เครือข่ายสาละวินวอชต์ (Salween Watch Coalition)ได้ออกรายงานเกี่ยวกับแม่น้ำสาละวิน เนื่องจากเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2559 หนังสือพิมพ์เมียนมาไทมส์ ลงข่าวว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในรัฐบาลทหารของไทย ได้เยือนพม่าและหารือกับรัฐบาลพม่าในการสร้างความร่วมมือด้านพลังงานและพัฒนาโครงการเขื่อนเมืองโต๋น ในรัฐฉาน ซึ่งจะมีกำลังผลิตเป็นสิบเท่าของเขื่อนภูมิพล โดยระบุว่ารายงาน ชิ้นนี้รวบรวมสถานการณ์ล่าสุดของโครงการพัฒนาบนแม่น้ำสาละวินในพม่า เท่าที่ข้อมูลสามารถสืบค้นได้ ดังนี้
แม่น้ำสาละวิน สายน้ำที่ส่วนใหญ่ของลำน้ำยังคงไหลอย่างอิสระจากต้นกำเนิดที่เทือกเขาหิมาลัยสู่ทิเบตและมณฑลยูนนานของจีน สาละวินไหลขนานกับแม่น้ำโขงและแม่น้ำแยงซีเกียง ในบริเวณ “สามแม่น้ำไหลเคียง” ซึ่งยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ จากนั้นสาละวินไหลข้ามพรมแดนเข้าสู่ทางตอนเหนือของรัฐฉาน พม่า ผ่านใจกลางของรัฐฉาน ลงสู่รัฐคะยา หรือคะเรนนี ไหลเป็นเส้นพรมแดนระหว่างรัฐกะเหรี่ยง และ อ.แม่สะเรียง และ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน จากนั้นไหลกลับเข้าพม่า ลงสู่รัฐมอญ และไหลออกทะเลที่เมืองเมาะลำไย หรือมะละแหม่ง รัฐมอญ รวมความยาวทั้งสิ้น 2,800 กิโลเมตร
สาละวิน คือสายน้ำอันเป็นบ้านของชาติพันธุ์ต่างๆ มากมาย และยังเป็นแหล่งทรัพยาธรรมชาติที่สำคัญ มีระบบนิเวศที่สลับซับซ้อนที่ยังถูกมนุษย์รบกวนน้อยหากเทียบกับแม่น้ำหลักสายอื่นๆ
หลายทศวรรษที่ผ่านมามีความพยายามที่จะสร้างเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟ้าบนแม่น้ำสาละวินตลอดลุ่มน้ำ แต่ในพม่านั้นกลับมีการคัดค้านมาโดยตลอด เนื่องจากการสู้รบระหว่างกองกำลังชาติพันธุ์กับกองทัพพม่า และผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชน(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)
1. โครงการเขื่อนฮัตจี
ตั้งอยู่ระยะทางจากชายแดนไทย ประมาณ 47 กิโลเมตรตามลำน้ำสาละวิน จากบ้านสบเมย อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน มูลค่าก่อสร้างโครงการประมาณ 1 แสนล้านบาท
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ว่าจ้างให้ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดทำการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติม โครงการไฟฟ้าพลังน้ำฮัจยี ชายแดนไทย-พม่า โดยได้จัดประชุมเพื่อนำเสนอรายงานที่ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ในวันที่ 18 ธันวาคม 2558 อย่างไรก็ตาม เนื้อหาของรายงานโดยละเอียดยังไม่ได้มีการเปิดเผยต่อสาธารณะและชุมชนที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะผลกระทบข้ามพรมแดน และผลกระทบต่อระบบนิเวศ การไหลของน้ำ การอพยพของปลา
