ThaiPublica > เกาะกระแส > หมอกควัน ไฟป่า น้ำแล้ง เขาหัวโล้น กับโจทย์ที่ยากของ “แม่แจ่มโมเดล”

หมอกควัน ไฟป่า น้ำแล้ง เขาหัวโล้น กับโจทย์ที่ยากของ “แม่แจ่มโมเดล”

17 เมษายน 2016


viewOK1R
พื้นที่ อ.แม่แจ่ม ปลายมีนาคม 2559 อากาศดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาหลังประสบความสำเร็จจากการแก้ปัญหาหมอกควันไฟป่า แต่คุณภาพอากาศยังคงเป็นปัญหาจากการเผาป่าของพื้นที่ใกล้เคียง

พื้นที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ถือเป็นพื้นที่ที่ถูกจับตามากที่สุดในปัญหาหมอกควันไฟป่า อย่างน้อยๆ ก็ราวๆ 5-6 ปีที่ แม่แจ่มเป็นอำเภอที่มีสถิติการเกิดจุดความร้อนจากการเผาไหม้หรือฮอตสปอต (Hotspot) สูงที่สุดของจังหวัดเชียงใหม่ โดยเฉพาะในช่วงที่สูงที่สุดตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ จนถึง 15 เมษายน ซึ่งถือเป็น 60 วันอันตรายที่ต้องจับตาซึ่งพึ่งผ่านไป

แม่แจ่มจึงตกเป็นจำเลยของสังคมในปัญหาหมอกควันไฟป่าที่สุดวิกฤติ

ในปัญหาที่ดูเหมือนไร้ทางออก “แม่แจ่มโมเดล” จึงเกิดขึ้นเพื่อจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจังที่สุด และในปี 2559 นี้ถือเป็นครั้งแรกที่ฮอตสปอตที่แม่แจ่มต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์

“ถ้ามาในพื้นที่นี้ปีที่แล้วในเวลาเดียวกัน เราจะนั่งแบบนี้ไม่ได้ ต้องใส่มาสก์ (mask) ที่สนามบินเชียงใหม่ นักบินที่จะบินลงสนามบินมองสนามบินไม่เห็นลงไม่ได้ เป็นข่าวไปทั่วโลก คนเมืองก็พยายามค้นหาว่าใครคือต้นเหตุ ก็บอกว่าคนดอย คนแม่แจ่ม คนชี้มือมาที่นี่โดยไม่เข้าใจบริบทของคนที่นี่ว่าเป็นยังไง” ทศพล เผื่อนอุดม นายอำเภอแม่แจ่ม ให้ข้อมูลกับคณะที่เข้าไปดูงานในพื้นที่ ต.บ้านทับ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ หนึ่งในสองของพื้นที่หมู่บ้านปลอดเผา ที่ส่งเสริมให้ชาวบ้านหยุดเผาตอซังข้าวโพด โดยหันมาใช้วิธีการไกกลบแทนการเผา โดยพื้นที่นำร่องที่ดำเนินโครงการประกอบด้วยตำบลแม่นาจรและตำบลบ้านทับ ที่กินพื้นที่ประมาณ 1,500ไร่ จากพื้นที่ปลูกข้าวโพดทั้งหมดในแม่แจ่มจำนวน 110,000 ไร่

โครงการนี้เป็นเพียงส่วนเดียวของแผนงานป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่า แม่แจ่มโมเดล ที่วางกรอบโดยคณะกรรมการบูรณาการทุกภาคส่วน รัฐ ราษฎร์ เอกชน สื่อมวลชน นักวิชาการ (ประชารัฐ) ที่แต่งตั้งโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ โดยมาตรการแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ การ “ป้องกัน” “รับมือ” และ “สร้างความยั่งยืน” หมายถึง แผนนี้ดำเนินมาตั้งแต่ปลายปี 2558 โดยมีการตั้งศูนย์เฉพาะกิจเพื่อแก้ปัญหาหมอกควันทั้งในระดับอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน และปรับเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำ วิธีจัดการปัญหาใหม่ ภายใต้ “แม่แจ่มโมเดล” ที่ทำให้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาจนปัจจุบัน แม่แจ่มสามารถลดจุดความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้หรือฮอตสปอตลงไปได้กว่า 90% จากที่เคยเกิดราว 240 จุด เหลือเพียง 9 จุด (ข้อมูล ณ วันที่ 29 มีนาคม 2559)

อะไรทำให้ปัญหาหมอกควันไฟป่าที่ไม่เคยคิดว่าจะแก้ได้ แก้ได้!!

