ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ – “โป๊งเหน่งขอขมาแม่” และ “ป้ายสีแดงนายกฯ ขึ้นทับป้ายเฉลิมพระเกียรติ”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ – “โป๊งเหน่งขอขมาแม่” และ “ป้ายสีแดงนายกฯ ขึ้นทับป้ายเฉลิมพระเกียรติ”

18 พฤศจิกายน 2012


ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 11–17 พ.ย. 2555

เรื่องแรก เป็นที่ฮือฮาเมื่อมีผู้โพสต์คลิปวิดีโอลงในเว็บไซต์ยูทูบ แฉถึงสาเหตุความล่าช้าของเทคโนโลยี 3G ในประเทศไทย จากกรณีที่มีกลุ่มผู้มาร้องเรียนกล่าวหาการประมูลคลื่นความถี่ 3G ด้วยความถี่ 2.1 จิกะเฮิรตซ์ เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2555 ที่ผ่านมา โดยมีผู้ร่วมประมูล 3 ราย ได้แก่ ค่ายโทรศัพท์ AIS, DTAC และ True Move แต่ผลการประมูลในครั้งนั้นขัดกับกฎหมายฮั้ว มีความไม่ชอบธรรม และได้มีการยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), ผู้ตรวจการแผ่นดิน และศาลปกครอง ให้มีการพิจารณาผลการประมูลอีกครั้ง

โดยคลิปวิดิโอมีเนื้อหาเป็นข้อความที่เขียนอธิบายถึงเหตุการณ์เมื่อปี 2553 ตั้งแต่ตอนที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) พยายามจัดประมูลคลื่น 3G แต่ก็มีการร้องต่อศาลปกครองให้สั่งคุ้มครองชั่วคราว จนกระทั่งการประมูลล้มไป อีกทั้งยังบ่งบอกว่าเหตุการณ์เมื่อปี 2553 ที่ผ่านมา ทำให้ในช่วง 2 ปีนี้รัฐต้องสูญเสียรายได้และโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารของประเทศไทยเป็นมูลค่าถึง 150,000 ล้านบาท และต่อมาในปี 2554 บริษัททรูมูฟมีความพยายามที่จะขอเปิดใช้คลื่น 3G ด้วยความถี่ 850 เมกะเฮิรตซ์ กับ บริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) แต่มีการร้องต่อ ป.ป.ช. อีก

ภาพจากคลิปวิดีโอ ที่มาภาพ:  http://www.talkystory.comp=45600
ภาพจากคลิปวิดีโอ ที่มาภาพ: http://www.talkystory.comp=45600

หลายเหตุการณ์ที่ผ่านมา ส่งผลทำให้ประเทศไทยทุกวันนี้ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับเทคโนโลยี 3G ที่สมบูรณ์แบบ เหมือนกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศลาว ประเทศที่เป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ และไม่ตามกระแสเทคโนโลยีมากจนเกินไป แต่ทุกวันนี้เครือข่ายโทรศัพท์ของประเทศลาวกลับพัฒนาไปถึงการมี 4G เช่นเดียวกับประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา อังกฤษ สวีเดน นอร์เวย์ และญี่ปุ่น

เหตุนี้ จึงเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เพราะไม่ว่าสุดยอดโทรศัพท์มือถือ เครื่องมือสื่อสาร หรือเทคโนโลยีใดออกมา คนไทยเราสามารถมีใช้ไว้ในครอบครองได้ทั้งหมด แต่ทว่า ทำไมเครือข่ายเชื่อมโยงที่จะมาตอบสนองความต้องการกลับล่าช้าและพัฒนาตามไม่ทันอุปกรณ์ที่ทันสมัยในยุคนี้เลย

“3G ก็อยากใช้ครับ แต่เราลองกลับมาตั้งต้นของนิยาม ความหมายของคำว่า “การประมูล” กันใหม่สิครับมันใช่ตามวิธีการที่ กทช. ทำรึปล่าว เขามีการทักท้วงก่อนหน้าการประมูลแล้วแต่ กทช. ก็ยังดื้อดึงทำโดยไม่สนใจคำทักท้วง ทั้งๆที่ก็รู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร หากรับฟังแล้วหาข้อสรุปให้ได้ก่อนการประมูล มันก็จบไม่ใช่หรือครับ จริงแล้วถ้า กทช. เปลี่ยนจากคำว่าประมูลเป็น “เปิดเช่าสัญญาณ 3G” ก็น่าจะจบนะครับแล้วก็ทำสัญญาให้เช่าไปเลยเพราะผลที่ได้มันเหมือนเปิดสัญญาเช่ามากกว่าการประมูล”

