ThaiPublica > เกาะกระแส > รัฐ-เอกชน-ชุมชน “เครื่องมือ สิ่งที่ต้องทำ-ไม่ทำ” สู่การพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน ชีวิตปลอดภัยและเป็นสุข

รัฐ-เอกชน-ชุมชน “เครื่องมือ สิ่งที่ต้องทำ-ไม่ทำ” สู่การพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน ชีวิตปลอดภัยและเป็นสุข

29 มิถุนายน 2012


เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2555 มูลนิธิบูรณะนิเวศและพันธมิตรเครือข่ายร่วมกันจัดงานสัมมนา “20 ปีมลพิษอุตสาหกรรมไทย: ปัญหาและการจัดการ” ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 3 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน เพื่อสร้างเวทีสาธารณะให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาร่วมกับทบทวนปัญหาและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา รวมถึงร่วมกันสะท้อนมุมมอง ข้อคิดเห็น และข้อเสนอต่อรัฐบาลเพื่อหามาตรการที่เหมาะสมในการจัดการปัญหาที่เรื้อรังอยู่ในปัจจุบัน และแนวทางการป้องกันปัญหาในอนาคตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ให้เป็นที่ยอมรับได้ของทุกฝ่าย

โดยสรุปของงานสัมมนาทำให้เราเห็นภาพชัดเจนว่า 20 ปีที่ผ่านมา การพัฒนาเศรษฐกิจไทย รวมทั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งเหมืองแร่ ปิโตรเคมี อิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ ล้วนทำให้เกิดการปนเปื้อนมลพิษในสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะในดิน น้ำ หรืออากาศ และยังเข้ามาอยู่ในร่างกายของชาวบ้านมากมายที่อาศัยอยู่ใกล้แหล่งอุตสาหกรรม จนเกิดการเจ็บป่วยในหลายรูปแบบ เช่น เป็นโรคมะเร็ง แขนขาอ่อนแรง เห็นได้จากชาวบ้านแม่ตาว จ.ตาก ที่ได้รับสารแคดเมียมที่ปนเปื้อนอยู่ในดินพื้นที่ปลูกข้าวในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ หรือชาวบ้านที่มาบตาพุด ที่ต้องอาศัยอยู่กับแหล่งน้ำ ดิน และอากาศที่ปนเปื้อนสารพิษ และแทบจะไม่ได้รับการเยียวยารักษาจากรัฐหรือผู้ประกอบการ

ปัจจุบันเขตอุตสาหกรรมได้ขยายพื้นที่ออกไปเรื่อยๆ และประเทศไทยขาดกลไกหรือมาตรการในควบคุมที่ดี ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ควบคุมดูแล อุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ และความรู้ที่ยังไม่เพียงพอ

ในส่วนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนั้นไม่ได้มีแค่กรมอุตสาหกรรม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่ยังรวมถึงกรมโยธาธิการในเรื่องการวางผังเมือง คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ BOI กระทรวงพาณิชย์ ที่ส่งเสริมการลงทุนของอุตสาหกรรมและการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มองภาคอุตสาหกรรมต่างมุมกับการรักษาสิ่งแวดล้อม

เมื่อมองในมุมของเครื่องมือ ไม่ว่าจะเป็น EIA หรือ HIA (ดูเพิ่มเติม) ก็ต้องแก้ทั้งหมดเพราะไม่สามารถใช้ได้จริง การประกาศผังเมืองที่ไม่ชัดเจน และมาตรฐานแต่ละจังหวัดไม่เหมือนกัน และมักแบ่งเขตพื้นที่สีเขียวและเขตอุตสาหกรรมทับซ้อนกันด้วย

เครื่องมือทางกฎหมายก็ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สามารถหาตัวผู้กระทำผิดได้ การจะพิสูจน์ได้ก็นานกว่าจะแน่ชัด และมาตรการบังคับใช้ก็ไม่เหมาะสม เพราะมีบทลงโทษที่เบามาก เช่น กรณีคลิตี้ บริษัทที่ปล่อยสารตะกั่วลงลำห้วยถูกปรับแค่ 2,000 บาท อีกทั้งการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ก็กระจุกตัวอยู่ที่ภาครัฐเท่านั้น โดยไม่เผยแพร่ต่อสาธารณชนอย่างเปิดเผย

สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ประเทศพัฒนาอุตสาหกรรมให้ไปข้างหน้า แต่ไม่พัฒนาระบบหรือกลไกควบคุมไปด้วยเลย ด้วยเหตุนี้ ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทย และองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมกว่า 30 แห่ง จึงมีข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อแก้ปัญหาจากมลพิษอุตสาหกรรม และความขัดแย้งจากนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรม อันจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศอย่างเป็นธรรมกับทุกภาคส่วนในสังคม ดังต่อไปนี้

ข้อเสนอเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม

1. รัฐบาลต้องเคารพสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของตนเอง ส่งเสริมและสนับสนุนให้ชุมชนกำหนดทิศทางและนโยบายการพัฒนาพื้นที่ตนเอง

2. การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ต้องคำนึงถึงความอยู่ดีมีสุขของประชาชน และความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยไม่มุ่งเน้นแต่เพียงการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ และรัฐต้องกำหนดตัวชี้วัดการพัฒนาใหม่ โดยไม่ยึดติดแต่ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) เท่านั้น

3. การกำหนดนโยบายการพัฒนาของรัฐ ทั้งระดับประเทศและระดับพื้นที่ ต้องให้ความสำคัญกับการคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพ และการรักษาความมั่นคงทางอาหาร และจะต้องไม่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ที่เป็นแหล่งอาหาร ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ป่าไม้ พื้นที่เกษตรกรรม และแหล่งประมง

4. ในการส่งเสริมการลงทุน ต้องคำนึงถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ให้เหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่และชุมชน และทำให้เกิดประโยชน์ต่อท้องถิ่น โดยไม่ส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและส่งผลเสียต่อสุขภาพชุมชน

5. ต้องปฏิรูปกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศทุกฉบับ ที่ไม่รับรองและคุ้มครองสิทธิชุมชนในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการจัดการมลพิษ

ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งจากการขยายอุตสาหกรรม

6. รัฐต้องคำนึงถึงมาตรการป้องกันเชิงพื้นที่ ให้มีความเหมาะสมกับลักษณะเฉพาะของแต่ละพื้นที่ เช่น ผังเมือง, ประกาศเขตควบคุมมลพิษ, ประกาศเขตคุ้มครองสิ่งแวดล้อม, ประกาศเขตคุ้มครองความมั่นคงทางอาหาร เป็นต้น

7. รัฐต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดทำผังเมือง ทั้งในระดับชุมชน ระดับจังหวัด และระดับประเทศ ตลอดจนต้องดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของผังเมืองอย่างเคร่งครัด และเมื่อร่างผังเมืองได้ผ่านขั้นตอนกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนแล้ว รัฐต้องป้องกันมิให้มีการดำเนินการใดที่ขัดต่อร่างผังเมืองดังกล่าว

8. รัฐต้องกำหนดให้ผังเมืองเก่าที่หมดอายุมีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าจะมีผังเมืองใหม่ใช้บังคับ เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างในการบังคับใช้กฎหมาย

9. รัฐต้องคุ้มครองพื้นที่สาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ก่อนการพิจารณาอนุญาตให้เอกชนใช้ประโยชน์

10. ต้องมีการกำหนดระยะเวลาการถือครองที่ดินของชาวต่างชาติในนิคมอุตสาหกรรม

11. การพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมของพื้นที่ในด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพชุมชนเป็นสำคัญ

12. รัฐต้องเปิดเผยข้อมูลและกระบวนการให้สัมปทาน หรือการประมูลโครงการขนาดใหญ่ ให้ประชาชนสามารถตรวจสอบได้

13. ต้องปรับปรุงกระบวนการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอไอ) เพื่อประกอบการพิจารณาอนุมัติ-อนุญาตโครงการ โดยมีรายละเอียดดังนี้

13.1) กำหนดหลักเกณฑ์ในการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำอีไอเอให้ชัดเจน