“แม่แจ่มโมเดล” เปลี่ยนวิธีคิด สร้างแนวร่วมและบริหารบนฐานข้อมูล

“ชาวบ้านบ่ได้พูดยากอะไร แต่ที่ผ่านมาบ่มีใครเอาเจริงเอาจัง ทุกคนมาพูด พูดแบบไม่มีแผน แล้วก็ไป” พ่อหลวงอุทธา สารินจา ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านสบลอง กล่าวในวงคุยเรื่อง “ยุทธศาสตร์และแนวทางการแก้ปัญหาหมอกควัน และการจัดการบนวิถีของชุมชนคนแม่แจ่ม” เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2559 ที่ผ่านมา เพื่อตอบคำถามถึงเหตุผลที่ทำให้แม่แจ่มสามารถแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าได้สำเร็จในปีนี้ ทั้งที่ในเวลาที่ผ่านมาปัญหานี้ดูไร้ทางออก

การทำงานสื่อสารและงานมวลชนสัมพันธ์กับชาวบ้านอย่างหนักน่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งของคำตอบ โดยมีรูปแบบการทำงานแบบประชารัฐหรือการประสานงานร่วมระหว่างภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา ประชาสังคมและชาวบ้านในพื้นที่ ผนึกพลังร่วมเป็นแนวทางในการทำงาน นี่คือหลายปัจจัยที่ทำให้ปัญหาหมอกควันไฟป่าที่แม่แจ่มคลี่คลาย

บทเรียนที่น่าสนใจของแม่แจ่มคือการเปลี่ยนวิธีคิด วิธีจัดการ และการทำงานเชิงรุกในหลายๆ เรื่อง โดยวิเคราะห์จากปัญหาที่แท้จริงของเกิดไฟป่าในพื้นที่จากการเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรจากการทำไร่ข้าวโพดที่มีกว่า 110,000 ไร่ และการเผาในวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ ในการเข้าป่า ล่าสัตว์ และบุกรุกป่าเพิ่มเติม โดยแนวทางดำเนินงานที่สำคัญ เช่น