“เพราะประเทศไทย มีคนไม่เข้าใจประโยชน์ของ 3G เยอะ ถึงไม่ไปไหนเสียที ที่ไม่ยอมให้มี ก็เพราะพวกเสียผลประโยชน์ทั้งนั้น พวกเสือนอนกินอาจต้องล้มหายตายจาก หรือเดือดร้อน อยากได้ค่าเช่าแต่ไม่ยอมพัฒนาอะไรเลย”

“ประมูลล่มเสียหายไปรวม 150,000 ล้าน เยอะเนอะ ประมูลใหม่ประเทศได้เงิน 41,000 ล้าน น้อยกว่ามูลค่าจริงไหมไปคิดเอาเอง ผมว่าเขาล้มการประมูลเพราะสงสัยว่าฮั่วประมูลก็ถูกแล้วไง”

“มีแต่คนขัดว่ารัฐเสียหายเท่านั้นเท่านี้ แต่ไม่เคยคิดในมุมมองกลับกันว่า แล้วค่าเสียโอกาสที่ไทยควรพัฒนามากกว่านี้ จากนักวิชาการ ที่เก่งแต่ไม่ทำอะไรให้ชาติไทย เราไม่เคยคิดไม่เคยตีราคากันเลย เรื่อง 3G ผมอยากให้มีกันนะครับ ที่บอกไทยประมูลราคาต่ำกว่าเกณฑ์ บางประเทศไม่มีการประมูลนะครับเช็คได้ ราคาที่ไทยประมูลไปติด 1 ใน 3 ของประเทศที่ประมูลแพงนะครับ จำไม่ได้รองจากอังกฤษหรือเปล่าว”

“ถ้า กสทช ทำให้ประชาชนได้ประโยชน์มากกว่านายทุนตั้งเเต่เเรก ใครเขาจะไปค้านทำไม นี่อะไร เอื้อนายทุนกลัวเขาไม่ทำไปได้ เเล้วสุดท้ายก็ต้องมานับ หนึ่งใหม่ก่อนประมูลใครๆ เขาก็ท้วงเเล้ว เเต่ก็ดื้อดึง เเล้วจะไปโทษใคร ก็พวกท่านไม่เห็นประโยชน์ของประชาชนคนเดินดินเป็นที่ตั้ง เห็นประโยชน์เป็นนายทุนเป็นที่ตั้งนี่ครับ”

“3G เกิด หรือไม่เกิด ไม่ได้หมายความว่าล้าหลัง มันมีปัจจัยทางเศรษฐกิจที่สำคัญกว่านี้มากมาย 3G แค่เทคโนโลยีการสื่อสาร รับส่งข้อมูล ปัจจุบันใช้ EDGE ความเร็ว 236-360 kbps และอยู่ระหว่างการทดลองใช้ 3G หาก 3G เกิด ใช้ HSPA และ HSPA+ ความเร็ว DL 42Mbps UL 22 Mbps มันไม่ได้บ่งชี้จะล้าหลังนะ”

เรื่องที่สอง จากกรณีที่มีข่าวการสูญหายของ 2 นักบิน นายภาคิน ไทยถนอม ครูฝึกการบิน และ นายรณพ เหลืองวิลาวัณย์ นักบินฝึกหัด ประสบเหตุการณ์เครื่องบินตก ณ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติเจ็ดคต-โป่งก้อนเส้า จังหวัดสระบุรี ตั้งแต่ปี 2550 โดยหลังเกิดเหตุได้มีการระดมกำลังเจ้าหน้าค้นหาอยู่ 12 วัน แต่ก็ยังไม่พบหลักฐานใดในขณะนั้น

