วรากรณ์ สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
การเมืองไทยก่อนหน้านี้ว่ากันว่าปนไปด้วยเรื่องคอร์รัปชัน การลุแก่อำนาจ และเรื่องชู้สาว แต่ขณะนี้การเมืองมาเลเซียกำลังจะแซงหน้าไปแล้วเพราะมีครบเครื่องข้างต้นราวกับหนังตื่นเต้นของฮอลลีวูด และแถมด้วยฆาตกรรมผู้หญิงท้อง
นายกรัฐมนตรีมาเลเซียนาย Najib Razak กำลังโดนศึกหนักกระหน่ำเพราะถูกกล่าวหาทั้งเรื่องการใช้อำนาจ คอร์รัปชัน ชู้สาว และฆาตกรรมอีกด้วย ไม่มีครั้งใดที่การเมืองมาเลเซียอื้อฉาวสุดๆ เท่าครั้งนี้
หนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal ลงข่าวเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมนี้ว่า ผู้ตรวจสอบของมาเลเซียพบว่ามีเงินไหลจากกองทุนที่มีชื่อว่า 1MDB (1Malaysia Development Berhad) จำนวน 700 ล้านเหรียญสหรัฐ เข้าบัญชีส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี
หลักฐานจากการสอบสวนว่านาย Najib เกี่ยวพันโดยตรงกับกองทุนนี้สอดคล้องกับข้อสงสัยที่มีมานานพอควร ซึ่งบุคคลที่ออกมากล่าวหาคือลูกพี่ อดีตนายกรัฐมนตรีมหาเดย์ ผู้ตำหนินายกรัฐมนตรี พรรครัฐบาล (UMNO) และรัฐบาลอย่างต่อเนื่องมานานพอควรในหลายเรื่อง โดยเฉพาะในเรื่องคอร์รัปชันจากกองทุนนี้
กองทุน 1MDB ตั้งโดยนาย Najib ในปี 2008 โดยใช้เงินรัฐบาลเมื่อตอนเขาเป็น รองนายกรัฐมนตรีเพื่ออำนวยให้เกิดการลงทุนในตะวันออกกลาง หลังจากตั้งไม่นานก็ก่อหนี้มูลค่า 11,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อซื้อทรัพย์สินในด้านพลังงานและอสังหาริมทรัพย์ เมื่อแผนการที่จะขายหุ้นพลังงานล้มเหลว กองทุนก็ประสบปัญหาในการชำระหนี้จนต้องเปลี่ยนผู้ตรวจสอบบัญชีอย่างน้อย 2 ครั้ง
เมื่อมีการเปิดเผยการดำเนินงานของ 1MDB ประชาชนก็เห็นความซับซ้อนซ่อนเงื่อนของธุรกรรมของกองทุน สังเกตเห็นได้ว่ากองทุนมักจ่ายเงินซื้อทรัพย์สินจากบริษัทเอกชนในราคาที่สูงเกินจริง และบริษัทเหล่านี้ต่อมาบริจาคเงินให้การกุศลอีกทีโดยมีนาย Najib เป็นหัวเรือใหญ่ของกองทุนการกุศลในช่วงเวลาก่อนหน้าเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหญ่ในบางรัฐในปี 2013
ผู้ร้ายของเรื่องนี้คือ นาย Jho Low หนุ่มนักต่อรองผลประโยชน์ธุรกิจตัวยง และเป็นเพื่อนของลูกเลี้ยงนาย Najib อีเมลที่รั่วออกมาระบุว่าเขากู้ยืมเงินก้อนใหญ่โดยใช้บริการค้ำประกันเงินกู้ของรัฐโดยไม่มีการอนุมัติจากธนาคารกลาง ยิ่งไปกว่านั้น เขามีบทบาทสำคัญในการดำเนินงานร่วมลงทุนของกองทุนกับบริษัทน่าสงสัยในอาบูดาบีจนกองทุนสูญเงินไป 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ
กองทุน 1MDB อื้อฉาวในหลายเรื่องเกี่ยวกับการใช้เงินกองทุนในลักษณะซื้อทรัพย์สินจากเพื่อนเศรษฐีที่คุ้นเคยผู้บริหารกองทุนในราคาแพง แต่เวลาขายกลับขายราคาถูกจนหนี้ท่วมกองทุน นอกจากนี้ยังยักย้ายถ่ายเทเงินแบบซ่อนเงื่อนเข้าบัญชีนาย Najib อีกดังกล่าวแล้ว
อื้อฉาวเรื่องเงินทองไม่พอ คดีเก่าที่ค้างคาใจคนมานานก็เริ่มมีการขุดคุ้ยขึ้นมาอีกเพื่อเล่นงานนาย Najib เรื่องก็มีอยู่ว่าในปลายปี ค.ศ. 2006 มีล่ามแสนสวยชาวมองโกเลียถูกฆ่าอย่างทารุณ และเมื่อพิสูจน์ศพก็พบว่าเธอกำลังท้องอยู่ ตำรวจถูกแรงกดดันให้เหยียบเบรกในคดีฆาตกรรมนี้ถึงแม้จะรู้ตัวฆาตกรแล้วก็ตาม
ในกลางปี 2007 เมื่อคดีถึงศาลมีคำให้การพาดพิงว่ารองนายกรัฐมนตรี Najib เกี่ยวพันกับคดีฆาตกรรมนี้และมีรูปถ่ายกับเธอที่มีชื่อว่า Altantuya Shaariibuu อย่างไรก็ดี มีความพยายามของฝ่ายรัฐที่จะลากคดีให้ยาวขึ้น ยิ่งสาวก็ยิ่งนำไปสู่หลายคำถามที่หาคำตอบไม่ได้
ประชาชนข้องใจว่า เมื่อรองนายก Najib ปฏิเสธการเกี่ยวพัน แต่เหตุใดจึงไม่ยอมให้การในศาล ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการกล่าวหาอีกว่าภรรยาของนาย Najib อยู่ในเหตุการณ์ขณะที่เธอถูกฆ่าด้วย
มีข่าวลือหลายกระแสตลอดเวลา 8 ปีที่ผ่านมา ที่หนักสุดคือการเขียน Blog ของอดีตนายกรัฐมนตรีมหาเดย์ว่าสมควรรื้อฟื้นคดีฆาตกรรมนี้ขึ้นมาว่าจริงๆ แล้วใครเป็นคนสั่งฆ่า ซึ่งสอดคล้องกับการเปิดเผยของอดีตนายตำรวจที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกที่ซิดนีย์หลังจากโดนศาลมาเลเซียสั่งประหารชีวิตด้วยการแขวนคอร่วมกับเพื่อนตำรวจอีกคนในคดีนี้ ซึ่งทั้งสองเป็นอดีตบอร์ดี้การ์ดของนาย Najib เขาบอกว่ามีนายใหญ่สั่งให้เขาฆ่าโดยไม่ยอมเปิดเผยชื่อ เขาสารภาพว่าร่วมกับเพื่อนใช้ปืนยิงศีรษะ 2 นัด และระเบิดร่างซ้ำอีกครั้ง มิใยที่เธอจะคุกเข่าขอชีวิตว่ากำลังท้องอยู่
คำกล่าวหาก็คือเธอถูกฆ่าปิดปากเพราะกลัวว่าจะไปเปิดเผยเรื่องการมี “เงินทอน” แก่ “ผู้ใหญ่” หลายคนจากการซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ จากฝรั่งเศสและสเปนมูลค่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงที่ นาย Najib เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แค่นั้นไม่พอ อดีตนายกรัฐมนตรีมหาเดย์ยังวิจารณ์การซื้อเครื่องบินเจ็ทเพิ่มเติมอีกว่าไม่ใช่เรื่องจำเป็นเพราะมีเพียงพอแล้ว และกระหน่ำซ้ำด้วยเรื่องการเกิดหนี้ 11,000 ล้านเหรียญ ของกองทุน 1MDB อีก
