ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ – “สถานการณ์ บึ้ม!! หน้ารามฯ” และ “บทเรียน!! เปลือยถ่ายคลิป โทษทั้งจำ ทั้งปรับ”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ – “สถานการณ์ บึ้ม!! หน้ารามฯ” และ “บทเรียน!! เปลือยถ่ายคลิป โทษทั้งจำ ทั้งปรับ”

1 มิถุนายน 2013


ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 26 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2556

เรื่องแรก เหตุการณ์ที่สร้างความอกสั่นขวัญแขวนต่อชาวเมืองกรุงเหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนหน้า ช่วงที่ประเทศไทยและกรุงเทพมหานครเกิดการรัฐประหาร ครั้งนี้เหตุระเบิดเกิดขึ้น ที่หน้าซอยรามคำแหง 43/1 หรือ “ซอยติว” แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ ใกล้ร้านเสริมสวย “ออกัส” ในช่วงหัวค่ำวันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม 2556 จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 7 คน เป็นหญิง 5 คน และชาย 2 คน ทั้งนี้ระเบิดที่พบเป็นระเบิดชนิดแสวงเครื่อง บรรจุไว้ในท่อพีวีซี มีการใช้ตะปูเรือใบเป็นสะเก็ดระเบิด เหมือนเช่นที่พบในชายแดนภาคใต้

เหตุระเบิดในครั้งนี้ มีการตั้งข้อสันนิษฐานต่างกันไป เนื่องด้วยพื้นที่หน้ารามคำแหงเป็นชุมชนขนาดใหญ่ของวัยรุ่น ที่ส่วนมากมาจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงมีการเกี่ยวโยงกันไปว่า อาจจะเกี่ยวกับการก่อความไม่สงบจากชายแดนใต้ แต่ทั้งนี้ก็ยังมีการพุ่งเป้าไปที่ความขัดแย้งเรื่องธุรกิจ ที่หลากหลายในบริเวณดังกล่าว ที่มีทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย ซึ่งเกี่ยวโยงกันกับผลประโยชน์ทั้งสิ้น โดยยังมีการพุ่งเป้าไปที่ความขัดแย้งส่วนตัวของเจ้าของร้านเสริมสวย “ออกัส” ที่อยู่หน้าปากซอยที่เกิดเหตุด้วย เพราะได้รับความเสียหายมากที่สุด หรือแม้กระทั่งประเด็นที่เกี่ยวกับการเมือง เพื่อเป็นการสร้างสถานการณ์

ที่มาภาพ : http://www.bangkokvoice.com20130527bv-news-599
ที่มาภาพ: http://www.bangkokvoice.com20130527bv-news-599

เรื่องนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการสืบหาความจริงของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แม้พื้นที่บริเวณดังกล่าวจะมีกล้องวงจรปิดถึง 10 ตัว แต่การตรวจสอบภาพจากกล้องก็ยังเห็นแต่คนเดินผ่านไปมา และทางเจ้าหน้าที่ก็กำลังตรวจสอบหาผู้ต้องสงสัยที่แน่ชัดจากกล้องวงจรปิดดังกล่าว เพื่อการสืบสวนและสอบปากคำหาข้อเท็จจริงของเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งมีการสอบปากคำแล้วกว่า 100 ปาก เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่คนพลุกพล่าน โดยเหตุการณ์นี้ ยังมีคลิปวิดีโอเพื่อดูสถานการณ์ถึง 3 คลิป ด้วยกัน
1. คลิปที่12. คลิปที่2และ3. คลิปที่3