กระนั้น ทางด้านครอบครัวของนักบินทั้ง 2 นาย ก็ยังคงมีการติดตามและค้นหาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะทางวิทยาศาสตร์หรือทางไสยศาสตร์ จนกระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการค้นพบซากเครื่องบินบริเวณบุยายค้อ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่เคยสำรวจและค้นหากันมาหลายครั้งแต่ก็ไม่พบ ซึ่งการพบในครั้งนี้ ได้ปรากฏลักษณะเครื่องบินตกหัวปักดิน หงายท้องคว่ำลงผืนป่า แต่ที่น่าแปลกใจคือ สภาพซากเครื่องบินที่ไม่ค่อยผุพังหรือขึ้นสนิมเท่าที่ควร อีกทั้งในการค้นหาและตรวจสอบก็พบกระเป๋า นาฬิกา และชุดนักบินเพียงชุดเดียว ติดอยู่ที่ใต้ซากเครื่อง บริเวณใกล้กันมีรองเท้าข้างขวา ซึ่งมีการคาดกันว่าเป็นของนายภาคิน ครูฝึกการบิน และไม่ห่างกันนักก็พบรองเท้าข้างขวาอีกคู่ โดยเชื่อว่าเป็นของนายรณพ นักบินฝึกหัด อย่างไรก็ตาม ในการค้นหาครั้งต่อมา ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ค้นพบซากเศษกระดูก แต่ยังไม่มีการระบุชัดว่าเป็นของผู้ใด

2 นักบินผู้สูญหาย ที่มาภาพ: http://news.mthai.comgeneral-news202963.html.jpg
2 นักบินผู้สูญหาย ที่มาภาพ: http://news.mthai.comgeneral-news202963.html.jpg

ทั้งนี้ ความพยายามในการค้นหามาตลอด 5 ปี ของทางครอบครัวซึ่งได้ใช้ทุกวิธี โดยทางคุณแม่ของ นายรณพ เหลืองวิลาวัณย์ นักบินฝึกหัดที่สูญหาย มีการเปิดเผยผ่านสื่อว่า ทางครอบครัวได้นำของมาเซ่นไหว้และบวงสรวงศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ เพื่อขอบพระคุณที่ให้ได้ค้นพบซากเครื่องบินที่ตก นอกจากนั้นยังเสี่ยงเซียมซี ซึ่งในเซียมซีทำนายว่าจะได้พบลูกชาย แม้จะไม่มีชีวิตอยู่ก็ขอให้พบซากกระดูก เพื่อจะนำไปบำเพ็ญกุศล ที่วัดหมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ต่อไป

“เขาอาจจะไม่เป็นอะไรทั้ง 2 คน แต่อาจกลับบ้านหรือไปไหนไม่ถูก เพราะบาดเจ็บกระทบกระเทือน เลยทำให้ไปไหนถูก ลองค้นหาตามถ้ำต่าง ๆ บริเวณนั้น อาจเห็นเขาอยู่ในถ้ำก็ได้นะ ขอให้เป็นอย่างนั้น”

“ย้อนดูข่าวปี 2551 นะ เคยมีข่าวว่าชาวบ้านมาเอาทองเงินมือถือ แล้วกลัวความผิด ฝังศพซ่อนไว้ เอาใบไม้บังเครื่องบิน ทำให้ตอนแรกหากันไม่เจอสักที”

“ถ้าตกลงบริเวณแคมป์หน่วยกู้ภัยที่ไปหาครั้งที่แล้ว แล้วทำไมเครื่องบินที่มารับส่งทีมกู้ภัยเมื่อ 5 ปีก่อนจึงมองไม่เห็นทั้งๆ ที่บินไปมาหลายรอบ ,กล้องดิจิตอลทำไม่เสีย,เครื่องบินดูสภาพใหม่มาก,ทำไมสแกนสัณญาณหาวัตถุจากดาวเทียมจึงจับไม่ได้ในเมื่อลักษณะไม่ลึกมาก….แล้วโครงกระดูกไปไหนถ้าตายไปแล้วจริง”

“หลงป่า อยู่กับที่ พยายามทำให้เกิดแสงสว่างหรือควันเอาน้ำมันเครื่องบินมาจุดนิดหน่อย ก็น่าจะเห็นได้ง่าย คิดว่าน่าจะบาดเจ็บ แต่ก็น่าจะเหลือร่องรอย บ้างแปลกมาก”

“เจ้าหน้าที่เขาตามหากันทุกวันแทบพลิกแผ่นดิน ขนาดใช้การเดินเท้าค้นหา ทั้งทหาร ทั้งพราน ชาวบ้านที่เขาชินทางในป่าก็ช่วยกันทั้งหมู่บ้าน ตามที่ข่าวเสนอไป หาแล้วหาอีกหาที่เดิมก็ยังไม่เจอ จนเกือบจะถอดใจแล้ว แต่มีคนโทรไปเล่าในรายการเดอะช็อค 2 ปีก่อนว่าไปเดินป่าแล้วเจอล้อเครื่องบิน เจอผีนักบิน ครอบครัวเขาเลยค้นหาต่อจนวันนี้”