เนื่องจากเขื่อนนี้ตั้งอยู่ในรัฐกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ยังมีการสู้รบ รายงานการศึกษาของ กฟผ. ระบุว่ามีชุนในรัฐกะเหรี่ยงจะได้รับผลกระทบ 13 หมู่บ้าน และต้องอพยพ 21 ครัวเรือน อย่างไรก็ตาม กลุ่มสิ่งแวดล้อมกะเหรี่ยง Karen Rivers Watch ระบุว่า ชาวบ้านที่อาศัยอยู่รอบๆ หัวงานเขื่อนส่วนใหญ่ได้อพยพหนีภัยความตายมายังชายแดนประเทศไทยเนื่องจากภัยสงคราม และอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวใน จ.แม่ฮ่องสอน และ จ.ตาก
สถานการณ์พื้นที่เขื่อนฮัตจีเมื่อในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2558 มีรายงานจากกลุ่มสิ่งแวดล้อมกะเหรี่ยงว่าได้รับข้อมูลจากเจ้าหน้าที่กองกำลังกะเหรี่ยง KNU กองพล 5 เขตมือตรอ รัฐกะเหรี่ยง รายงานว่าตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน กองกำลังฝ่ายรัฐบาลพม่า 4 กองพัน ซึ่งประกอบด้วย กองกำลังป้องกันชายแดน (BGF) กองพัน 1013 และ 1014 สนธิกำลังกับกองพันเคลื่อนที่เร็วของกองทัพพม่า (LIB) กองพัน 210 กับ 205 ปฏิบัตการเข้าโจมตีพื้นที่ตำบลแม่ปริและตำบลทีตะดอท่า ในพื้นที่ อ.บือโส่ เขตมือตรอ กองกำลังร่วมชุดนี้ได้เข้าควบคุมพื้นที่จึงทำให้เกิดการปะทะกับกอง กำลัง KNU ส่งผลให้ KNU ต้องสูญเสียพื้นที่ควบคุมบางส่วน ปฏิบัติการของกองกำลังฝ่ายรัฐบาลพม่าส่งผลให้ผู้นำชุมชนหลายคนถูกไล่ออกจากหมู่บ้าน มีการจับกุมชาวบ้านในพื้นที่ไว้ และมีชาวบ้านถูกฆ่าอย่างน้อย 1 คน (เป็นกำนันตำบลทีตะดอท่า) รวมถึงมีการปิดด่านริมน้ำสาละวินทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ไม่สามารถ เดินทางไปมายังเขตเมืองได้ (ด่านตรวจริมแม่น้ำสาละวินที่เป็นจุดสำคัญสกัดการเดินทางไปยังเมืองเมียนจีหงู่ หรือพะอัน คือด่านแมเซก ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาด่านแห่งนี้ถูกควบคุมโดยกองกำลัง BGF กองพัน 1012)
ระยะเวลาเพียง 2 สองเดือนดังกล่าว ในพื้นที่เกิดการปะทะไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง เจ้าหน้าที่ KNU เขตมือตรอให้ข้อมูลว่า ในระหว่างการดำเนินกระบวนการสันติภาพในพม่า แต่ในพื้นที่รัฐกะเหรี่ยงภายใต้ KNU กลับมีการเคลื่อนไหวของกองทัพฝ่ายรัฐบาล ดังนั้นจึงยากที่จะสร้างความเชื่อมั่นต่อกันและกันในการเดินไปสู่ สันติภาพที่แท้จริง
แหล่งข่าวที่ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ และเคยลงพื้นที่สำรวจพื้นที่หัวงานเขื่อนฮัตจีเปิดเผยว่า ปฎิบัติการโจมตีดังกล่าวเป็นปฎิบัติการที่ต่อเนื่องจากการโจมตีช่วงปลายเดือนตุลาคม 2557 ซึ่งครั้งนั้นมีชาวบ้านหนีภัยการสู้รบข้ามแม่น้ำเมยมายังบ้านแม่ตะวอ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก กว่า 300 คน