  • การใช้ข้อเท็จจริงของข้อมูลการใช้พื้นที่บริหารจัดการ – เดิมภาครัฐมีชุดข้อมูลเดียวในการจัดแบ่งพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม เช่น การใช้ข้อมูลพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ทางราชการ เดิมมี 23,815 ไร่ หรือเพียง 1.40% ทั้งที่ความเป็นจริงในข้อมูลชุดใหม่มีพื้นที่การใช้ประโยชน์มากกว่าพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์อยู่ถึง 437,712 ไร่ หรือ 25.60% (ดูข้อมูลเพิ่มเติมในภาพประกอบ) การนำข้อเท็จจริงขึ้นมากางทำให้การกำหนดพื้นที่ความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานมีความชัดเจนและทั่วถึงมากขึ้นข้อมูลรัฐR
    ข้อมูลจริงR
    นับเป็นครั้งแรกที่การบริหารจัดการปัญหาไฟป่า หมอกควันในพื้นที่ ใช้ข้อมูลข้อเท็จจริงมากกว่าข้อมูลภาครัฐในการบริหารจัดการ ที่มาข้อมูล: เอกสารประกอบการบรรยาย ทศพล เผื่อนอุดม นายอำเภอแม่แจ่ม
  • การใช้ข้อมูลวิเคราะห์ปัญหาและมอนิเตอร์จุดเสี่ยง จากข้อมูลฮอตสปอตย้อนหลัง 4 ปี ทำให้เห็นชุดข้อมูลในจุดเสี่ยงและจุดเฝ้าระวัง มี 52 หมู่บ้านที่มีปัญหาไฟป่าเกิดขึ้นทุกปี มี 40 หมู่บ้านที่มีปัญหาไฟป่าแต่ไม่เกิดขึ้นทุกปี และมี 12 หมู่บ้านที่ไม่มีปัญหาไฟป่าเลย
  • มาตรการการลดเชื้อเพลิง – จากข้อมูลวิจัยพบว่า ในการทำข้าวโพดประมาณ 110,000 ไร่ จะมีเศษวัสดุเหลือใช้จากการเกษตร 96,000 ตัน การลดเศษวัสดุเหลือใช้จึงเท่ากับเป็นการลดเชื้อเพลิงที่จะนำไปเผา จึงมีมาตรการหลายอย่างในการบริหารเชื้อเพลิง แบ่งเป็น การจัดการเศษวัสดุจากไร่ข้าวโพด 60,000 ตัน ผ่านโครงการหยุดเผาพื้นที่การเกษตร ส่งเสริมการไถกลบตอซังทำปุ๋ยหมักในพื้นที่ราบ เป้าหมาย 11,000 ไร่ จัดระเบียบพื้นที่ที่เหลือ 90,000 ไร่ซึ่งเป็นพื้นที่เชิงเขา และการบริหารเชื้อเพลิงในจุดโม่อีก 35,000 ตัน โดยการรณรงค์ให้ทำอาหารโค กระบือ ปุ๋ยหมักอินทรีย์ การตั้งโรงงานเชื้อเพลิงอัดแท่ง อัดฟ่อนจำหน่าย ให้กลุ่มพลังงานชีวมวล ฯลฯ
  • มาตรการรับมือในแบบ Area Base Approach & Incident Command System :ICS จังหวัดได้กำหนดให้นายอำเภอเป็นผู้บังคับบัญชาทุกหน่วยงานในพื้นที่ช่วงเหตุการณ์ไฟป่าหมอกควัน สามารถสั่งกำลงพลในพื้นที่และประสานงานกำลังพลนอกพื้นที่ โดยบูรณาการทุกหน่วยงานในพื้นที่ให้สามารถลาดตระเวนและดับไฟป่าได้เร็วที่สุด โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ ในพื้นที่ใช้ประโยชน์มีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับผิดชอบ โดยในส่วนป่าธรรมชาติให้อยู่ในความรับผิดชอบของอุทยานฯ และหน่วยงานของกรมป่าไม้

การระดมสรรพกำลังจากทั้งภายในและภายนอกท้องถิ่น ของหลายกรม กระทรวง ทำให้ปีนี้แม่แจ่มเปลี่ยนไป กลายเป็นต้นแบบการจัดการหมอกควันไฟป่า กว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมามี 2 รัฐมนตรี 4 อธิบดี และคณะดูงานกว่า 40-60 คณะ มาดูงานความสำเร็จที่แม่แจ่ม

ทว่า สำหรับคนที่คลุกคลีกับการแก้ปัญหาหน้างานของทีมประชารัฐแม่แจ่มที่นำโดยนายอำเภอแม่แจ่มแล้ว รู้ดีว่านี่เป็นเพียงความสำเร็จบนยอดภูเขาน้ำแข็ง และอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นบนปัญหาที่ซับซ้อน!!!

