Noah Kittner
Energy and Resource Group,
University of California, Berkeley
ในปัจจุบัน ความนิยมการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินนั้นลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดในหลายๆ ประเทศทั่วโลก จนธนาคารเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศใหญ่ๆ ที่รวมไปถึง ธนาคารโลก และ รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ได้มีมติที่จะหยุดสนับสนุนโครงการที่เกี่ยวกับถ่านหินในต่างประเทศตั้งแต่ พ.ศ. 2556
ขณะเดียวกัน Bloomberg Business Week เดือนนี้รายงานว่า นโยบายพลังงานแห่งชาติของประเทศจีนได้ตั้งเป้าที่จะลดสัดส่วนการใช้ถ่านหินในการผลิตพลังงานจาก 66% ในปี พ.ศ. 2557 ให้เหลือ 62% ภายในปี พ.ศ. 2563
“ในปัจจุบัน การใช้ถ่านหินในประเทศจีนได้ลดลงถึง 5% แล้ว ใน 4 อุตสาหกรรมหลัก ประกอบด้วย โรงงานไฟฟ้า เหล็ก เคมีภัณฑ์ และการก่อสร้าง”
จีนหันมาใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ ลม และชีวมวลเป็นอัตราส่วน 2.3% ของสัดส่วนแหล่งพลังงาน รวมทั้งพลังงานน้ำอีก 8%
ทั้งนี้ ด้วยต้นทุนที่ต่ำลงและความพร้อมในการใช้งานของเหล่าพลังงานทดแทน เช่น พลังงานจากแสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล และน้ำ จะช่วยให้ประเทศต่างๆ ในโลกรับมือกับวิกฤติพลังงานไฟฟ้าได้
งานวิจัยชิ้นใหม่ โดยมหาวิทยาลัย University of California, Berkeley ได้ศึกษาทางเลือกการผลิตไฟฟ้าในประเทศโคโซโว (Kosovo) การศึกษานี้พบว่าพลังงานหมุนเวียนที่มีลักษณะกระจายศูนย์ สามารถนำมาใช้เพื่อรองรับความต้องการได้ทันที (ไม่ต้องรอการก่อสร้างนาน) และมีต้นทุนที่ถูกกว่าที่จะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน
งานวิจัยนี้ได้คำนวณ Levelized Cost of Energy (LCOE) ในสมการข้างล่าง สังเกตว่าตัวแปร “Variable O&M ” ในสมการนี้เป็นตัวแปรปริศนา
เป็นต้นทุนที่ซ่อนเร้นอยู่ในสมการอย่างแยบยล จากการศึกษาในประเทศโคโซโว เราพบว่าตัวแปรนี้ต้องรวมเอาราคา $30/Ton shadow price of carbon เข้าไปด้วย และราคานี้เองที่ทำให้ราคารวมของ LCOE สำหรับโรงงานถ่านหินนั้นสูงขึ้นมาก แม้ตัวแปร “Capital investment cost” จะมีราคาถูกก็ตาม
การคำนวณตัวแปร “Variable O&M” ที่เป็นมาตรฐานสากล ของ World Bank จะต้องรวมไปถึงต้นทุนและราคาของมลพิษในสิ่งแวดล้อมเข้าไปด้วย ต้นทุนทางสุขภาพ ค่ารักษาพยาบาล และการกำจัดสารปรอท (Mercury) ในน้ำ ฯลฯ ราคาทั้งหมดนี้ต้องรวมทั้งวงจรชีวิต (Life cycle) ของถ่านหินตั้งแต่การทำเหมือง การขนส่ง และการเผา
จริงๆ แล้วราคา $30/Ton shadow price of carbon ที่ทางธนาคารโลกใช้คำนวณกับถ่านหิน ยังต่ำมาก งานวิจัยของ Moore and Diaz ที่ปี 2015 พบว่าต้นทุนทางมลพิษและสุขภาพของการใช้ถ่านหินอาจสูงถึง $220/Ton shadow price of carbon