“เดิมที พื้นที่แมเซกซึ่งเป็นด่านสกัดการเดินทางจากหัวงานเขื่อนลงมายังเมืองเมียนจีหงู่นั้น อยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังกะเหรี่ยง DKBA แต่หลังการโจมตีของกองทัพฝ่ายรัฐบาลพม่าในเดือนตุลาคม กองกำลัง BGF กองพัน 1012 ได้เข้ามาควบคุมพื้นที่ จากการพูดคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ รวมถึงทหารระดับปฎิบัติการในพื้นที่ของ DKBA บางคนประเมินว่าคงมีการโจมตีอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้ก็เกิดขึ้นแล้ว เพราะพื้นที่เป้าหมายที่ฝ่ายกองทัพพม่าต้องการเข้าควบคุมคือพื้นที่บอตอรอ เพราะทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าหากกองทัพพม่าเข้าควบคุมพื้นที่แห่งนี้ได้คือการคุมพื้นที่ทั้งเหนือและใต้ของหัวงานเขื่อนได้ และปฏิบัติการที่มีความต่อเนื่องนี้ มีความเชื่อมโยงกับความพยายามของกองทัพพม่าที่ต้องการควบคุมพื้นที่สร้างเขื่อนฮัตจีอย่างแน่นอน
หมู่บ้านที่อยู่โดยรอบหัวงานเขื่อนฮัตจี พื้นที่เขตตองจา ซึ่งอยู่ในพื้นที่การสู้รบและได้รับผลกระทบโดยตรง มีดังนี้ สาละวินฝั่งตะวันออก จากเหนือลงใต้ บ.บอตรอ, บ.ฮ่วยอู แว และ บ.แมเซก ตะวันออก สาละวินฝั่งตะวันตก จากเหนือลงใต้ บ.แม่ลา บ.แม่ลาท่า และ บ.แมเซก ตะวันตก
2. โครงการเขื่อนสาละวินชายแดนตอนล่าง (เขื่อนดา-กวิน)
ตั้งอยู่บนแม่น้ำสาละวินชายแดนไทย-พม่า ที่บ้านท่าตาฝั่ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ตรงข้ามรัฐกะเหรี่ยง
3. โครงการเขื่อนสาละวินชายแดนตอนบน (เขื่อนเวยจี)
ตั้งอยู่บนแม่น้ำสาละวินชายแดนไทย-พม่า ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสาละวิน อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ตรงข้ามรัฐกะเหรี่ยง
ทั้งสองโครงการนี้มีการเสนอภายใต้กรอบความร่วมมือของรัฐบาลไทยและพม่า ในปี 2547 ซึ่งจะพัฒนาเขื่อนบนแม่น้ำสาละวินและตะนาวศรี โดย 2 เขื่อนบนพรมแดนไทย-พม่านี้เป็นโครงการหลักที่ กฟผ. ผลักดันอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม โครงการทั้งสองถูกชะลอ หลายฝ่ายมีความเห็นว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจาก 2 เขื่อนนี้มีความรุนแรง ทั้งผลกระทบต่อผืนป่าอันเป็นแหล่งกำเนิดไม้สักของโลก บริเวณสองฝั่งแม่น้ำสาละวินพรมแดนไทย-พม่า และจะท่วมแม่น้ำปายซึ่งเป็นลำน้ำสาขาของแม่น้ำสาละวิน ไปถึงบริเวณ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน

4. โครงการเขื่อนยวาติ๊ด
ระยะทางจากชายแดนไทย ประมาณ 45 กิโลเมตร ตามลำน้ำปาย ที่บ้านน้ำเพียงดิน อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ตั้งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่แม่น้ำปายบรรจบแม่น้ำสาละวิน ในรัฐคะยา หรือรัฐคะเรนนี เป็นโครงการของบริษัทต้าถัง (Datang) จากจีน ซึ่งลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับ รัฐบาลพม่าเมื่อปี 2553 ข้อมูลเดิมระบุว่าเขื่อนยวาติ๊ดมีกำลังผลิตติดตั้ง 600 เมกะวัตต์ แต่ข้อมูลจากเว็บไซต์ของบริษัทต้าถัง ณ เดือนมีนาคม 2556 ระบุว่าเขื่อนมีกำลังผลิตสูงถึง 4,500 เมกะวัตต์
