จากตัวเลขสถิติจำนวนพระภิกษุและสามเณรที่น้อยลงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะจำนวนสามเณรที่ลดลงอย่างต่อเนื่องและเห็นได้ชัด ในขณะที่ประชากรประเทศไทยเพิ่มขึ้น แต่เพิ่มในอัตราที่ลดลงอย่างต่อเนื่องทุกปี
อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตที่ดูจะสวนทางกับจำนวนพระภิกษุและสามเณรที่มีแนวโน้มจะลดลงในอนาคต คือ จำนวนของวัดในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้น
จากการเก็บข้อมูลสถิติจำนวนวัดในประเทศไทย ที่ได้มาจากหนังสือข้อมูลพื้นฐานทางพระพุทธศาสนา ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ประกอบกับข้อมูลบางส่วนจาก www.dhammathai.org ตั้งแต่ปี 2547-2555 เป็นเวลา 9 ปี พบว่าจำนวนวัดในประเทศไทยเพิ่มขึ้นทุกปี จากจำนวน 40,717 วัด ในปี 2547 มาเป็น 43,810 วัด ในปี 2555 เพิ่มขึ้น 3,093 วัดใน 9 ปี เฉลี่ยมีวัดเพิ่มขึ้นทุกปี ปีละ 344 วัด
จำนวนพระภิกษุและสามเณรที่ลดลงกับจำนวนวัดที่เพิ่มขึ้นเป็นสิ่งที่สวนทางกัน สะท้อนว่าจำนวนของพระสงฆ์และสามเณรต่อหนึ่งวัดมีจำนวนลดลงเรื่อยๆ และมีแนวโน้มที่จะลดลงมากขึ้นอีกในอนาคต เนื่องจากจำนวนของสามเณรซึ่งเป็นศาสนทายาทมีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
จากการสำรวจข้อมูลภาคสนามในปี พ.ศ. 2550 ของ ผศ.ดร.ชาญณรงค์ บุญหนุน อาจารย์ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้เขียนลงวารสารพุทธศาสน์ศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีที่ 18 ฉบับที่ 3 ประจำเดือนกันยายน-ธันวาคม พ.ศ. 2554 ซึ่งเป็นการสำรวจวัดในจังหวัดเชียงใหม่ 10 วัด จังหวัดอุบลราชธานี 6 วัด และจากการสัมภาษณ์เจ้าคณะตำบลในจังหวัดกาญจนบุรีรูปหนึ่งและจังหวัดอุทัยธานีอีกรูปหนึ่ง พบสภาพปัญหาที่เป็นไปในแนวทางเดียวกับสถิติข้างต้นดังต่อไปนี้
หนึ่ง พบปัญหาการขาดแคลนพระภิกษุนอกเขตเมือง เช่น ตำบล หมู่บ้าน ในแต่ละวัดจะมีพระภิกษุอยู่ประจำน้อยรูป คือประมาณ 1-4 รูป ส่วนมากจะมีเพียงรูปเดียวคือเจ้าอาวาสหรือรักษาการเจ้าอาวาส บางวัดขาดพระภิกษุที่จะอยู่ประจำตลอดทั้งปี แต่ชุมชนก็มีวิธีจัดการเพื่อให้มีพระภิกษุอยู่ประจำภายในพรรษา โดยไปนิมนต์จากท้องที่อื่นหรือวัดอื่นที่พอมีพระภิกษุสามเณรอยู่บ้างมาจำพรรษา
สอง ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้แต่ละวัดมีจำนวนพระภิกษุและสามเณรแตกต่างกันคือปัจจัยทางการศึกษา เนื่องจากชาวชนบทจำนวนหนึ่งยังต้องการพึ่งระบบการศึกษาของคณะสงฆ์เพื่อยกระดับทางสังคมหรือเศรษฐกิจของครอบครัว วัดที่มีการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมทั้งแผนกนักธรรม-บาลี หรือแผนกสามัญ มีการคมนาคมสะดวก ก็จะมีพระภิกษุสามเณรไปอยู่ประจำเป็นจำนวนมาก วัดที่มีชื่อเสียงด้านการปฏิบัติกรรมฐานก็จะมีพระภิกษุเข้าไปอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน ส่วนวัดที่ไม่มีการจัดการศึกษาด้านศาสนาหรือภารกิจด้านอื่นๆ เลยก็จะมีพระภิกษุอยู่ประจำน้อย
สาม พระภิกษุที่ประจำอยู่ในวัดต่างๆ ส่วนมากเป็นพระสังฆาธิการ ที่มีหน้าที่ด้านการปกครอง เช่น เจ้าอาวาสหรือรักษาการเจ้าอาวาส ภาระหน้าที่ทางการคณะสงฆ์สามารถดึงดูดให้พระภิกษุจำนวนหนึ่งบวชอยู่ได้นาน แต่ก็ไม่ได้มีหลักประกันว่า พระภิกษุรูปนั้นจะสามารถอยู่ในเพศบรรพชิตหรืออยู่ในเขตพื้นที่ดังกล่าวตลอดไป เพราะหน้าที่ด้านการปกครองมีความยุ่งยากและสร้างความกังวลได้มาก
