เหว่ยเฉียง
“Pussy เป็นคำปีศาจ มันแปลว่าลูกแมว แต่ก็หมายถึงมดลูกผู้หญิงได้ด้วย…ทางที่ดีชื่อวงนี้ควรแปลว่า ‘จิ๋มวิกลจริต’ นะ!” “พวกเธอต่อต้าน ‘ออร์ธอดอกซ์’ อันเป็นนิกายที่ประเทศรัสเซียเรานับถือกัน ถ้าไม่มีออร์ธอดอกซ์ป่านนี้พวกเราตายกันไปนานแล้วล่ะ” “พวกเธอต่อต้านมุมมองของเพศชายในโลกนี้ ถ้าอยากจะมีชีวิตอยู่โดยไม่มีผู้ชายนักล่ะก็ ควรอพยพไปอยู่ในป่าดงดิบซะ” “พวกเธอเข้ามายุ่งเกี่ยวกับความเชื่อของพวกเรา แบบนี้เราควรให้อภัยหรือลงโทษกันล่ะ…ลงโทษก่อนแล้วค่อยให้อภัย ถ้าพวกเธอสำนึกผิดนะ”
เหล่านี้คือความคิดเห็นของบรรดากลุ่มศาสนิกผู้เอือมระอาต่อพฤติกรรมที่วงพังค์ร็อกหญิงล้วน พุซซี ไรออต (Pussy Riot) เคยกระทำมา โดยเฉพาะต่อกรณีอื้อฉาวเมื่อสาวๆ กลุ่มนี้บุกเข้าไปเต้นแร้งเต้นการ้องเพลงโหวกเหวกหน้าแท่นบูชาใน Cathedral of Christ the Savior (คำไทยน่าจะตรงกับคำว่า วิหารพระมหาไถ่) กลางกรุงมอสโก เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2012 อันเป็นเนื้อหาสำคัญของสารคดีรัสเซียนเรื่องนี้ Pussy Riot: A Punk Prayer (2013) ของมิเก เลร์นีร์ และมักซิม โปซ์โดโรสกิน
สาเหตุที่พวกเธอเลือกวิหารแห่งนี้ ก็เพื่อประกาศจุดยืนและแสดงความไม่พอใจต่อการที่ฝ่ายรัฐบาลสมคบคิดกับฝ่ายศาสนามาฉกฉวยใช้ประโยชน์ในการสร้างภาพลักษณ์ โดยในหนังได้ระบุประวัติศาสตร์ของวิหารแห่งนี้ไว้ว่า ‘หลังการปฏิวัติสมัยรัฐบาลพรรคบอลเชวิก (ภายใต้การนำของเลนิน) ในปี 1917 รัฐบาลสมัยนั้นได้ดำเนินนโยบายต่อต้านศาสนาขึ้น เป็นเหตุให้ในปี 1931 ตัวอาคารโบสถ์แห่งนี้ถูกทำลายลง แล้วใช้พื้นที่นั้นแปลงไปเป็นสระว่ายน้ำสาธารณะ จนกระทั่งหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1990 แล้ว คริสตจักรแห่งนี้ก็ถูกสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้ง’
ประเด็นนี้ยังต่อเนื่องมาในแถลงการณ์ ของพวกเธออีกด้วยว่า “เมื่อครั้ง กิริลล์ กุนดยาเยฟ อดีตเพื่อนร่วมงานของประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน สมัยที่พวกเขาเคยเป็นสายลับเคจีบีด้วยกันมาก่อน ได้ขึ้นรับตำแหน่งเป็นอัครบิดร (Patriarch ผู้นำสูงสุดฝ่ายออร์โธดอกซ์ เทียบเท่าพระสังฆราช) แห่งคริสตจักรออร์โธดอกซ์รัสเซีย วิหารแห่งนี้ก็ได้กลายมาเป็นยุทธวิธีสำคัญในการเอื้อประโยชน์ทางการเมืองของฝ่ายผู้มีอำนาจรัฐ”
โดยพวกเธอเชื่อว่าปูตินได้ช่วงชิงเอาศาสนาที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวรัสเซีย ซึ่งในอดีตสมัยยังปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ ฝ่ายจักรวรรดิเคยต่อสู้ชิงอำนาจกับฝ่ายศาสนจักรมาโดยตลอด แต่ในยุคนี้ปูตินกลับเห็นช่องทางหาประโยชน์จากการที่ศาสนาเคยถูกทำลายล้างในสมัยบอลเชวิก เอามาใช้สร้างภาพลักษณ์ว่าปูตินเป็นผู้ทำนุบำรุงศาสนา ใช้ศาสนาเป็นเครื่องเสริมแรงศรัทธาให้กับตัวปูตินเอง โดยนอกจากจะส่งให้เพื่อนตัวเองไปดำรงตำแหน่งสำคัญทางศาสนจักรแล้ว ยังมีการถ่ายทอดสดศาสนพิธีอย่างต่อเนื่องบ่อยครั้งคราวละหลายชั่วโมง เพื่อกล่อมเกลาสร้างภาพคุณงามความดี รวมถึงอีกประเด็นน่าสนใจที่พวกเธอบอกไว้ในหนังก็คือ “บนแท่นบูชานั้นเป็นที่สงวนศักดิ์สิทธิ์ไว้สำหรับเพศชายเท่านั้น ทั้งที่ในประวัติศาสตร์แล้วผู้หญิงก็สามารถขึ้นไปยืนอยู่บนนั้นได้เหมือนกัน”