กลุ่มสิ่งแวดล้อมคะเรนนีรายงานว่า มีการสัมปทานทำไม้อย่างมหาศาลในพื้นที่รอบๆ เขื่อนยวาติ๊ด มีการปรับถนนจากลอยก่อ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐคะเรนนี สู่เมืองบอเลอเค และยวาติ๊ด
หมู่บ้านรอบๆ เขื่อนยวาติ๊ดได้อพยพหนีภัยสงครามออกจากพื้นที่ไปกว่ายี่สิบปีแล้ว ส่วนใหญ่เป็นผู้ลี้ภัยที่อาศัยตามค่ายพักพิงชั่วคราวแนวชายแดน โดยเฉพาะที่ อ.เมือง และ อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลล่าสุดระบุว่ายังมีชาวบ้านอาศัยอยู่รอบๆ ยวาติ๊ดจำนวนหนึ่ง โดยจัดเป็นผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ (Internally Displaced Persons-IDPS) ชาวบ้านกลุ่มนี้ต้องหนีไปซ่อนตัวในช่วงที่มีการสู้รบ
รัฐคะเรนนีเคยมีบทเรียนอันเจ็บปวดจากการสร้างเขื่อนโมบีและโรงไฟฟ้าลอปิตาเมื่อกว่า 30 ปีก่อน โรงไฟฟ้าลอปิตาซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของพม่า ทำให้ประชาชน 12,000 คน ต้องถูกถอนรากถอนโคนออกจากถิ่นฐาน กองทัพพม่าส่งทหารนับพันเข้ามาคุ้มครองโรงไฟฟ้า นำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนนานัปการโดยทหารพม่า อาทิ การทารุณกรรมทางเพศ การสังหาร และการบังคับใช้แรงงานทาส นอกจากนี้ยังมีการวางกับระเบิดกว่า 18,000 จุดรอบๆ โรงไฟฟ้าและแนวสายส่ง
เขื่อนยวาติ๊ดมีการสำรวจโดยทีมจีน-พม่า เพื่อเตรียมก่อสร้างอย่างจริงจังในช่วงปี 2553 มีรายงานว่ามีการซุ่มโจมตีรถของคณะสำรวจที่ใกล้เมืองพรูโซในเดือน ธันวาคมปีเดียวกัน เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มีวิศวกรชาวจีนเสียชีวิต 3 ราย
ต่อมาในปี 2554 มีการตั้งค่ายทหารของกองกำลังรักษาชายแดนของกองทัพพม่า (BGF) หมายเลข 1005 และมีกองกำลังพิเศษที่มีภารกิจรักษาความปลอดภัยของคณะสร้างเขื่อนชาวจีน รายงานว่าผู้บัญชาการพิเศษภาคพื้น 55 ที่มีฐานอยู่ที่บอละแค ได้เดินทางไปยังพื้นที่ยวาติ๊ดเพื่อตรวจการณ์และรักษาความปลอดภัยแก่การ ก่อสร้างเขื่อนอย่างเข้มงวด
รายงานจากในพื้นที่ระบุว่า ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2559 กลุ่มประชาสังคมคะเรนนีได้ออกแถลงการณ์คัดค้านการสำรวจเพื่อสร้างเขื่อนบนแม่น้ำปุ่น ซึ่งเป็นแม่น้ำสาขาของสาละวิน โครงการเขื่อนน้ำปุ่นกำลังสำรวจโดยบริษัท HCTC Energy Investment Co.Ltd. (บริษัทลูกของ Shwe Taung Co.) และบริษัท Trusr Energy Investment Pte.Ltd. (สิงคโปร์) เขื่อนนี้ตั้งอยู่ใกล้เมืองบอละแค และมีการตั้งข้อสังเกตว่าเขื่อนนี้เป็น 1 ใน 3 โครงการเขื่อนในรัฐคะเรนนี ที่บริษัทต้าถังได้ลงนาม MoU ไว้ในปี 2553 และเขื่อนแม่น้ำปุ่นนี้อาจถูกสร้างก่อนเพื่อเป็นแหล่งพลังงานใช้ใน การก่อสร้างเขื่อนยวาติ๊ด