ปัญหาหมอกควัน ปัญหาปากท้อง

ในทรรศนะของทศพล เผื่อนอุดม นายอำเภอแม่แจ่ม เขามองว่า “ปัญหาหมอกควันคือปลายเหตุ มันเป็นภาพสะท้อนความไม่เป็นธรรม ความล้มเหลวในการพัฒนา เป็นภาพสะท้อนของการมองที่ไม่เข้าใจ เข้าถึง การเปลี่ยนแปลง

นายอำเภอR
ทศพล เผื่อนอุดม นายอำเภอแม่แจ่ม แม่ทัพที่บริหารงานภายใต้ Single Command Structure ที่สามารถบังคับบัญชาทุกหน่วยงานเพื่อป้องกันและให้ดับไฟได้เร็วที่สุด

นายอำเภอแม่แจ่มอธิบายว่า “ข้าวโพดเข้ามาที่นี่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เข้ามาในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ มีประมาณ 40 ไร่ มันจึงเป็นความหวังเดียวของคนที่นี่ มันใช้น้ำจากฟ้า มันจึงเป็นทางออกให้คนอยู่บนดอยที่จน ท่านไปถามได้เลย ธนาคารที่เห็นในพื้นราบ เซเว่น–อีเลฟเว่น ปตท. ความเจริญที่มาที่นี่มาจากการขายข้าวโพดทั้งสิ้น”

“ความไม่เข้าใจในปัญหาหรือบริบทของพื้นที่ จะทำให้การแก้ปัญหามันไปไม่ได้ เราต้องมาดูรากเหง้าของปัญหา การที่คุณภาพชีวิตของคนต่ำมากถึงนำคนไปสู่เรื่องยาเสพติด ข้าวโพด เพราะคนไม่มีที่ทำกิน ไม่มีน้ำ ไม่มีอาชีพ”

เราให้เขาเฝ้าก๊อกน้ำให้คนเมือง แต่เราให้เขามีคุณภาพชีวิตแค่นี้ ถ้าไม่แก้ไปถึงรากของปัญหา ให้คนมีที่ดินทำกิน มีน้ำใช้สำหรับการเกษตร มีอาชีพ และพัฒนาสาธารณูปโภคต่างๆ ที่ผ่านมาโครงสร้างพื้นฐานเบื้องต้น ทั้งระบบชลประทาน ไฟฟ้า ถนน ฯลฯ มาไม่ถึงที่นี่เพราะติดขัดการเป็นพื้นที่ป่าตามหลักกฎหมายป่าไม้

“เวลานี้คนแม่แจ่มทำการเกษตรตลอดฤดูกาลไม่ได้ เพราะคนแม่แจ่มมีชลประมาณสัก 2 หมื่นไร่ คนที่ทำเกษตรได้ทั้งปีจะไม่เผาไฟ เพราะทำกินได้ตลอด แต่คนที่ทำข้าวโพดช่วงนี้ตกงาน ก็จะนั่งคิดว่าปีที่แล้วเราทำข้าวโพด 50 ไร่ ปีนี้จะทำเพิ่มอีก 50ไร่ วิธีการทำลายป่าของที่นี่ก็คือจะไปเฉาะต้นไม้ให้เป็นแผลแล้วเอาไตรโครเซสหยอดไปที่ต้นไม้ ต้นไม้ก็จะตายซาก ก็รุกคืบเข้าไป ปีต่อไปก็เผา และทำให้ดูเหมือนเป็นไฟป่า”

จากข้อเท็จจริงในพื้นที่ ทำให้นายอำเภอแม่แจ่มนำเสนอต่อคณะประชารัฐแม่แจ่มถึงมาตรการที่จะแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ทั้งกับปัญหาหมอกควันไฟป่า ปัญหาเขาหัวโล้น จนขณะนี้ประชารัฐแม่แจ่มได้ร่างสัญญาประชารัฐแม่แจ่ม เพื่อการพัฒนาอำเภอแม่แจ่มอย่างยั่งยืน โดยจะยื่นข้อเสนอนี้ต่อรัฐบาล