“การทำงานแก้ไขปัญหาก่การร้ายในสี่จังหวัดภาคใต้ดำเนินไปท่ามกลางความรุนแรงที่เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนต้องสังเวยชีวิตประจำแทบทุกวัน เรื่องนี้มิใช่เรื่องธรรมดานะครับ และเป็นเรื่องใหญ่สุดที่รัฐบาลต้องแก้ไขให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวแบบเด็ดขาด หรือการเจรจา วันก่อนก็มีการวางระเบิดไว้ใต้ถนนทำให้ทหารเสียชีวิต 5 นาย ในจังหวัดปัตตานี ถามว่าชาวบ้านไม่รู้เชียวหรือการเจาะถนนหลวง ต้องใช้เครื่องมือ คนหลายคน และใช้เวลาในการขุดเจาะ มีทีมทำงานอย่างน้อยสิบคนขึ้นไป ตอบได้เลยว่า เจ้าหน้าที่ และประชาชนต้องเป็นแนวร่วมผู้ก่อการร้าย ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น และให้ที่พักพิง ปิดบัง หลบซ่อน ช่วยเหลือทุกทาง อย่างนี้เจ้าหน้ารัฐ และประชาชนผู้รักความสงบและสันติ จึงตกเป็นเป้าให้โจรก่อการร้ายถล่มอยู่ข้างเดียว หรือเรียกว่าแต่งเครื่องแบบออกไปให้โจรยิงเล่น รัฐบาลทบทวนได้แล้ว อย่าปล่อยให้มีคนตาย แม้แต่คนเดียว แผ่นดินนี้ให้โอกาสโจรมากไปแล้วครับ”

“อย่าเอาเรื่องการเมืองมายุ่งเกี่ยวเลย จากเหตุการณ์พวกนี้ อันที่จริงมันมีมานาน แล้วเพียงแต่ครั้งนี้มันเป็นระเบิด ไม่ต้องเรียกว่ามาเฟียหรอกมันหรูไป เรียกพวกนี้ว่านักเลงแล้วกัน เบื่อหน่ายกับพวกที่ตั้งแผงลอยขาย ของบนทางเท้า ถ้ามีจิตสำนึกบ้าง จะรู้ว่าไม่สมควรมาขายของบนทางเท้า ตั้งร้านจนเดินไม่ได้ต้องลงมาเดินบนถนน จะโดดรถเฉี่ยวรถชนตอนไหนก็ไม่รู้ คนเราเวลาทำผิดมักโทษคนอื่นไม่ดูตัวเอง คนเรานับวันยิ่งเห็นแต่ได้เห็นแก่ตัว”

“โหดร้ายมาก!?…..ไม่เคยคำนึงถึงชีวิตคนอื่นเลย”

“ถ้าเลือกได้ เราอยากให้ประเทศไทยปกครองแบบไหนครับ หนึ่งเผด็จการ สองประชาธิปไตย สามแบบผสมเผด็จการ 5 ปี หรือว่า ประชาธิปไตยครับ 10 ปี หรือสลับกันเผด็จการ 10 ปี ประชาธิปไตย 5 ปี ผมมองดูแล้วประเทศไทยไม่เหมาะในการปกครองประชาธิปไตย ถ้าเผด็จการผมว่าน่าจะรุ่งกว่านี้ ไม่รุ่งก็ดับสองอย่าง กดโหวตเลยครับ”

“ขอแสดงความคิดเห็นหน่อยนะครับในฐานะที่บ้านอยู่ซอย 43/1 เวลาผมเดินไปทำงานรู้สึกหดหู่มากกับพวกร้านค้าที่เห็นแก่ตัวให้คนเช่าหน้าร้าน แล้วฟุตบาททางเดินก็ไม่มีให้คนเดิน และคนเขาก็ต้องลงมาเดินบนถนนซึ่งเสี่ยงต่อการถูกรถชนมาก หรือคุณอย่าลืมนะครับว่า แค่รถเฉี่ยวคุณก็สามารถพิการได้ ก็รู้อ่ะนะว่ากินกันกับพวกที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แถมพวกเจ้าของร้านปากซอยยังจอดรถหน้าร้านกันหน้าตาเฉยทำไม่รู้ไม่ชี้ว่าจะมีถนนให้คนสัญจรหรือเปล่า”