“ถ้าเป็นผมที่เป็นนักบินที่รอด และอีกท่านที่ไม่รอด ผมจะเอาท่านนั้นฝังดิน เพื่อเป็นเกียรติ ไม่ให้สัตว์กัดกิน และถ้ารอดกลับมาได้ก็จะกลับมารับท่านนักบินท่านนั้น โดยการขุดขึ้นมา แต่ถ้าไม่รอดก็คงเดินป่าออกไปอีกไกล เพื่อหวังว่าจะออกจากป่าใหญ่ได้ ขอแสดงความเสียใจด้วนนะครับ และ หวังลึกว่านักบิน 2 ท่านจะต้องได้กลับบ้านอีกครั้ง หลังจากออกไปจากบ้าน 5 ปี ที่แล้ว”

“ขอให้ทั้งสองยังรอดชีวิตด้วยเถิด สงสารพ่อแม่ครอบครัว ในป่ามีสิ่งลึกลับอยู่มากมาย บางทีพวกเค้ายังมีชึวิตอยู่แต่มีสิ่งลึกลับปิดบังไม่ให้เจอก็ได้”

เรื่องที่สาม แม้จะเป็นเรื่องของคนในครอบครัว แต่ก็เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากสำหรับสังคมไทย กรณีที่ตลกโป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม และภรรยา หมู สมญา ตกเป็นข่าวว่าไล่แม่บังเกิดเกล้าของโป๊งเหน่งออกจากบ้าน อีกทั้งทางด้านแม่อ้อย นางณัฐกนก วันเพ็ญ อายุ 70 ปี ยังออกมาให้สัมภาษณ์ว่าลูกชายและลูกสะใภ้ทำร้ายจิตใจให้น้อยใจอยู่หลายหน และไม่เลี้ยงดูในฐานะแม่อย่างที่ควรจะเป็น โดยช่วงแรกที่ข่าวออกมานั้น มีเพียงทางด้านแม่อ้อยที่ออกมาพูดกับสื่อทั้งน้ำตาถึงพฤติกรรมของลูกชาย ทั้งเรื่องที่ไม่ให้การดูแลใส่ใจ ปล่อยให้ไปอยู่ที่วัด ให้กินแต่ข้าวกล่องเก่าๆ ขอเงินไว้ใช้จ่ายก็ไม่ให้ บวกกับการพูดอย่างไม่เป็นทางการของทางลูกสะใภ้ หรือหมู ภรรยาของโป๊งเหน่ง ที่บอกว่า แม่อ้อยไม่ใช่แม่ที่แท้จริงของดาราตลก แต่เป็นเพียงผู้เลี้ยงดูเมื่อยังเล็กเท่านั้น

ทำให้ผู้ที่ได้รับฟังข่าวสารในเรื่องดังกล่าวโจมตีโป๊งเหน่งว่า ถึงจะไม่ใช่แม่บังเกิดเกล้า แต่ผู้ใดที่เลี้ยงดูเรามา ก็ควรกตัญญูและตอบแทนบุญคุณ ซึ่งทางแม่อ้อยก็ยังมีการยืนยันให้ตรวจดีเอ็นเออีกต่างหาก ซึ่งต่อมาเมื่อกระแสข่าวแรงขึ้น ทางดาราตลกและภรรยาได้ออกมาให้สัมภาษณ์ และคำตอบที่ได้รับกลับไม่เหมือนเดิม คือ ทางโป๊งเหน่งยอมรับว่า แม่อ้อย คือแม่ผู้ให้กำเนิดตนจริง แต่ก็ยังมีหลายคำพูดที่แสดงออกถึงความน้อยใจมารดาเมื่อสมัยตนเองยังเล็กว่า ไม่ได้ให้การดูแลเอาใจใส่ลูกชายเท่าที่ควรเช่นกัน อีกทั้งมีการตอบคำถามแก้คำพูดของฝ่ายมารดาที่บอกว่าลูกชายไม่ให้การใส่ใจได้ทั้งหมด ว่ามีเหตุผลเพราะอะไร อีกทั้งยังยอมรับว่า เหตุผลหลักของการห่างเหินคือเรื่องแม่ผัวลูกสะใภ้ ที่เป็นปัญหามานาน

ตลกดัง โป๊งเหน่ง ขณะขอขมาแม่อ้อย ที่มาภาพ: http://entertainment.th.msn.comnewsgossip.jpg
ตลกดัง โป๊งเหน่ง ขณะขอขมาแม่อ้อย ที่มาภาพ: http://entertainment.th.msn.comnewsgossip.jpg