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ส่งผลให้พวกเธอทั้งสาม อันประกอบด้วย นาเดซดา โทโลคอนนิโควา (นาเดีย), เยคาเทรินา ซามุตเซวิช (คาเตีย) และมาเรีย อเลคินา (มาชา) ถูกจับขังคุกทันที ทั้งที่กระบวนการยุติธรรมโดยปกติต้องมีการไต่สวนก่อนการคุมขัง โดยต่อมาศาลได้ลงอาญาพวกเธอด้วยการจำคุก 3 ปี (ภายหลังหนึ่งในนี้ได้รับการปล่อยตัวและรอลงอาญา) ด้วยข้อหาว่าเป็นอันธพาลก่อภัยคุกคาม และกระทำการดูหมิ่นศาสนา
ก็มีหลายฝ่ายได้ให้ความเห็นว่า แท้จริงแล้วพวกเธอไม่ได้ต่อต้านศาสนา และการเป็นกลุ่มเฟมินิสต์ของพวกเธอก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นพวกต่อต้านเพศชาย หากแต่เพียงต้องการวิพากษ์วิจารณ์และแสดงความคิดเห็น เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักรู้ถึงข้อเท็จจริงที่ว่าฝ่ายการเมืองได้ใช้ศาสนามาเป็นเครื่องมือสร้างภาพลักษณ์ และสมควรถึงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงข้อบังคับซึ่งแสดงถึงความไม่เท่าเทียมกันระหว่างเพศ ดังจะเห็นได้จากคำพูดเหยียดหยามที่ฝ่ายศาสนิกได้ประณามพวกเธอเอาไว้ว่า (ซึ่งอยู่ในต้นบทความ) “Pussy เป็นคำปีศาจ…หมายถึงมดลูกผู้หญิงได้ด้วย” อันเป็นข้อน่าข้องใจว่ามดลูกนั้นเป็นสิ่งชั่วราวปีศาจร้ายได้อย่างไรกัน
สารคดีเรื่องนี้ถ่ายทอดความคิดเห็นทั้งสองทาง ทั้งกลุ่มศาสนิกเอง และกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยต่อนโยบายของปูติน รวมไปถึงขุดคุ้ยชีวิตในวัยเด็กของแต่ละนาง ด้วยการตามไปสัมภาษณ์สามี และพ่อแม่ของพวกเธอ ที่ในด้านหนึ่งก็อาจมองว่าความคิดและการกระทำของพวกเธอนั้นขวางโลก หรือพูดจาไม่รู้เรื่องราวกับคนบ้า แต่ในอีกมุมก็กลับแสดงความชาญฉลาดได้อย่างมีสติปัญญาในการท้าทายอำนาจรัฐ รวมถึงได้เห็นมุมมองของเหล่าศาสนิกด้วยว่า ทำไมพวกเขาจึงมั่นคงในความศรัทธา และเห็นว่าการกระทำของพวกพุซซี ไรออตเป็นความผิดบาป
พ่อของนาเดียได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมของพุซซี ไรออตไว้ว่า “มันเหมือนโยนหินลงน้ำ แล้วเกิดวงคลื่นเล็กๆ พอโยนบ่อยๆ เข้า มันก็กลายเป็นสึนามิได้เหมือนกัน” ถึงตอนนี้ กรณีนี้ก็ได้กลายเป็นคลื่นยักษ์ไปแล้วจริงๆ เมื่อในรัสเซียเองกลุ่มศาสนิกต่างรุมประณามพวกเธอ ทว่า ภายนอกประเทศกลับก่อกระแสไปยังอีกหลายสังคม ไม่ว่าจะใน อัมสเตอร์ดัม นิวยอร์ค บรัสเซล ดับลิน ฯลฯ รวมถึงคลิปยูทูบ และกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงอีกมหาศาลที่ต่างออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลรัสเซียปล่อยตัวพุซซี ไรออต ออกจากคุก และครั้งหนึ่งบนเวทีคอนเสิร์ตในมอสโก มาดอนนา ราชินีปอปแดนซ์ ก็ได้ร้องเพลง Like A Virgin และเขียนชื่อพุซซี ไรออตไว้กลางหลัง และโยโกะ โอโนะ (ศิลปินและภรรยาของจอห์น เลนนอน ผู้ล่วงลับ แห่งวง The Beatles) ก็ได้โพสต์ทวีตถึงปูตินว่า “ท่านปูตินเจ้าคะ คุณคือคนฉลาด คงไม่อยากต่อสู้กับบรรดานักดนตรีทั้งหลายหรอกนะคะ” และยังส่งผลให้หนังเรื่องนี้ได้รับรางวัลสเปเชียล จูรี (หรือขวัญใจกรรมการ) จากเทศกาลหนังซันแดนซ์อีกด้วย
ในท้ายเรื่อง นาเดียได้อ่านเนื้อหาในบทเพลงของเธอต่อหน้าบัลลังก์ผู้พิพากษาว่า “เปิดประตูทุกบานออก ปลดเปลื้องยูนิฟอร์มของพวกท่านซะ แล้วมาลองลิ้มรสชาติของเสรีภาพร่วมกันกับเราสิ” อันเป็นท่อนเพลงที่ช่างเสียดสี เพราะขณะที่เธอกำลังพูดถึงเสรีภาพ แต่กลับถูกจองจำอยู่ในคุก ตรงนี้ในหนังเธอบอกด้วยว่า
“พวกเราชนะ เพราะคุกไม่อาจกักขังจิตวิญญาณ หรือเปลี่ยนแปลงความเชื่อทางการเมืองของพวกเราได้เลย”
ชมหนังตัวอย่างหรือติดตามข่าวสารและร่วมลงนาม เพื่อปลดปล่อยพวกเธอได้ที่