เรื่องที่สอง คลิปฉาวแน่นอก เมื่อกระแสเพลงฮิต “รักต้องเปิด (แน่นอก)” ของ “3.2.1 Kamikaze feat. ใบเตย อาร์สยาม” ที่ใครหลายคนเต้นตามและถ่ายคลิปลงในเว็บไซต์​ยูทูบ ตามแบบฉบับของตนเอง แต่คลิปฉาวแน่นอกเวอร์ชันนี้เป็น 2 สาวสวยประเภทสอง ที่เปลือยกายให้เห็นทุกสัดส่วนและเต้น จนมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์และต่อว่ากันอย่างรุนแรง ว่าทำให้เสื่อมเสียวงการสาวประเภทสอง และเป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง

เรื่องนี้ทั้ง 2 สาว ก็ออกมาขอโทษการกระทำดังกล่าวผ่านคลิปวิดีโออีกครั้ง ว่าเป็นการทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์และขาดสติ เพราะเมาทำให้คึกคะนอง ทั้งยังได้กล่าวขอโทษที่เป็นตัวอย่างไม่ดีต่อเยาวชน ขอโทษสาวประเภทสองทุกคนที่ทำให้ถูกมองเสื่อมเสียไปด้วย รวมถึงขอโทษหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเจ้าของบทเพลงด้วย

ที่มาภาพ : http://www.naewna.comlocal53103
ที่มาภาพ: http://www.naewna.comlocal53103

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ก็ยังต้องรับผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ในข้อหานำเข้าข้อมูลลามกอนาจารเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และข้อหากระทำการอันควรขายหน้าต่อหน้าธารกำนัล มีโทษจำคุก 1 เดือน ปรับ 1 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

กรณีคลิปเปลือยฉาวในสัปดาห์นี้ยังไม่หมด เมื่อไบค์เกอร์หนุ่มแก้ผ้าขับบิ๊กไบค์คันงาม ดูคาติ รุ่นสตรีทไฟเตอร์เอส ไปทั่วเมืองเชียงใหม่ ทั้งยังถ่ายคลิปวิดิโอไว้ เพื่อลงในเว็บไซต์ยูทูบ โดยเป็นคลิปวิดีโอของกลุ่ม “ROCK MODE” ที่ตามรายงานข่าวมีการรายงานว่า กลุ่ม ROCK MODE ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ต่างประเทศชื่อดัง “Jackass” ซึ่งจะแสดงออกด้วยพฤติกรรมแผลงๆ ของกลุ่มวัยรุ่น และถ่ายวิดีโอแบบเรียลลิตี้ รวมทั้งมีการทำคลิปวิดีโอเปิดตัวกลุ่ม แสดงให้เห็นพฤติกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปลือยกายขี่จักรยาน แอบถ่ายตอนทำธุระส่วนตัว หรือพฤติกรรมพิสดาร เช่น ปัสสาวะรดเพื่อน และแม้กระทั่งคลิปเต้นสุดฮิต กับเพลง Harlem Shake ที่ของกลุ่ม ROCK MODE ทำขึ้น ก็มีเต้นประกอบเพลงในลักษณะท่าทางอนาจาร ไม่ปิดบังอวัยวะเพศ โชว์แบบโจ่งแจ้งอีกด้วย

ที่มาภาพ : http://www.thailandsusu.comwebboardindex.phptopic=296192.0
ที่มาภาพ: http://www.thailandsusu.comwebboardindex.phptopic=296192.0

ต่อมา ผู้ที่อยู่ในคลิปเข้ามอบตัวและสารภาพว่าเป็นการทำเพราะท้าท้ายกับเพื่อน และความคึกคะนอง เนื่องจากมีการเดิมพันว่าถ้ากล้าทำเช่นนี้ เพื่อนจะให้เงิน 1,000 บาท คือยกหนี้ที่ติดไว้ 500 บาท ส่วนเงินที่เหลืออีก 500 บาท ก็เอาไปเลย ซึ่งก็มีชื่อภารกิจนี้ว่า “ขี่รถมอไซต์ คันละ 1.2 ล้าน โชว์หนอนน้อยในเมือง” ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ได้แจ้งข้อหาผู้ขี่ บิ๊กไบค์ คือ นายเจต หรือ เจตพล จันทร์บุญทวี ว่าได้กระทำอนาจารต่อหน้าธารกำนัล ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับสูงสุด 800-2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

