลงประเทศ การปฏิรูป การเปลี่ยนแปลง สื่อมวลชนมีพลังอย่างมากทีเดียว ฉะนั้น เราต้องดึงสื่อเข้ามา วันนี้ไทยพับลิก้าทำหน้าที่แล้ว สื่อต้องเป็นส่วนที่ทำให้เกิดการปรองดอง มองไปข้างหน้า ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความขัดแย้ง ผมตั้งใจจะพูดแค่ 20 นาที นี่ 40 นาทีแล้ว เพราะว่าประทับใจยูนิลีเวอร์ ตัวเล็ก ก้าวสั้นๆ แต่เป็นก้าวที่ใหญ่ ช่วยพาพรรคพวกต่างประเทศมาช่วยผมด้วย ขอบคุณมากครับ