สี่ ในแต่ละวัดที่สำรวจจะพบสิ่งที่เหมือนกันคือ จำนวนสามเณรที่ลดลงมาก บางวัดแม้จะมีพระภิกษุครบองค์สงฆ์แต่กลับไม่มีสามเณรอยู่เลย ตัวอย่างเช่น วัดใหม่เจริญผล ในอำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี โดยการขาดแคลนนี้ปรากฏขึ้นเรื่อยๆ ในทุกภูมิภาค และจะเป็นเช่นนี้ไปอีกเรื่อยๆ หากไม่มีแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม
ห้า คนรุ่นใหม่ที่นิยมบวชระยะสั้นมากขึ้น เมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้ว การบวชระยะสั้นคือการบวช 3 เดือนในพรรษา แต่ปัจจุบัน การบวชระยะสั้นคือการบวชตั้งแต่ 7-15 วัน เมื่อพิจารณาจากการบวชระยะสั้น จำนวนผู้บวชโดยรวมก็ไม่ได้ลดลงมากนัก และยังเป็นที่นิยมกันอยู่ แต่จุดมุ่งหมายเปลี่ยนไป กลายมาเป็นบวชตามประเพณีเพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่ แทนที่จะมุ่งหวังให้ได้รับการอบรมสั่งสอนด้านศาสนาเหมือนเมื่อก่อน
หก คุณภาพของพระสงฆ์ แม้จะไม่มีเครื่องมือชี้วัดอย่างชัดเจนหรือไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่จากข้อมูลที่พระสงฆ์ในทุกพื้นที่ประเมิน ต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าคุณภาพของพระสงฆ์ในปัจจุบันลดลงมาก บางทีถึงกับบอกว่าไม่มีคุณภาพเลย การบวชระยะยาวมีน้อยลง การบวชระยะสั้นมีมากขึ้น คนที่บวชระยะยาวมักจะเป็นผู้สูงอายุที่ไม่มีความกระตือรือร้นในการศึกษาพระธรรมวินัย เพียงแต่ต้องการอาศัยร่มเงาพระศาสนาเป็นที่พึ่งสุดท้ายในวัยชรา จากที่กล่าวมาก็พอจะสันนิษฐานได้ว่า นอกจากจำนวนแล้ว คุณภาพโดยรวมของพระสงฆ์ในปัจจุบันก็ลดลงเช่นเดียวกัน
สถิติพบผู้บวช 70% บวชสั้น 30% บวชยาว
นอกจากที่กล่าวมาในข้างต้นแล้ว ยังมีอีกข้อสังเกตหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ “เราจะรู้ได้อย่างไร” ว่าพระภิกษุและสามเณรที่เข้ามาบวชนั้นบวชนานเท่าไหร่ มีผู้บวชระยะสั้นเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ของผู้บวชระยะยาว โดยข้อสังเกตนี้มีกรณีศึกษาที่พอจะตอบคำถามได้บ้างไม่มากก็น้อย ดังนี้
ข้อมูลทางสถิติเมื่อปี พ.ศ. 2507 ในหนังสือ “สถาบันสงฆ์กับสังคมไทย” ของพระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) เกี่ยวกับจำนวนพระภิกษุและสามเณรทั่วประเทศ เขียนว่ามีจำนวนพระภิกษุทั้งสิ้น 152,510 รูป ในจำนวนดังกล่าวนี้เมื่อแยกประเภทเป็นพระภิกษุบวช 3 เดือนตามประเพณี (บวชระยะสั้น) และพระภิกษุที่เป็นตัวเลขยืน (บวชระยะยาว) พบว่าเป็นผู้ที่เข้ามาบวชในระยะสั้นจำนวน 91,138 รูป ส่วนผู้ที่บวชในระยะยาวมีจำนวน 61,372 รูป หรือคิดเป็นสัดส่วนได้ว่า ผู้ที่เข้ามาบวชระยะสั้นมีสัดส่วนถึง 60%