ซึ่งเมื่อวันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน ดาราตลกโป๊งเหน่งและภรรยาก็เดินทางไปขอขมาแม่อ้อยตามที่บอกไว้ที่วัดพระยาสุเรนทร์ อีกทั้งยังสร้างความปราบปลื้มใจให้ผู้เป็นมารดาจนถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ กับการที่ดาราตลกตะโกนเรียก “แม่” และเข้าไปกอดพร้อมก้มลงกราบที่ตัก อีกทั้งยังเอ่ยขอขมาที่ได้เคยกระทำสิ่งใดๆ ที่ทำให้แม่ต้องเสียใจ และต่อไปนี้จะดูแลแม่เป็นอย่างดี ทางด้านลูกสะใภ้ก็ได้เข้าสวมกอดและไหว้ขอขมาเช่นกัน โดยบอกว่าเรื่องอดีตที่ผ่านมาขอให้แม่ให้อภัย อาจเป็นการเข้าใจผิดกัน สำหรับแม่อ้อยก็บอกว่าจะกลับไปอยู่บ้านกับลูกชายเหมือนเดิม ที่ผ่านมาก็ถือว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด จะไม่ขออะไรจากลูกชายอีกแล้ว เพราะแค่เข้าใจกันแม่ก็ดีใจมากที่สุด

อย่างก็ตาม ขอยกคำพูดของโป๊งเหน่ง ไว้เป็นข้อเตือนใจด้วยว่า “อย่างที่หลายคนมองว่าเราเป็นคนที่ไม่ดูแลแม่เลย ผมจะคิดว่าเป็นอุทาหรณ์สอนใจไปแล้ว ถือเป็นตัวอย่างให้กับครอบครัวอื่นๆ ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้เกิดกับผม คนอื่นๆ ก็เอาไปเปรียบเทียบกับครอบครัวของตัวเองไม่ได้ อีกอย่างผมเป็นคนของประชาชนด้วย ก็ยิ่งเปรียบเสมือนว่าเราเป็นตัวอย่างของสังคมด้วย ส่วนเรื่องความหลัง ผมว่าเราลืมไปดีกว่า เรามาตั้งต้นใหม่ดีกว่าครับ ตั้งแต่วันนี้ไปเราจะทำใหม่ พยายามทำให้ครอบครัวมีความสุขที่สุด อีกอย่างนึงผมไม่อยากให้ลูกผมมาเห็นสภาพแบบนี้ เดี๋ยวเด็กจะไปคิดในสิ่งที่ไม่ดี เดี๋ยวเวรกรรมจะตามมา เพราะผมคิดว่าเรื่องเวรเรื่องกรรมมีจริง”

“เข้าใจความรู้สึกที่เกิดขึ้นตั้งแต่เด็ก แต่ยังไงเราต้องทำดีที่สุดเพราะเค้าเป็นแม่ลูกต้องกตัญญู รับรองคุณความดีนี้เป็นผลบุญที่ประเสริฐที่สุด เก็บความน้อยเนื้อใจไว้ภายในเข้าใจคะมันห้ามกันไม่ได้ อดทนหน่อยนะคนยิ่งแก่ก็จะเป็นแบบนี้ ใครที่กำลังจะเป็นพ่อแม่คน ดูไว้นะคะ ทำเค้าเกิดมาแล้วเราต้องรับผิดชอบเค้าให้ดีที่สุด อย่าทิ้งขว้าง”

“แม่คือผู้สร้างหากเราได้สร้างลูกขึ้นมาแล้วย่อมสร้างมาจากความรัก…และความรักนั้นก็เป็นความรักที่บริสุทธิ์ไม่หวังสิ่งตอบแทน…หากแม่เที่ยวมาร้องแรกแหกกระเชอว่าถูกลูกทอดทิ้งเพียงเพื่อหวังทรัพย์สมบัติจากตัวลูกที่ตนเองก็ไม่ใคร่จะยินดีเลี้ยงดูเท่าไหร่…แบบนี้หรือที่เรียกว่าแม่….เขาดูแลเราตามอัตภาพก็คิดว่าน่าจะเพียงพอต่อการดำเนินวิถีชีวิตในบั้นปลายแล้วจะยังอยากได้อะไรให้มากไปกว่านี้อีก…เข้าวัดฟังธรรม..ปฎิบัติสมาธิเพื่อขัดเกลากิเลสและแสวงหาบุญกุศลไว้มากๆ เพิ่อเป็นเสบียงธรรมดีกว่า…ส่วนลูกมีเวลาว่างก๋น้อมนำท่านไปหมั่นทำบุญสร้างกุศลไว้เยอะๆๆจะดีกว่ามั๊ยคะ….ตามความคิดของฉันซึ่งก็เป็นแม่ที่มีทั้งลูกสาวและลูกชายค่ะ”