รัฐบาลมาเลเซียโดนโจมตีอย่างหนักเรื่องการอ่อนซ้อมในการจัดการวิกฤติเครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์ที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย 1 ลำ และถูกยิงตกอีกหนึ่งลำ จนทำให้สายการบินก็มีปัญหาการเงินอย่างหนัก เมื่อบวกเรื่องเหล่านี้เข้าไปอีก นายกรัฐมนตรี Najib จึงประสบศึกหนักที่สุดในชีวิต เพราะมนุษย์นั้นชอบเรื่องราวที่เกี่ยวพันกับชู้สาว ฆาตกรรม คอร์รัปชัน อำนาจ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว (เราถึงเห็นพล็อตของละครตอนหัวค่ำและภาพยนตร์นานาประเทศวนเวียนอยู่กับเรื่องเหล่านี้) และมีความเอนเอียงที่จะเชื่ออย่างที่ตนเองอยากเชื่อ ดังนั้นเรื่องเหล่านี้จึงจบลงได้ยาก
ล่าสุด สื่อต่างประเทศได้รายงานความยอกย้อนของธุรกรรมเงินกองทุนอย่างละเอียดว่าไหลไปที่ไหน และสุดท้ายไปเข้าบัญชีใครได้อย่างไร มีทั้งสำเนาเอกสาร อินโฟกราฟิก รายละเอียดยอดเงิน วันที่โอน ชื่อและเลขบัญชีธนาคาร และชื่อผู้เกี่ยวพันในหลายประเทศ ซึ่งครอบคลุมไปถึงบุคคลหลายคนที่รายล้อมนายกรัฐมนตรี ความหนักแน่นของหลักฐานทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากแก่ตัวนายกรัฐมนตรี รัฐบาล และพรรค UMNO จนรัฐบาลต้องออกมาขู่บังคับให้ The Wall Street Journal ชี้แจงคำกล่าวหา มิฉะนั้นจะฟ้องร้องข้อหาละเมิดกฎหมายลับการเงินและกฎหมายอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ หลังจากที่หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ได้เผยแพร่เอกสารธนาคาร 9 ฉบับ เมื่อเร็วๆ นี้
ถ้าข้อกล่าวหาเหล่านี้เป็นความจริงทั้งหมด ก็แสดงให้เห็นว่ากรรมชั่วนั้นย่อมนำไปสู่ความเลวร้ายยิ่งขึ้นเสมอ จากการฉ้อฉลเงินหลวงไปสู่การลุแก่อำนาจ ความรุนแรงปิดปากผู้รู้เห็นโดยการฆ่าภายใต้อำนาจที่มีล้นหลามและระหว่างทางก็มีเรื่องชู้สาวแถมอีกด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกประเทศ เพราะมันมิได้เกิดขึ้นครั้งแรกที่นี่ หากเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเกือบทุกประเทศ ถ้าตัวละครในขณะที่มีอำนาจตาไม่มืดมัวตระหนักว่า สิ่งชั่วร้ายที่ได้ทำไว้นั้นมีโอกาสถูกขุดคุ้ยขึ้นมาในภายหลังเสมอ เหตุการณ์เช่นนี้ก็คงเกิดขึ้นน้อยลง
ความละอายต่อบาปอาจไม่สามารถหยุดยั้งความชั่วร้ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การเรียนรู้ว่าคนที่จะกระทำสิ่งเลวร้ายได้นั้นต้องมีลักษณะพิเศษคือ “ใจกล้า-หน้าทน-กล้าผจญความเครียด” ก็อาจฉุดไว้ได้บ้าง ใครที่ไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้ จงอยู่ให้ไกล
หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรกคอลัมน์ “อาหารสมอง” นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอังคารที่ 14 ก.ค. 2558