กองกำลังคะเรนนี (KNPP) ซึ่งไม่ลงนามข้อตกลงหยุดยิงกับกองทัพพม่าในปีที่ผ่านมาก่อนการเลือกตั้ง แต่ข้อตกลงที่เคยลงนามไว้กับกองทัพพม่าในปี 2555 มีเนื้อหาระบุถึงโครงการเขื่อนยวาติ๊ดว่า “จะมีการสร้างความโปร่งใสในโครงการเขื่อนขนาดใหญ่ (รวมถึงเขื่อนยวาติ๊ด) ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันในการให้ข้อมูลแก่สาธารณะและอนุญาตให้ประชาชนและองค์กรชุมชนหาข้อมูลได้” อย่างไรก็ตาม เมื่อกลุ่มสิ่งแวดล้อมลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูล กลับถูกจับกุมโดยทางการพม่าและห้ามเข้าพื้นที่เขื่อน
ปัจจุบันมีการปรับปรุงถนนระหว่าง อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน ผ่านด่านห้วยต้นนุ่น ข้ามสะพานแห่งใหม่บนแม่น้ำสาละวิน ไปยังเมืองลอยก่อ เมืองหลวงของรัฐคะเรนนี
5. โครงการเขื่อนเมืองโต๋น (เขื่อนท่าซาง/เขื่อนมายตง)
ระยะทางจากชายแดนไทย ประมาณ 40 กิโลเมตร ที่บ้านอรุโณทัย อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เดิมมีการวางแผนที่จะสร้างเขื่อนที่บริเวณท่าซาง แต่ต่อมาเมื่อผู้พัฒนาโครงการไม่สามารถดำเนินการได้ จึงมีการเสนอโครงการใหม่ โดยขยับขึ้นมาตามลำน้ำประมาณ 10 กิโลเมตร ใกล้กับเมืองโต๋น โดยมีชื่อว่าโครงการเขื่อนมายตง ในภาษาพม่า
บริษัทที่ปรึกษาจากออสเตรเลีย Snowy Mountain Engineering Corperation ได้รับจ้างทำการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคม (EHIA) ในรัฐฉาน แต่กลับถูกตั้งคำถามโดยเครือข่ายประชาชนในรัฐฉานเกี่ยวกับความชอบธรรมของการศึกษาดังกล่าว และพบว่าในหลายพื้นที่พบกับการต่อต้านจากชาวบ้าน ที่น่าสนใจคือ การศึกษาดังกล่าวไม่สามารถเสร็จสมบูรณ์ได้เนื่องจาก กองทัพว้า UWSA ซึ่งคุมพื้นที่ส่วนหนึ่งของริมแม่น้ำสาละวิน ปฏิเสธมิให้ทำการศึกษาในพื้นที่
ข้อกังวลหลักคือ พื้นที่ก่อสร้างเขื่อนและพื้นที่น้ำท่วมจะยาวถึง 870 กิโลเมตร ตลอดลำน้ำสาละวินและลำน้ำสาขาที่สำคัญคือแม่น้ำป๋าง พื้นที่ภาคกลางของรัฐฉานบริเวณนี้เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ดังกล่าวซึ่งเคยมีการ บังคับอพยพโดยกองทัพพม่าในช่วงปี 2536-2539 ซึ่ง ทำให้ประชาชนในรัฐฉานอย่างน้อย 3 แสนคน ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ โดยประชาชนจำนวนมากได้หนีมายังประเทศไทยหรือตามแนวชายแดนโดยเฉพาะที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ จวบจนปัจจุบันชาวบ้านเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังคงไม่สามารถกลับคืนสู่ถิ่นฐานได้ แม้เวลาจะผ่านมาแล้วถึง 20 ปีเต็ม