“ถ้าแม่โยนคุณลงจากแพตั้งแต่วันที่คลอดคุณออกมาคุณจะได้มาเป็น “โป๊งเหน่ง เชิญยิ้ม” ในทุกวันนี้ไหม คุณจะได้อยู่กับลูกกับเมียอย่างทุกวันนี้ไหม คำว่าแม่เหนือคำบรรยาย ไม่ว่าท่านจะเลี้ยงหรือไม่ได้เลี้ยงเรามาก็ตาม ถ้าไม่มีท่านก็ไม่มีเรา ในวันนี้”

“สรุปว่า ครอบครัวนี้ไม่อบอุ่น ครอบครัวไม่ร่ำรวยแต่เก่าก่อน แม่เลิกกับพ่อ ออกลูกมาไปฝากคนอื่นเลี้ยง แม่ต้องทำมาหากิน ลูกคิดถึงแม่ เก็บกดความรู้สึกไม่ดีไว้กับตัวเอง ..โตเป็นวัยรุ่นขัดใจกันแม่ไล่ลูกออกจากบ้าน..พึ่งตนเองมาตลอดมีเงินหน่อยแม่มาอยู่ด้วย ให้อยู่ให้กิน แล้ว แม่จะเอามากกว่านี้เหรอ ..คนเป็นลูกให้ได้ไหม ให้ไม่ได้เพราะไม่มี หรือไม่อยากให้..เพราะแม่ไม่เคยให้หรือเปล่า..ความคิดของแต่ละคนมีเหตุผลทั้งนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์สุดประเสริฐคือการได้ทำหน้าที่ของตน บุตรพึงเลี้ยงดูบิดามารดา ..พระพุทธองค์ไม่ได้กล่าวว่า หากพ่อแม่ไม่เลี้ยงดูบุตร บุตรไม่มีหน้าที่ต้องกตัญญูต่อบิดามารดา ดังนั้น แม่ยังอยู่ ทำดีกับแม่ไว้ ไม่ว่าแม่จะเป็นอย่างไรเราดีกับแม่ด้วยความดี เน้นความดี สิ่งดีดีจะเข้ามาหาตัวเรา”

“มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากๆ ขึ้นชื่อว่าแม่แล้ว พูดยังไง เราเป็นลูกเราก็ผิดอยู่ดีในสังคมไทย แต่ดิฉันคิดว่า ถ้ามีลูกแต่ทอดทิ้งซะส่วนใหญ่ บางครั้งความผูกพันมันก็น้อยมาก บางครั้งก็มาล้ำเลิกบุญคุณโดยใช้คำว่าแม่นี่แหละ มันก็พูดยาก แต่แม่ลุกยังไงก็ตัดกันไม่ขาด ก็ขอเป็นกำลังใจให้มีทางออกที่ดีนะคะ ยังไงก็แม่”

เรื่องที่สี่ เป็นที่วิพากษ์กันทั่วโซเชียลเน็ตเวิร์กว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง หลังจากมีผู้นำภาพที่มีการนำป้ายผ้าสีแดงขนาดใหญ่ซึ่งมีข้อความว่า “ประชาชนตำบลป่าแดด สนับสนุนรัฐบาล ฯพณฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่มาจากการเลือกตั้งจากประชาชน” กำลังปิดทับป้ายเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่เทศบาลตำบลป่าแดดนำมาติดตั้งไว้ที่จุดติดตั้งป้ายของเทศบาลฯ บริเวณหน้าโรงเรียนพิมานเด็ก ติดกับสำนักงานตำรวจภูธรภาค 5 ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2555 ที่ผ่านมา

ที่มาภาพ: http://www.oknation.netblogkarieng20121115entry-2
ที่มาภาพ: http://www.oknation.netblogkarieng20121115entry-2

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น ทางนายกเทศมนตรีตำบลป่าแดด อำเภอเมืองเชียงใหม่ ได้มีการสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปปลดป้ายผ้าสนับสนุนรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ออกในเวลาต่อมา อีกทั้งยังอ้างว่าไม่รู้เรื่องป้ายผ้าสีแดงสนับสนุนว่ามาจากกลุ่มใด ทราบแต่เพียงว่ามีกลุ่มคนมาจ้างบริษัทเอกชนให้ทำป้ายผ้านี้ขึ้นแล้วนำมาติด แต่เป็นการติดผิดจุด