เมื่อเทียบราคาต้นทุน LCOE ของพลังงานหมุนเวียนแบบ “ค็อกเทล” ที่รวมพลังงานโซลาร์ พลังงานลม พลังงานน้ำ ชีวมวล และพลังงานจากขยะเข้าด้วยกันแล้ว ประเทศโคโซโวกลับสามารถใช้พลังงานหมุนเวียนในราคาต้นทุนที่ถูกกว่าการสร้างโรงงานถ่านหิน (อ่านเพิ่มเติมที่นี่)
ในประเทศโคโซโว การเสนอให้มีโรงงานไฟฟ้าถ่านหินนั้นได้ผ่านการอภิปรายมากกว่าสิบปี และจนถึงปัจจุบันโครงการที่จะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินนี้ก็ยังไม่ได้ถูกดำเนินการแต่อย่างใด ในขณะเดียวกัน งานวิจัยใหม่ๆ ที่ออกมาได้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ตลาดพลังงานในปัจจุบันที่ไม่ให้ความสำคัญกับการใช้ถ่านหินเป็นแหล่งพลังงานอีกต่อไป
ราคาของเทคโนโลยีพลังงานทดแทนและเทคโนโลยีประหยัดพลังงานที่ตกลงอย่างต่อเนื่อง ก็ช่วยกระตุ้นให้เกิดงานวิจัยที่เกี่ยวกับพลังงานทางเลือกอื่นๆ ด้วย จนกระทั่ง ราเชล ไคท์ (Rachel Kyte) ตัวแทนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากธนาคารโลก ได้ออกมาแถลงว่า ทุกประเทศทั่วโลกควรที่จะลดการใช้ถ่านหิน เพราะการใช้ถ่านหินส่งผลเสียทั้งในด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ
ในขณะเดียวกัน ทางคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด (Harvard Medical School) ได้พบว่าราคาต้นทุนจริงของการใช้ถ่านหินในสหรัฐอเมริกานั้นสูงถึง $500 Billion (อ่านรายงานทั้งหมดได้ที่นี่)
การลงทุนกับถ่านหินถือเป็นการลงทุนที่เสี่ยงถ้ามองในมุมของพลังงาน อากาศ และสุขภาพ ในปีที่ผ่านมา งานวิเคราะห์ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเบิร์กลีย์ที่ร่วมกับนักวิจัยจากกลุ่มประเทศ Balkans ได้ทำให้เราเข้าใจว่า การใช้พลังงานสะอาดไม่เพียงแต่มีผลดีต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมเท่านั้น หากแต่มันเป็นการลงทุนที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับการใช้พลังงานแบบเก่า
การที่ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานของพลังงานสะอาดพร้อมอยู่แล้วจากการสนับสนุนของรัฐบาล การปรับมาใช้พลังงานสะอาดในประเทศไทยจึงเป็นเรื่องไม่ยาก ถ้ารัฐบาลมีการศึกษาราคาต้นทุนกันอย่างจริงจัง
ในฐานะประเทศผู้นำด้านพลังงานแสงอาทิตย์อันดับ 1 ของอาเซียน ประเทศไทยน่าจะมีศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนขึ้นมาได้
และพร้อมกันนี้ ประเทศไทยก็ควรที่จะจัดทำการประเมินพลังงานทดแทนจากแหล่งต่างๆ เพื่อเป็นการวิเคราะห์ทางด้านศักยภาพและราคา ก่อนที่จะเดินหน้าโครงการถ่านหินต่อไป ทั้งนี้ การหันมาใช้พลังงานทดแทนจะยังช่วยให้ประเทศไทยและอาเซียนมีความมั่นคงทางด้านพลังงานมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาคุณภาพของสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของสาธารณชนอีกด้วย
การวางแผนสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่ที่มีกำลังผลิตติดตั้ง 1,000 เมกะวัตต์ ในจังหวัดกระบี่ ถือเป็นแผนที่จะดำเนินไปในทิศทางตรงกันข้ามกับการพัฒนาเศรษฐกิจแบบดิจิทัล (Creative Digital Economy) และการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนโดยสิ้นเชิง