ในข้อตกลงดังกล่าว ชาวแม่แจ่มสัญญาว่าไฟป่าจะหมดไปจากแม่แจ่มภายใน 2-3 ปี สัญญาว่าจะหยุดการบุกรุกในการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ภายใน 5 ปี และสัญญาว่าจะลดการใช้สารเคมีในพื้นที่ต้นน้ำภายใน 5 ปีเช่นเดียวกัน แต่ในเวลาเดียวกันก็เรียกร้องต่อรัฐเพื่อขอให้รัฐพิจารณาคืนความเป็นธรรม พิจารณาให้สิทธิในแผ่นดินเกิดแก่คนแม่แจ่มที่เกิดและอาศัยในพื้นที่ให้เสร็จภายใน 5 ปี โดยปรับปรุงจากมติรัฐมนตรี 30 มิถุนายน 2541 เน้นตามหลักสิทธิในแผ่นดินเกิดตามหลักข้อเท็จจริงแห่งชีวิตคนต้นน้ำ ซึ่งคิดเป็นพื้นที่จำนวน 213,462 ไร่หรือร้อยละ 12.5 ขณะที่อีก 170,000 ไร่ ไม่ขอสิทธิแต่จะขอผ่อนผัน เพื่อให้รัฐพิจารณาการจัดระเบียบพื้นที่ตามแนวทางพระราชดำริ สร้างป่าสร้างรายได้

นายอำเภอแม่แจ่มประเมินถึง 170,000 ไร่ว่า ถ้าให้คนปลูกต้นไม้ 15 ต้นต่อไร่ จะสามารถสร้างต้นไม้เพิ่มได้ถึง 2.4 ล้านต้น การฟื้นฟูป่าต้นน้ำแบบนี้ดีกว่าการสร้างเขื่อนทั้งเขื่อน

“เรื่องนี้มีหลักคิดว่าการฟื้นฟูป่าต้องฟื้นฟูคนต้นน้ำ เพราะถ้าไม่ทำเรื่องก็ไม่มีวันจบ” ปัญหาก็จะหมักหมมแบบนี้ การพัฒนาประเทศเราไม่ดูข้อเท็จจริง เรามัวไปดูแต่กรอบกฎหมาย แต่เป็นธรรมหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่านี่คือกฎหมายไม่มีใครกล้าสู้ถึงข้อเท็จจริงของปัญหา” ทศพลกล่าว

ข้อมูลจากการเปิดเผยของนายอำเภอแม่แจ่มระบุว่า อำเภอแม่แจ่ม ถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญในฐานพื้นที่ต้นน้ำในการก่อกำเนิดแม่น้ำแม่แจ่ม ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาสำคัญของแม่น้ำปิง มีพื้นที่ 1.7 ล้านไร่ ใหญ่กว่าสิงคโปร์ และจังหวัดเล็กๆ ในประเทศไทย 15 จังหวัดรวมกัน พื้นที่ส่วนใหญ่ 70% เป็นที่ราบเชิงเขา 20% มีพื้นที่ราบ 10% โดยพื้นที่เหล่านี้แบ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 1,351,110 ไร่ หรือ 79.60% ป่าอนุรักษ์ จำนวน 317,773 ไร่ หรือ 19%

มีพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธ์เพียง 23,815 ไร่ หรือ1.40% ในขณะที่มีประชากร 59,203 คน 17,908 ครัวเรือน ปัจจุบันมีพื้นที่ที่ถูกใช้ประโยชน์มากถึง 25.60% ของพื้นที่ทั้งหมด โดยมีพื้นที่ใช้ประโยชน์จำนวน 437,712 ไร่

ขณะที่ข้อมูลจากมูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (ภาคเหนือ) ระบุว่า พื้นที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนใหญ่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่แจ่ม (ตามกฎกระทรวง ฉบับ 712 พ.ศ. 2517) และพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้น 1 เอ (ตามมติ ครม. พ.ศ. 2528) คิดเป็นร้อยละ 81 และร้อยละ 58.66 ของพื้นที่ทั้งหมด การประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่แจ่ม (ตามกฎกระทรวง ฉบับ 712 พ.ศ. 2517) และพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้น 1 เอ (ตามมติ ครม. พ.ศ. 2528) โดยทางการไม่ได้กันชุมชนและที่ทำกินออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่แจ่มและพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำก่อนประกาศแต่อย่างใด ส่งผลทำให้ชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมที่อยู่กันมายาวนานผิดกฎหมายทันที เป็นปัญหา “ป่ารุกคน” ที่ตราบจนทุกวันนี้รัฐบาลก็ยังไม่มีการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติ มติคณะรัฐมนตรี และกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรดิน น้ำ ป่า ให้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง (อ่านเพิ่มเติม ที่นี่)