“ภาคเหนือ ทรงงานเพื่อช่วยเหลือไว้มากมาย ตลอดเวลาหลายสิบปี แค่ นช. มาป้อนเงินให้แค่ 10 กว่าปี ลืมพระมหากรุณาธิคุณหมดแล้ว ถึงได้มีทั้งแผ่นดินไหว น้ำท่วม น้ำแล้ง โดนหลอกหลายที ยังไม่เข็ด”

“ภาคเหนือ ทรงงานเพื่อช่วยเหลือไว้มากมาย ตลอดเวลาหลายสิบปี แค่ นช. มาป้อนเงินให้แค่ 10 กว่าปี ลืมพระมหากรุณาธิคุณหมดแล้ว ถึงได้มีทั้งแผ่นดินไหว น้ำท่วม น้ำแล้ง โดนหลอกหลายที ยังไม่เข็ด”

“ตั้งแต่มีข่าวชุมนุมของเสธอ้าย พวกนี้ก็ปอดแล้วค่ะ รถวิ่งจากเชียงใหม่ถึงแพร่ เห็นป้ายสนับสนุน ยิ่งลักษณ์ ทุกจังหวัด ที่แพร่ยังไม่กล้าประกาศสนับสนุน ยิ่งลักษณ์ตรงๆ บอกแต่สนับสนุนรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง เห็นแล้วขำ ฮามากเลยแค่นี้ก็กลัวขี้ขึ้นสมองถ้าเชื่อว่ารัฐบาลตัวดีจริงมาจากการเลือกตั้งที่ถูกที่ชอบจริงกลัวไรนักหนา ทองแท้ต้องทนร้อนได้ดิ”

“พวกเดียวกันนี่ ถ้าไม่ได้อนุญาติแล้วใครจะกล้าขึ้นไปติด คงคิดว่าไม่มีใครเอาผิดและไม่สนใจเพราะเชียงใหม่เป็นจังหวัดของพวกเขานี้”

“วันหนึ่งได้ไปเดินตลาดวโรรสของเชียงใหม่มีร้านหนังสือเจ้าหนึ่งได้วางรูปนายกหญิงบนหน้าพระเจ้าอยู่หัวเราเห็นแล้วเจ็บใจกับความโง่ของพวกมันที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”

“รับรองไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับกลุ่มนี้ เพราะ ตำรวจคือยามชั้นในของบริษัท ชินวัตรไปแล้ว และ กองทัพก็เป็นยามชั้นนอกของ บริษัทชินวัตรไปแล้วเช่นกัน ไม่รู้เลยหรือไง อย่าหลงแหกปากให้ใครมาดู มาเห็น”

เรื่องที่ห้า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีภาพที่สร้างความตกตะลึงในสังคมพุทธศาสนา กับภาพที่นักร้องดังชาวเวียดนาม “ด่าม วิง ฮุง” ประกบปากจูบพระสงฆ์รูปหนึ่งในไนต์คลับแห่งหนึ่งในกรุงฮานอย จากการประมูลไวน์เพื่อนำรายได้ไปช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็ง ซึ่งในการประมูล นักร้องหนุ่มได้ประกาศให้ผู้คนในงานทราบล่วงหน้าโดยทั่วกันแล้วว่า ผู้ชนะการประมูลจะได้รับจูบเป็นการตอบแทนด้วย และไวน์ขวดดังกล่าวประมูลสูงสุดด้วยราคา 2,500 ดอลลาร์ หรือราว 80,000 บาท จากพระสงฆ์ทั้ง 2 รูป

ที่มาภาพ: http://news.tlcthai.comnews65238.html
ที่มาภาพ: http://news.tlcthai.comnews65238.html

ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เมื่อมีภาพหลุดออกมา และทางเจ้าคณะสงฆ์จังหวัดก็ถึงกับอึ้งเป็นอย่างมากกับภาพที่เห็น เพราะทั้งขัดต่อหลักธรรมและทำลายชื่อเสียงพุทธศาสนา จึงได้มีการจัดพิธีสังฆกรรมตามแบบของพุทธศาสนานิกายเถรวาท ให้พระสงฆ์ทั้ง 2 รูปได้ขอขมา และลบล้างบาปให้พระสงฆ์ทั้ง 2 ปราศจากมลทินอีกครั้ง ก่อนจะมีการสั่งกักบริเวณพระสงฆ์ทั้ง 2 รูป ให้อยู่แต่ในวัด ห้ามติดต่อกับโลกภายนอกเป็นเวลา 3 เดือน โทษฐานประพฤติตัวไม่เหมาะสม และรับนิมนต์ในสถานที่อโคจรอย่างไนต์คลับด้วย

