ThaiPublica > เกาะกระแส > ผลวิจัยแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินขาดแคลนมาก ทำงาน 300 ชม./เดือน มากกว่าข้าราชการ 2.5 เท่า – สมองไหล ค่าตอบแทนน้อย

ผลวิจัยแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินขาดแคลนมาก ทำงาน 300 ชม./เดือน มากกว่าข้าราชการ 2.5 เท่า – สมองไหล ค่าตอบแทนน้อย

13 มีนาคม 2013


ข่าวแจก: สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ

ที่มาภาพ : http://resources2.news.com.au
ที่มาภาพ: http://resources2.news.com.au

เปิดงานวิจัย-แพทย์ฉุกเฉินขาดแคลนเป็นจำนวนมาก ชี้เกิดสมองไหลเหตุค่าตอบแทนน้อย-งานหนัก ทำงาน 300 ชั่วโมงต่อเดือน ระบุแพทย์ 1 คนจะทำงานมากกว่าข้าราชการ 2.5 เท่า ขณะที่พยาบาลมีเพียง 873 คน ต้องใช้เจ้าหน้าที่อาสาเสริม

สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ จัดการประชุมวิชาการการแพทย์ฉุกเฉินระดับชาติ ประจำปี 2556 (National EMS FORUM 2013) และมีการเสวนาในหัวข้อ “แนวโน้มกำลังคนในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน” โดย นพ.ประจักษวิช เล็บนาค รักษาการเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กล่าวว่า ในการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินให้ได้รับบริการอย่างทั่วถึง เท่าเทียม และเป็นธรรม จะต้องอาศัยปัจจัยสำคัญใน 3 ด้าน คือ การวางระบบที่ดี อุปกรณ์เครื่องมือที่พร้อม และที่สำคัญที่สุดคือบุคลากรด้านการแพทย์ฉุกเฉิน ที่ต้องมีอย่างเพียงพอและมีศักยภาพ แต่ปัจจุบันสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ กำลังคนในส่วนนี้มีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ หรือมีการโอนย้ายเป็นจำนวนมาก ขณะที่แนวโน้มการปฏิบัติการกลับมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในส่วนของแพทย์สาขาเวชศาสตร์ฉุกเฉินและพยาบาลห้องฉุกเฉิน ในประเด็นนี้ สพฉ. ได้มีการทำวิจัยร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อหาแนวทางพัฒนาและป้องกัน ซึ่งในเบื้องต้นก็ได้มีการแก้ปัญหาโดยการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ อาทิ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มูลนิธิ โรงพยาบาลเอกชน เพื่อทดแทนอัตรากำลังคนที่ขาดแคลน

ด้าน ดร.นงลักษณ์ พะไกยะ นักวิจัยสำนักงานวิจัยและพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพ ได้นำเสนองานวิจัยเรื่อง “แนวโน้มกำลังคนในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน” ว่า จากการวิจัยเรื่องการวิเคราะห์และคาดการณ์ความต้องการของกำลังคนด้านการแพทย์ฉุกเฉินในระยะเวลา 5 ปี และคาดการณ์กำลังคนรองรับของกำลังคนประเภทต่างๆ โดยศึกษาผ่านพื้นที่ต้นแบบ 6 จังหวัด ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีการทำงานด้านการแพทย์ฉุกเฉินเป็นที่ยอมรับ

ผลการศึกษาเบื้องต้น ในปี 2555 พบว่า แพทย์เฉพาะทางสาขาเวชศาสตร์ฉุกเฉินมีเพียง 247 คน และในปี 2552 พบว่ามีแพทย์เฉพาะทางเพียงร้อยละ 35.45 ที่ปฏิบัติงานในต่างจังหวัด และเมื่อมองในด้านศักยภาพการผลิตของโรงเรียนแพทย์ สามารถผลิตแพทย์ได้ปีละ 100 คน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแนวโน้มของแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินเข้าสู่ระบบได้น้อยมาก