และนายยงยุทธ หรือ บอม แสนพันธ์ หัวหน้าแก๊ง ROCK MODE ซึ่งเป็นผู้ถ่ายคลิปและโพสต์วิดีโอทั้งหมด เป็นผู้ต้องหาในการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (4) และ (5) “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะลามกอนาจาร ทำให้ประชาชนเข้าถึงได้” เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นและทำให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน” ฐานความผิดต้องโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับด้วย

“คนเราก็แบบนี้หล่ะที่ตอนทำไม่คิด พอพลาดไป ก็มาบอกว่า หนูรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำไปเพราะความเมา ดูแล้วหดหู่จริง”

“เขาขอโทษแล้ว ยังจะว่าเขาอีก สงสารเขาบ้างเหอะ คนเราก็ต้องผิดพลาดกันบ้าง อยู่ที่จะแก้ไขหรือไม่ แชร์ต่ออยู่ได้”

“กระเทยจริงๆ เหรอ โชคดีจริงๆ หญิงไทย นึกว่าเป็นหญิงแท้ ไม่คิดว่า เทคโนโลยี จะทำให้สังคมเสื่อมถึงขนาดนี้ อยากทำอะไรก็ทำ แต่อย่าถึงต้องนำมาเผยแพร่ต่อ สาธารณะชน และทำให้สังคมเสื่อมมากไปนะ”

“ผู้เอาคลิปลงนั้นบอกว่าเป็นการโชว์ภาพเมือเชียงใหม่อีกรูปแบบหนึ่ง คุณคิดผิดแล้ว เมืองเชียงใหม่มีชื่อเสียงหลายร้อยปีมาแล้ว ตั้งแต่ ปู่ ย่า ตา ยาย หลายรุ่น รู้จักกันทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคที่มี internet นี่คือการแก้ตัวของคุณ เด็กประฐม เขายังรู้เลยจ้า พ่อคุ้น”

“ทำผิดแล้วขอโทษ กลายเป็นคนดัง เดี๋ยวมีอะไรแปลกๆ เสื่อมๆ เลียนแบบตามมาอีกแน่ๆ ดังง่ายๆ ลงทุนต่ำ คุ้มจริงๆ รับโทษนิดเดียว โทษจำ โทษปรับ มีไว้ทำอะไร ถามหน่อย”

“พวกนี้ ต้องเป็นลูกคนใหญ่คนโตครับ อยากทำอะไรก็ทำ แล้วขับดูคาติ คันเป็นล้าน จะมาสนกะเงินแค่ 500 บาทเหรอ ข้ออ้างจริงๆ แต่ยังไงเรื่องนี้ก็คงจบเหมือนเรื่องอื่นๆ คือปรับตังแล้วเงียบไปเอง”

เรื่องที่สาม มีการแชร์ต่อข้อความเป็นลูกโซ่กันมากในเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ สืบเนื่องจากเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้น หน้ารามคำแหง โดยมีการอ้างแหล่งข่าวว่ามาจากวงใน ตำรวจระดับผู้ใหญ่ อีกทั้งข้อความนี้ยังไปปรากฏอยู่บนหน้าเฟซบุ๊กของ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงสร้างความแตกตื่น จนประชาชนมีการแชร์ข้อความต่อกันมาก ซึ่งมีข้อความว่า

“…ให้ระมัดระวังช่วงนี้ อย่าเดินห้าง อย่าไปที่ชุมชนพลุกพล่าน เพราะจะมีการก่อเหตุความไม่สงบเหมือน ระเบิดหน้า ม.รามคำแหง…”

ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/K.Suriyasai/timeline
ที่มาภาพ: https://www.facebook.com/K.Suriyasai/timeline

ร้อนถึงในตำรวจระดับผู้ใหญ่ต้องออกมายืนยันเพื่อสร้างความสบายใจให้กับประชาชน ด้วยการแถลงข่าว ชี้แจงถึงเรื่องดังกล่าวว่าไม่เป็นความจริง ทางเจ้าหน้าที่ไม่มีคำแจ้งเตือนในลักษณะนี้ออกมา มีแต่การให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความระมัดระวังในการดูแลความปลอดภัยตามจุดต่างๆ ให้มากขึ้น รวมทั้งยังมีการขอความร่วมมือ ให้ผู้ที่กระจายข้อความ ข่าวลือ โปรดหยุดการกระทำดังกล่าว เพราะอาจจะสร้างความเสียหายต่อบ้านเมือง และประชาชน รวมไปถึงความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 ข้อหานำเข้าสู่คอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นข้อมูลอันเป็นเท็จ อันทำให้เกิดความเสียหายแก่ความมั่นคงในประเทศ และสร้างความตื่นตระหนกแก่ประชาชน มีโทษจำคุก 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

“จะสร้างสถานการณ์ป่วนเมืองอะไรกันนักหนาครับ เท่านี้ประชาชนยังเดือดร้อนกันไม่พอเหรอครับ สังคมกรุงเทพฯ คนเครียดกันจะแย่อยู่แล้ว ทั้งของแพง เงินเดือนน้อย รถติด คนเห็นแก่ตัว ยังจะระเบิดอีก”

“เห็นด้วย ที่ควรจะมีบทลงโทษให้หนัก กับพวกที่ชอบปล่อยข่าวป่วนเมือง สร้างความเดือดร้อนให้คนในสังคม”

“เกมส์การเมือง ปล่อยข่าวกันไปมา น่าเบื่อการเมืองไทย”

“เล่นกันตามระบบ อีกกี่สิบชาติฝ่ายค้านก็ไม่สามารถล้มรัฐบาลได้ มีอย่างเดียวก็คือทำแบบที่ พท.ทำกับรัฐบาล ปชป.ที่ผ่านมาน่ะแหละ”

“วันนั้น จึงรีบกลับบ้านกันใหญ่เลย เป็นวันเงินเดือนออกด้วย ไม่ได้เป็นเคลียร์หนี้สิ้นอะไรทั้งสิ้น ก็มีแต่คนแชร์ข้อความกันเต็มไปหมด เราก็กลัวเนอะ หน้ารามก็เพิ่งมีระเบิดมา”

เรื่องที่สี่ สารคดีชื่อดัง Animal Planet ปลุกกระแสการค้นหาความจริง ของความเชื่อเรื่อง “เงือก” ขึ้นมาอีกครั้ง จนทำให้มีผู้ที่เข้ามาดูรายการช่องนี้ และพูดถึงมากเป็นประวัติศาสตร์ 17 ปี ของการก่อตั้งรายการสารคดีสัตว์โลกทางช่อง Discovery โดยที่ทางช่องได้ออกมาแจ้งว่าในวันที่ออกอากาศสด มีผู้ชมทั่วสหรัฐอเมริกาถึง 3.6 ล้านครัวเรือน ซึ่งเป็นเรื่องราวเนื้อหาการอ้างพบหลักฐานใหม่ เป็นภาพวิดิโอจากทีมสำรวจชาวเดนมาร์ก ใต้ทะเลลึกใกล้กับเกาะกรีนแลนด์ ได้พบเจอกับสิ่งมีชีวิตประหลาด มีนิ้วมือทั้ง 5 นิ้วคล้ายกับมนุษย์ อาศัยใต้ทะเลลึก ว่ายน้ำมาทุบกระจกเรือดำน้ำของพวกเขา และได้มีการบันทึกวิดิโอได้แบบชัดเจน ซึ่งเนื้อหาดังกล่าวก็เป็นการปลุกกระแสเรื่องเงือกขึ้นมาอีกครั้งต่อจากสารคดีเรื่อง “Mermaids : The Body Found” ที่ออกอากาศไปเมื่อปีที่ผ่านมา