และยังให้เหตุผลอีกว่า การที่ไม่ได้ให้พระสงฆ์ทั้ง 2 รูป สึกก็เพราะไม่มีกฎสงฆ์ข้อใดบัญญัติโทษกรณีพระสงฆ์จูบกับชาย และดูเหมือนว่านักร้องหนุ่มจะเป็นฝ่ายจู่โจมพระสงฆ์ทั้ง 2 รูป อย่างไม่ทันตั้งตัว ส่วนเรื่องของการประมูลของนั้น มีรายงานว่าเงินที่ประมูลไวน์ไม่ใช่เงินส่วนตัวแต่อย่างใด แต่เป็นเงินที่ผู้ใจบุญคนหนึ่งตั้งใจจะบริจาคให้ และไม่ประสงค์จะออกนาม

ทางด้านนักร้องหนุ่มก็ได้มีการเขียนจดหมายด้วยลายมือของตัวเองเพื่อเป็นการขอโทษต่อสาธารณชน รวมทั้งอธิบายว่าการจูบพระเป็นทั้งความพลั้งเผลอ เนื่องจากเป็นการปฏิบัติตามที่ประกาศเอาไว้ คือจุมพิตลงบนริมฝีมากของพระสงฆ์หนุ่ม และจุมพิตมือของหลวงพี่ที่มีอาวุโสกว่า เขายอมรับว่าการจูบพระของเขาในครั้งนี้ทำให้ผู้คนตกตะลึง หลายคนมองเป็นการย่ำยีศาสนา เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ แม้จะมีการข้อโทษแล้ว แต่พุทธศาสนิกชนชาวเวียดนามก็ยังคงเสียความรู้สึกกับเหตุการณ์นี้อยู่ดี โดยทางกระทรวงวัฒนธรรมกีฬาและการท่องเที่ยว ประเทศเวียดนาม ได้สั่งลงโทษปรับนักร้องคนดัง ด่าม วิง ฮุง เป็นเงิน 5 ล้านด่ง หรือ 250 ดอลลาร์แล้ว

“มันแปลกตั้งแต่ พระเข้าไนน์คลับได้แล้วครับแถมยังมีการไปประมูลไวน์แข่งกับชาวบ้านอีก แค่นี้ก็อาบัติ จับสึกได้แล้วครับ ลงโทษเบาไปครับ 3 เดือน”

“ไม่รู้ว่า พระของเวียตนาม รู้จักคำว่า สถานที่ อโคจร หรือไม่ ศาสนาไม่เสื่อม แต่ ผู้สืบทอด เอาไปแบบ สุกเอาเผากิน ปฏิบัติผิด ๆ แล้วแสดงออกแบบผิด ๆ ผิดตรงที่ครูอุปฌาชย์ ที่ละเลยในการอบรม ศีล แปลว่า ข้อห้ามสงฆ์มีข้อห้าม 227 ข้อ”

“ตามที่ดิฉันได้ทราบมา ประชากรส่วนใหญ่ของเวียดนามเขาไม่ได้นับถือศาสนานะคะ เขาจะนับถือบรรพบุรุษเป็นส่วนใหญ่ บางทีเราควรอ่านให้ดีๆ แล้วค่อยวิเคราะห์ข้อมูล ก่อนดีกว่านะค่ะ”

“นักร้องดังคนนั้นไม่ผิดสักหน่อย เขาทำตามที่พูดไว้ต่างหากว่าใครประมูลได้จะได้รับการจุมพิตจากเขา แต่คนที่ประมูลได้กลับเป็นพระสงฆ์ 2 รูป มันเลยกลายเป็นเรื่องไม่ถูกต้องกับการกระทำของเขา แต่ทำไมพระจึงไปอยู่ในที่แบบนั้น มาปรับเขาจะถูกต้องหรือ คนจัดงานปล่อยให้มีพระเข้าไปได้น่าจะไปปรับเจ้าของสถานที่มากกว่า นักร้องเขาทำตามที่ลั่นวาจาไว้”

“เห็น รูปภาพแล้วพูดไม่ออกเลย”