ส่วนด้านพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในห้องฉุกเฉินนั้น พบว่ามีความขาดแคลนมาก แม้ในปัจจุบันจะเริ่มมีการผลิตบุคลากรให้มารองรับกับตำแหน่งเหล่านี้แล้ว แต่ส่วนหนึ่งไม่ได้ปฏิบัติงานในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ทำให้การปฏิบัติงานต่ำกว่าความเป็นจริง โดยพนักงานฉุกเฉินทางการแพทย์ (EMT-B) เหลือเพียง 873 คน

อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ที่กำลังคนขาดแคลน อาสาสมัครฉุกเฉินทางการแพทย์ (FR) จึงเป็นกำลังคนที่มีบทบาทสำคัญ ทั้งบทบาทของสมาคมกู้ชีพกู้ภัย และอาสาสมัครจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่สิ่งที่ทุกหน่วยงานต้องเผชิญเหมือนกันคือ บางแห่งใช้การจ้างงานเฉพาะภารกิจ บางแห่งใช้การบูรณาการเข้ากับงานประจำของงานกู้ภัย จึงทำให้เจอปัญหาความไม่ชัดเจนของการใช้จ่ายงบประมาณที่ไม่ชัดเจนของผู้ตรวจสอบการเงิน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดเล็กก็มีความจำกัดในด้านทรัพยากร จึงไม่สามารถเข้าร่วมดำเนินการได้

ดร.นงลักษณ์กล่าวต่อว่า จากสถิติที่ได้ทำการรวบรวมพบว่า แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน 1 คน ต้องปฏิบัติงาน 300 ชั่วโมงต่อเดือน และอีกร้อยละ 80 มีงานเสริมอยู่โรงพยาบาลเอกชน ซึ่งเท่ากับแพทย์ 1 คนจะทำงานมากกว่าข้าราชการ 2.5 เท่า และสิ่งที่เป็นปัญหาที่คือ แพทย์หลายคนเปลี่ยนสถานที่ทำงานบ่อย บางคนย้ายไปทำงานในโรงพยาบาลที่มีความเพียบพร้อมมากกว่า จึงทำให้โรงพยาบาลหลายแห่งขาดแคลนบุคลากรด้านการแพทย์สาขานี้

ทั้งนี้ เหตุผลที่แพทย์แจ้งเมื่อต้องการเปลี่ยนงานก็คือ ค่าตอบแทนที่ไม่เพียงพอ โอกาสในการพัฒนาตนเองก็มีน้อย และไม่มีการสนับสนุนจากหัวหน้างาน ซึ่งตนมีข้อเสนอแนะให้เพิ่มค่าตอบแทนให้กับแพทย์ฉุกเฉินตามจำนวนของภารกิจที่ปฏิบัติงาน และให้แพทย์มีความเป็นอิสระในการทำงานมากขึ้น

“สำหรับอัตรากำลังคนในส่วนของแพทย์ที่เหมาะสมสำหรับดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติสีแดง จะต้องมีจำนวน 500 คน เป็นอย่างต่ำ และเฉพาะผู้ป่วยวิกฤติฉุกเฉินสีแดงและสีเหลืองจะต้องมีจำนวน 300 คน ส่วนแพทย์ที่ให้บริการผู้ป่วยทั้งแดง สีเหลือง และสีเขียว จะต้องมีจำนวน 400 คน ส่วนพยาบาลห้องฉุกเฉินจะต้องมีจำนวน 1,400-1,500 คน พนักงาน EMT-B จำนวน 2,994 คน จึงจะเพียงพอต่อการให้บริการ” ดร.นงลักษณ์กล่าว

ด้าน นพ.สุกิจ ทัศนสุนทรวงศ์ ผู้แทนแพทยสภา กล่าวว่า การดำเนินการจัดการในส่วนของการแพทย์ฉุกเฉิน อยากให้ความสำคัญกับศัลยแพทย์ฉุกเฉินด้วย เพราะถือเป็นส่วนสำคัญในการช่วยชีวิตผู้ป่วยฉุกเฉินได้ แต่กำลังคนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ยังมีน้อยมาก โดยกำลังการผลิตในแต่ละปีมีเพียง 80 คน เท่านั้น ดังนั้นอยากวิงวอนให้ภาครัฐช่วยกันส่งเสริมและผลิตศัลยแพทย์มารองรับในส่วนนี้ด้วย