ต่อมาในปี พ.ศ. 2538 นายจำนงค์ อดิวัฒนสิทธิ์ ได้สำรวจพฤติกรรมการบวชของคนไทย โดยออกแบบสอบถามกลุ่มตัวอย่างพระภิกษุสามเณรจากทั่วประเทศจำนวน 920 รูป ผลจากการสำรวจพบว่า มีพระภิกษุสามเณรบวชตามประเพณี 43.5% บวชเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย 25% บวชเพื่ออุทิศส่วนกุศล 13% บวชเพื่อสืบทอดพระศาสนา 7.1% บวชเพื่อดำรงชีวิต 6.3% และบวชเพราะศรัทธาในพระศาสนา 5.1% จากข้อมูลดังกล่าว เมื่อรวมกลุ่มที่บวชตามประเพณี บวชเพื่ออุทิศส่วนกุศล และบวชเพื่อดำรงชีวิตเข้าด้วยกัน ก็จะมีพระภิกษุสามเณรจำนวนร้อยละ 62.8 ที่อาจจัดไว้ในกลุ่มที่พระราชวรมุนีกล่าวว่าเป็นประชาชน “ผู้เข้ามาเป็นภาระและรับประโยชน์จากคณะสงฆ์” ไม่ใช่ผู้ที่จะมาเป็นตัวยืนหลักในการดำรงพระศาสนา ส่วนที่เหลือที่อาจเป็นตัวยืนหรือเป็นกำลังหลักในการสืบพระทอดพระศาสนาคิดเป็นร้อยละ 37.2 อาจกล่าวได้ว่า 31 ปีให้หลัง (จาก พ.ศ. 2507) จำนวนพระสงฆ์ที่จะเป็นกำลังหลักของพระศาสนานั้นไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก
และในปี พ.ศ. 2550 พระมหากิตติพัฒน์ ศรีนาค ได้ศึกษาแนวโน้มวิกฤติพระสงฆ์ศาสนทายาทเนื่องจากการบวชระยะสั้นในสังคมไทย โดยสำรวจการบวชระยะสั้นของพระสงฆ์ในกรุงเทพมหานครและจังหวัดราชบุรี พบว่าในช่วง 3 ปีย้อนหลัง คือ พ.ศ. 2545-2547 มีชาวพุทธที่บวชระยะสั้น ใช้ระยะเวลาในการบวชประมาณ 7 วัน ถึง 1 เดือน มีจำนวนเกือบร้อยละ 70 ของผู้บวชทั้งหมด หมายความว่าในบรรดาผู้มาบวช 10 คน มีผู้บวชระยะสั้นแล้วสึกถึง 7 คน ในขณะที่อีก 3 คนที่เหลือบวชเพื่อจำพรรษา
จากข้อมูลการสำรวจทั้ง 3 แหล่ง ซึ่งแม้จะเป็นข้อมูลที่เก็บมานานแล้วก็ตาม พบว่ามีความคล้ายคลึงกันมากในเรื่องสัดส่วนของผู้ที่เข้ามาบวชระยะสั้น หรือผู้ที่เข้ามาบวชเพื่อจุดประสงฆ์ที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อค้ำจุนและสืบทอดพระศาสนา ว่าเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 60%-70% ในขณะที่ผู้ที่เข้ามาบวชในระยะยาวกลับมีเพียง 30%-40% ของผู้บวชทั้งหมด สะท้อนว่า จำนวนประชากรของพระภิกษุและสามเณรจากตัวเลขสถิติประจำปีนั้นมีความคลาดเคลื่อนในแง่ความเป็นจริงอยู่ไม่มากก็น้อย เพราะเพียงแค่ผู้ที่เข้ามาบวชเป็นระยะเวลาสั้นๆ แล้วสึก ก็จะถูกนับเข้าไปในสถิติทันที
นอกจากในด้านปริมาณแล้ว ในด้านคุณภาพของพระสงฆ์ไทยก็ปรากฏปัญหาความเสื่อมโทรมของพระศาสนาเด่นชัดขึ้นทุกวัน เพียงแต่ยังไม่มีเครื่องมือชี้วัดที่นำมาพิสูจน์ได้ก็เท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม วัดในประเทศไทยมีจำนวนมาก แบ่งออกเป็น พระอารามหลวง หรือ วัดหลวง วัดราษฎร์ และวัดร้าง
พระอารามหลวง คือวัดที่พระมหากษัตริย์ หรือพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงสร้างหรือทรงบูรณปฏิสังขรณ์ หรือมีผู้สร้างน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นวัดหลวง และวัดที่ราษฎรสร้าง หรือบูรณปฏิสังขรณ์ และขอพระราชทานให้ทรงรับไว้เป็นพระอารามหลวง
วัดราษฎร์ ได้แก่วัดที่ประชาชนสร้าง หรือปฏิสังขรณ์
วัดร้าง คือวัดที่ทรุดโทรม ไม่มีพระสงฆ์พำนักอาศัยจำพรรษา ทางราชการจะขึ้นทะเบียนไว้ ซึ่งหากบูรณะได้อาจยกเป็นวัดมีพระสงฆ์ต่อไป เช่น วัดไชยวัฒนาราม (พระนครศรีอยุธยา)
นอกจากนี้ วัดในประเทศไทยยังมีการแบ่งออกเป็นอีก 2 ลักษณะ คือ วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา และสำนักสงฆ์
วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา คือวัดที่มีอุโบสถเป็นที่ทำสังฆกรรม คำว่า วิสุงคามสีมา ในที่นี้หมายถึงเขตที่พระมหากษัตริย์พระราชทานแก่สงฆ์เพื่อใช้เป็นที่สร้างโบสถ์
สำนักสงฆ์ คือ วัดที่ยังไม่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา จึงไม่มีอุโบสถ