การโฆษณาโดย กฟผ. ให้สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด โดยการนำเสนอต่อนายทุน (“เฮีย”) ในวิดีโอครั้งนี้ ก็เพื่อตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศ เพื่ออำนวยให้คนไทยมีไฟฟ้าใช้อย่างสะดวกสบายโดย “ไม่ต้องหันกลับไปพึ่งแสงสว่างจากเทียนไข” ตามที่นำเสนอโดยรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม การอธิบายลักษณะของถ่านหินโดยใช้คำว่า “สะอาด” อาจทำให้เราลืมคำนึงถึงวงจรชีวิตของถ่านหิน ที่ยังมีประเด็นน่ากังวลหลายประเด็น เช่น ปัญหาจากถ่านหินลิกไนท์และถ่านหินบิทูมินัสจากการทำเหมือง และปัญหามลภาวะจากสารปรอทและโลหะชนิดต่างๆ
ในขณะเดียวกัน ปัญหาทางสิ่งแวดล้อมก็ยังคงอยู่ หากเทคโนโลยีดักจับและดักเก็บคาร์บอนไม่ได้ถูกนำมาปรับใช้ในสถานการณ์นี้
นอกจากนี้แล้ว ถ้าถ่านหินนั้นสะอาดจริงถึงขั้นที่ไม่ปล่อยฝุ่นละอองซัลเฟอร์ออกไซด์ (SOx) ไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และสารมลพิษอื่นๆ ออกมา ถ่านหินก็ไม่น่าที่จะเป็นแหล่งเชื้อเพลิงที่ทำให้การผลิตไฟฟ้ามีต้นทุนที่ต่ำที่สุดได้
หนึ่งในวัตถุประสงค์ของการจัดทำแผนงานพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2553–2573 คือการส่งเสริมกระจายแหล่งเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า โดยลดการใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิต และเพิ่มการใช้พลังงานน้ำ ถ่านหินพลังงานทดแทน และพลังนิวเคลียร์ ซึ่งเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้คือเพิ่มสัดส่วนของไฟฟ้าจากพลังงานน้ำให้เป็น 20% ถ่านหินให้เป็น 25% พลังงานทดแทนให้เป็น 20% และพลังงานนิวเคลียร์ให้เป็น 5% ภายใน พ.ศ. 2579
ถึงแม้เป้าหมายครั้งนี้จะดูเหมือนเป็นการปรับสัดส่วนเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าให้กระจายมากขึ้น แต่การวางแผนสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกำลังผลิต 7,365 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์กำลังผลิต 2,000 เมกะวัตต์ รวมถึงการวางแผนที่จะซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังน้ำจากต่างประเทศ 11,016 เมกะวัตต์ ก็ยังเป็นเรื่องที่น่ากังขาอย่างมาก โดยเฉพาะในยุคที่ราคาของพลังงานทดแทนนั้นถูกลงอย่างต่อเนื่อง งานวิจัยของสากลยังแสดงให้เห็นอีกว่าแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่มีลักษณะกระจายตัวนั้นถูกนำมาใช้ได้เร็วกว่า ทั้งหมดนี้ต้องคิดเรื่องต้นทุนทาง “เวลา” ที่เสียไปด้วย
และที่สำคัญ เช่นเดียวกับในกรณีของประเทศโคโซโว เราอาจจะพบว่าพลังงานหมุนเวียนนั้นจริงๆ แล้วมีต้นทุนที่ถูกกว่าการมีโรงไฟฟ้าไฟฟ้าถ่านหิน
เราจะเชื่อใจ “เฮีย” ในคลิปวิดีโอของ กฟผ. หรือการคำนวณราคาจริงโดยมาตรฐานสากล เป็นสิ่งที่ประชาชนคนไทยควรมีสิทธิเลือก