ที่มาภาพ : http://news.sanook.com1188962
ที่มาภาพ: http://news.sanook.com1188962

ผู้ชมบางส่วนและสื่อหลายแห่ง ก็มีการแสดงความเห็นว่าวิดิโอดังกล่าวอาจถูกจัดทำขึ้นเอง และการนำเสนอของ Animal Planet ก็อาจจะเป็นการสร้างกระแสภาพยนตร์เรื่องใหม่ ให้น่าสนใจขึ้นมาเท่านั้นเอง ซึ่งทาง Animal Planet ก็ไม่มีการตอบโต้แต่อย่างใด

“เงือกน้อยกลอยใจ หน้าตาประหลาดพิลึก เอามือมาแตะกระจกเรือสำรวจใต้น้ำ ก็ตื่นเต้น หนุกหนานดี จะจริงจะเท็จก็ช่างหัวมัน ดูเอามันส์ไว้ก่อน ช่วยผ่อนคลายสมองได้มาก ดีกว่าไหว้ของแปลกเยอะเลย”

“ผมเพิ่งดูสารคดีตอนแรกเมื่อคืนนี้ครับ เค้าก็ระบุชัดนะครับว่าอันไหนเป็นละครเพื่อสมมุติเหตุการณ์ อันไหนเป็นเรื่องจริง มุมมองผมเชื่อว่าเป็นการพูดถึงทฤษฏีอีกแง่หนึ่งของวิวัฒนาการมนุษย์ ด้วยการลวงโดยภาพยนตร์ที่ทำให้เกิดข้อถกเถียงเพื่อเรตติ้งครับ สนุกดีครับต้องหามาดูกันนะครับ”

“CG ครับ ดูเงาตอนลงน้ำสิครับคนละตำแหน่งกับตัว แล้วการขยับดูเร็วไปครับ ถ้าเป็นคุณเจอ คุณจะไม่อยากได้ภาพชัดๆ หรอ เป็นผม zoom จนกล้องพังแน่นอน”

“ไม่เชื่อก็ไม่ว่านะเเต่อย่าทำลายความรู้สึกคนทำเชื่อได้ป๊ะคะ”

“น่าจะเป็นคลิปทำขึ้นสนุกๆ ถ้าเป็นการถ่ายสารคดีประเภทนี้เขาจะไม่ถ่ายหน้าคนหรือส่วนที่ไม่เกี่ยวข้อง กล้องที่ถ่ายตัวเป็นล้านซูมได้เป็นกิโล ไม่ใช่ถ่ายเหมือนกล้องสมัครเล่น เกาะอยู่ติดกับหน้าผา คนยืนขนาดนั้น นางเงือกต้องเห็นก่อนแน่นอน การถ่ายสารคดีธรรมชาติสัตว์ต่างเขาต้องแอบ หรือพลางตัว หรือถ่ายระยะไกล ไม่ใช่มายืนเหมือนเชียร์มวยแบบนี้”