เขื่อนเมืองโต๋น จะทำให้เกิดน้ำท่วมยาวไปตามลำน้ำทั้งบริเวณแม่น้ำสาละวินและลำน้ำสาขาที่สำคัญ คือแม่น้ำป๋าง ซึ่งเป็นแม่น้ำที่มีระบบนิเวศที่สลับซับซ้อนและน่าสนใจที่สุดสายหนึ่ง จากต้นน้ำ ลำน้ำป๋างไหลลดหลั่นตามชั้นหินหลายร้อยชั้น และแตกแขนงออกเป็นเกาะเล็กเกาะน้อย จนชาวไทใหญ่เรียกเมืองที่น้ำป๋างว่า “กุ๋นเฮง” หรือเมืองพันเกาะ น้ำที่ไหลผ่านน้ำตกมากมายถูกฟอกเติมออกซิเจนโดยธรรมชาติ ลำน้ำป๋างจึงมีสีเขียวใสแทบตลอดทั้งปี แต่แม่น้ำอันเปรียบได้ดัง “มรกตแห่งสาละวิน” จะต้องจมอยู่ใต้น้ำตลอดไปหากมีการสร้างเขื่อนเมืองโต๋น

6. โครงการเขื่อนหนองผา
ตั้งอยู่ทางภาคเหนือในรัฐฉาน มีการลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อพัฒนาโครงการเมื่อครั้งที่นายสี จิ้นผิง รองประธานาธิบดีจีน เดินทางเยือนพม่าในปี 2553 ที่ผ่านมามีการเปิดเผยข้อมูลโครงการเขื่อนหนองผาน้อยมาก และการเข้าถึงพื้นที่เป็นไปได้ยาก ทำให้แทบไม่มีข้อมูลในพื้นที่ออกสู่ภายนอก
โครงการเขื่อนหนองผาเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลพม่า บริษัทสัญชาติพม่า International Group of Entrepreneurs-IGE และบริษัท Hydrochina Corporation สัดส่วนในการถือหุ้นคือ รัฐบาลพม่าร้อยละ 15 และสองบริษัทอีกร้อยละ 85 เขื่อนหนองผามีกำลังผลิตติดตั้ง 1,200 เมกะวัตต์ โดยไฟฟ้าร้อยละ 90 จะส่งไปขายแก่ประเทศจีน
เขื่อนหนองผาตั้งอยู่ในเขตปกครองพิเศษของกองกำลังสหรัฐว้า (UWSA) ในปี 2558 กองทัพพม่าได้ส่งกำลังพลเข้าล้อมพื้นที่ของกองกำลังไทใหญ่ SSPP/SSA (เหนือ) ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์และเป็นบริเวณติดกับพื้นที่ของว้า UWSA ซึ่งบริเวณที่จะสร้างเขื่อนจึงตั้งอยู่ในพื้นที่การสู้รบโดยตรง
7. โครงการเขื่อนกุ๋นโหลง
ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของรัฐฉาน เขตปกครองของกองกำลังโกก้าง ใกล้ชายแดนจีน เขื่อนมีกำลังผลิตติดตั้ง 1,400 เมกะวัตต์ ไฟฟ้าจำนวน 1,200 เมกะวัตต์จะส่งไปขายยังประเทศจีนโดยเชื่อมต่อกับระบบสายส่งจีนใต้ ข้อมูลจากบริษัท Hydrochina Kunmig Engineering ระบุว่ามีหมู่บ้านหลายแห่งที่จะได้รับผลกระทบ โดยมีการจัดทำรายการการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ไปแล้วแต่ไม่มีการเปิดเผยข้อมูล และมีการก่อสร้างโครงการอย่างลับๆ แต่กลับต้องชะงักเนื่องจากการสู้รบอย่างรุนแรงระหว่างกองทัพพม่ากับกองกำลังโกกั้งในช่วงปี 2558 และส่งผลต่อเนื่องให้ให้ประชาชนกว่า 100,000 คน ต้องอพยพหนีการสู้รบไปยังชายแดนจีน
มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan Human Rights Foundation–SHRF) ระบุว่า โครงการเขื่อนบนแม่น้ำสาละวิน นอกจากกระทบกับชาวบ้านในพื้นที่แล้วอาจยังส่งผลกระทบต่อการสร้างสันติภาพในพม่า พบว่าในพื้นที่สร้างเขื่อนมีการสู้รบกันระหว่างกองทัพพม่าและกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่ม จึงเรียกร้องให้ยุติสร้างเขื่อน
ปัจจุบันเขื่อนต้องชะลอเนื่องจากการสู้รบ ซึ่งทำให้หัวงานเขื่อนต้องถูกทิ้งร้าง