สมเกียรติR
สมเกียรติ มีธรรม ตัวแทนมูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (ภาคเหนือ)
ข้าวโพดหวานปลูกในพื้นราบR
พื้นที่ลุ่มที่เข้าถึงระบบชลประทานในแม่แจ่ม สามารถทำการเกษตรได้ทั้งปี แตกต่างจากพื้นที่สูงขึ้นไปที่เข้าไม่ถึงน้ำ และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของไร่ข้าวโพด ที่สร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่จนปัจจุบัน

นายสมเกียรติ มีธรรม ผู้แทนมูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ในฐานะที่คลุกคลีกับปัญหานี้มายาวนาน ชี้ให้เห็นจุดสำคัญของสภาพความเป็นจริงในการใช้ที่ดินในปัจจุบันว่า การใช้ที่ดินแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ พื้นที่ลุ่มน้ำ พื้นที่ช่วงกลางๆ สูงเกิน 850 เมตรขึ้นไป และพื้นที่ต้นน้ำซึ่งอยู่ด้านบนสุด ทั้งพื้นที่ลุ่มน้ำและพื้นที่ต้นน้ำไม่มีปัญหาเพราะมีน้ำใช้ตลอดทั้งปี แต่พื้นที่กลางๆ ที่มีความสูงของพื้นที่ 850 เมตรขึ้นไปที่สามารถปลูกพืชได้ครั้งเดียวทั้งปีโดยรอฝน การใช้พื้นที่ตรงกลางนี่เองที่ทำข้าวโพดและส่งผลกระทบอย่างเป็นลูกโซ่ในเวลาที่ผ่านมา

“เรื่องทางออกของการใช้ที่ดินต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะการทำความเข้าใจและสร้างความมั่นใจให้กับที่ดินให้กับชาวบ้านหรือการให้สิทธิทำกิน จะมีคนบางกลุ่มโลกสวยมองว่าเป็นการให้ที่ดินกับชาวบ้าน ซึ่งไม่ใช่ เราหมายถึงการอนุญาตให้ใช้ประโชน์ต่อเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้มากขึ้น เช่น ต้องปลูกป่าให้ได้และถ้าเราทำได้ป่าจะเพิ่มขึ้น ชาวบ้านจะลดการเพาะปลูกลง โดยสิ่งที่ต้องพยายามผลักดันคืออุปสรรคในแง่กฎหมาย ที่ผ่านมาเราเห็นชัดอยู่แล้วว่าการแก้ปัญหาแบบเดิมๆ ที่กรมป่าไม้ทำมามันแก้ไม่ได้ ทางออกคือต้องทำแม่แจ่มโมเดลในการแก้ปัญหา” สมเกียรติกล่าว

เศรษฐกิจข้าวโพด อดีต ปัจจุบัน อนาคตที่รอเปลี่ยนผ่าน

นายจอมกิตติ ศิริกุล ผู้บริหารโครงการพิเศษ เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี กล่าวว่า ตนเพิ่งเข้ามาดูงานเครือเจริญโภคภัณฑ์ในกลุ่มอื่นเห็นปัญหาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเขาหัวโล้นที่จังหวัดน่านและไฟป่าหมอกควันที่แม่แจ่ม รากปัญหาของ 2 เรื่องนี้เหมือนกัน คือ การขาดโอกาสของคนในพื้นที่

“ถามว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์เกี่ยวข้องตรงไหน เราอยู่ในภาคส่วนราชการ เอ็นจีโอ มีจำเลยหลายคนด้วยกันบังเอิญซีพีอยู่ในจุดที่เป็นจำเลยสังคมนั้นด้วย ก็คือข้าวโพด”