“บางที่ความตื่นเต้นของคนเรามันก็ทำให้เราทำอะไรไม่ถูก ส่วนเรื่องการถ่ายสลับไปถ่ายหน้าเพื่อนเขาก็อาจคิดว่าจะได้มีพยานรู้เห็นก็ได้ส่วนเรื่องกล้องดูแล้วความละเอียดก็ไม่เท่าไหร่จะให้ซูมไปใกล้ๆ มันก็คงเป็นไปไม่ได้หรอกว่าเปล่า ส่วนเรื่องเงือกไม่เงือก ก็เหมือนกับบ้านเรา เชื่อเรื่องพญานาค มีจริง แล้วใครเคยเจอพญานาคตัวเป็นๆ บ้างไหม แต่ก็มีนะปลาที่คล้ายๆ หรือดูเหมือนพญานาคที่อยู่ทะเลมีภาพทั้งวิดีโอให้เห็น เดี๋ยวนี้อะไรที่เราไม่เคยเห็นเราก็ได้เห็น อะไรที่เราไม่มีเราก็มี เปิดใจยอมรับมันเถอะครับ ไม่ได้ชวนให้เชื่อนะครับ แต่อยากให้เปิดใจรับมากกว่า เราจะได้ทันกับเรื่องใหม่ๆ ล้านเปอร์เซ็นต์ เรื่องราวของโลก เราอาจจะรู้แค่พันเปอร์เซ็นต์ ก็ได้”

เรื่องที่ห้า เป็นเรื่องราวความประทับใจของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ชื่อว่า นายจอน เฮลเก เวง เป็นนักท่องเที่ยวชาวนอร์เวย์ ถึงขนาดสักตัวอักษรภาษาไทยที่ต้นคอด้านหลังของตนเองว่า “ผมรักเมืองไทย” จนเป็นข่าวและมีผู้แชร์รูปภาพต่อกันด้วยความภาคภูมิใจในความเป็นไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งเรื่องนี้เกิดจากความประทับใจน้ำใจ การดูแลช่วยเหลือของคนไทยและเจ้าหน้าที่ของไทย จากการช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์แก้ไขปัญหาการหลอกลวงและช่วยเหลือนักท่องเที่ยว จังหวัดภูเก็ต สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หลังจากที่นายจอน เฮลเก เวง ได้ร้องเรียนว่าระหว่างมาท่องเที่ยวภูเก็ต ต้องเผชิญกับประสบการณ์เลวร้าย ที่เกิดจากคนขับรถของบริษัทรถโดยสาร ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ของทางศูนย์ฯ ได้มีการติดตามสอบสวนข้อเท็จจริงและพยายามดูแลปัญหาที่เกิดขึ้น รวมถึงส่งอีเมล์แจ้งข้อมูลให้นายจอนทราบเป็นระยะๆ

ที่มาภาพ : http://tnews.teenee.cometc95921
ที่มาภาพ: http://tnews.teenee.cometc95921

รูปที่มีผู้นำมาเผยแพร่นี้ก็เป็นรูปภาพที่นายจอนแนบมาให้จากการตอบกลับอีเมล์กับทางเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งข้อความ รู้สึกประทับใจ ที่ทางการไทยเข้ามาช่วยดูแลและสอบสวนปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมทั้ง นายจอนยังยืนยันว่าจะกลับมาเที่ยวเมืองไทยอีกแน่นอน โดยเรื่องนี้ก็ถือเป็นความน่าภูมิใจ และเป็นสัญญาณที่ดีของคนไทยและการท่องเที่ยวไทย ที่มีการการันตีความประทับใจ ด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเองทั้งสิ้น

“ดีแล้วค่ะ ให้มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับประเทศไทย เป็นภาพลักษณ์ดีๆ ก็ดีแล้วคะ”

“เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยไม่ต้องทำโฆษณา ให้เสียเงิน”

“น่าประทับใจ ชื่นใจสุดๆ ถึงแม้ไม่ใช่เป็นเจ้าหน้าที่ก็ตามเถอะ”

“น่าชื่นใจครับ เค้าโชคดี ที่เจอแต่คนดีๆ ทำให้ประทับใจหลายอย่าง”

“สร้างกระแสแบบสร้างสรรค์ ดีกว่าสร้างกระแสแต่ทำคนเดือดร้อนอยู่แล้วครับ”

“คนทำดี ทำอะไรด้วยความจริงใจ ผู้รับก็รู้สึกได้ถึงสิ่งนั้นจริงๆ และมักประทับใจอย่างสุดซึ้งเสมอ”