JomR
จอมกิตติ ศิริกุล ผู้บริหารโครงการพิเศษ เครือเจริญโภคภัณฑ์ หนึ่งในผู้ขับเคลื่อนโครงการพิเศษในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการรุกพื้นที่ป่า ที่ซีพีเป็นจำเลยสังคม ทั้งใน จ.น่าน และ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่

ในเวลาที่ผ่านมา ซีพีมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ “ข้าวโพด” ที่แม่แจ่มใน 2 ธุรกิจ หนึ่ง คือธุรกิจขายเมล็ดพันธุ์ ที่เข้ามาส่งเสริมเกษตรกรในการทำแปลงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ซึ่งราคาสูงกว่าข้าวโพดทั่วไปหลายเท่า สอง คือการขายเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดและการรับซื้อข้าวโพดจากเกษตรกร ปัจจุบันในเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด 888 ซีพีมีส่วนแบ่งตลาดในราว 20-25%

“เราไม่ใช่เจ้าใหญ่ในการขายและรับซื้อข้าวโพด แต่เราก็ยอมรับว่าที่ผ่านมาทางซีพีเองก็อาจจะละเลย ที่ลงไปดูถึงเกษตรกรว่าเขาปลูกที่ไหน เพราะเราจะซื้อมาจากผู้รวบรวมรายใหญ่ที่เขาจะซื้อมาจากหัวสีอีกทีหนึ่ง 2 ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมประมงถูกให้ใบเหลือง และส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมกุ้ง ถึงวันนี้เกษตรหลักเราคือกุ้งและไก่ ถ้าเกิดวันหนึ่งจะกระทบกับอุตสาหกรรมไก่มันจะล้มทั้งกระดาน วันนั้นเราจะช็อกแน่นอน ”

สำหรับการดำเนินงานที่ผ่านมา วันนี้ซีพีจึงทำแผนทบทวนเรื่องการดูไปถึงต้นทางของวัตถุดิบที่ซื้อว่ามาจากแหล่งเพาะปลูกไหน ถ้าอยู่ในพื้นที่สุ่มเสี่ยงทำลายสิ่งแวดล้อม เราจะไม่รับซื้อ เว้นแต่อยู่ในพื้นที่ที่กำลังดำเนินโครงการฟื้นฟูโดยทำงานกับภาครัฐหรือเอ็นจีโอในท้องถิ่น โดยมีเป้าหมายในการบูรณาการเพื่อศึกษาทางเลือกให้คนในท้องถิ่นทดแทนการปลูกข้าวโพด ในการสร้างป่าไม้ให้เกิดขึ้นโดยปลูกพืชเศรษฐกิจ ขณะนี้มีพื้นที่นำร่องที่ ต.บ้านทับ อ.แม่แจ่ม ซึ่งเป็นการทดลองเพื่อหาความเป็นไปได้ในการปลูกในพื้นที่สูง 800-900 โดยใช้พื้นที่ต่ำกว่า 500 ปลูกข้าวโพด โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่านต้องให้เกษตรกรยั่งยืนมีรายได้ประจำอยู่

ผู้บริหารโครงการพิเศษให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า ในพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม ซีพีใช้งบประมาณราว 3 ล้านบาทสำหรับปีนี้เพื่อแก้ปัญหาการรุกป่า โดยใช้พื้นฐานของการทำงานเชิงพื้นที่จากปัญหาหมอกควันไฟป่าและการปลูกพืชเศรษฐกิจรวมทั้งหาอาชีพอื่น เช่น ปศุสัตว์เพื่อทดแทนข้าวโพดซึ่งทั้งหมดต้องใช้ระยะเวลาในการเปลี่ยนผ่าน

ความสำเร็จของ “แม่แจ่มโมเดล” ในปัญหาหมอกควันวันนี้จึงเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง ที่ยังต้องใช้เวลาและการเปลี่ยนผ่านโดยเฉพาะโจทย์ที่ยากที่สุดอย่างเรื่องสิทธิที่ดินทำกิน ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของทางออกอย่างยั่งยืนในการแก้ปัญหาที่แท้จริงในอนาคต!!