13.2) จัดทำระบบที่ทำให้ประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการติดตามตรวจสอบการดำเนินการของโครงการตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการ

13.3) ต้องมีระบบการรับเรื่องร้องเรียนที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย และเร่งดำเนินการตรวจสอบ-แก้ไขปัญหาให้รวดเร็วและเท่าทันต่อสถานการณ์

13.4) แก้ไขปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนในระบบการจัดจ้างทำอีไอเอ โดยยกเลิกระบบที่ให้เจ้าของโครงการเป็นผู้จัดจ้างบริษัทที่ปรึกษาโดยตรง และสร้างระบบที่มีองค์กรกลางเข้ามาจัดการแทน

ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหามลพิษจากอุตสาหกรรมที่มีอยู่แล้ว

14. รัฐต้องแก้ไขปัญหาที่เกิดจากอุตสาหกรรมที่มีอยู่เดิม ก่อนที่จะอนุญาตให้มีอุตสาหกรรมเพิ่มเติม

15. การขยายอุตสาหกรรมในพื้นที่ที่มีอุตสาหกรรมแล้ว ต้องมีการศึกษาศักยภาพการรองรับมลพิษของพื้นที่ในภาพรวม และเปิดเผยข้อมูลการศึกษาต่อสาธารณะ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในกระบวนการพิจารณาอนุมัติ-อนุญาตอุตสาหกรรมเพิ่มเติม

16. ต้องมีการกำหนดพื้นที่กันชนระหว่างอุตสาหกรรมและชุมชนที่เหมาะสมและเป็นที่ยอมรับร่วมกันทุกฝ่าย

17. รัฐต้องจัดทำระบบและเปิดเผยข้อมูลการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษอุตสาหกรรมและสารเคมีอันตราย ให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยง่าย

18. รัฐต้องจัดให้มีระบบการจัดการขยะอุตสาหกรรม ทั้งในเชิงป้องกันและลดปัญหาขยะอุตสาหกรรม และการจัดการกับขยะที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของชุมชนและสภาพแวดล้อม ทั้งนี้ต้องเป็นระบบที่เข้าถึงและตรวจสอบได้โดยสาธารณะ

19. หน่วยงานอนุมัติ-อนุญาต ต้องมีหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนมลพิษ และฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อมและชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการใช้อำนาจดังกล่าว

20. หน่วยงานที่อนุมัติ-อนุญาต ต้องใช้อำนาจในการกำกับดูแลโครงการ และต้องรับผิดชอบหากโครงการก่อให้เกิดผลกระทบ หากละเลยหรือเพิกเฉยต้องรับโทษทางวินัย หรือโทษอื่นใดตามกฎหมาย

21. การจัดสรรทรัพยากรน้ำ ต้องให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์ของชุมชนก่อนภาคอุตสาหกรรม

22. ต้องมีองค์กรที่มีหน้าที่ดูแลปัญหาสิ่งแวดล้อมในภาพรวม

23. ต้องมีระบบการแก้ไขเยียวยาปัญหาการปนเปื้อนมลพิษในสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชุมชนอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม

24. ให้มีกองทุนในการเยียวยาความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ โดยให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการกองทุน และต้องมีการเปิดเผยข้อมูลในการบริหารจัดการกองทุนต่อสาธารณะ

30 องค์กรหนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน

1. มูลนิธิบูรณะนิเวศ

2. โครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม

3. เครือข่ายอนุรักษ์วิถีเกษตรกรรมหนองแซง-ภาชี จ.สระบุรี

4. ชมรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแก่งคอย จ.สระบุรี

5. เครือข่ายติดตามผลกระทบโรงไฟฟ้าถ่านหินเขาหินซ้อน อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา

6. เครือข่ายคุ้มครองบางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา

7. เครือข่ายประชาชนคัดค้านการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังขั้นที่ 3 จ.ชลบุรี

8. เครือข่ายคนบ้านค่ายรักบ้านเกิด จ.ระยอง

9. สภาองค์กรชุมชนตำบลป่ายุบใน อ.วังจันทร์ จ.ระยอง

10 .เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก, มาบตาพุด จ.ระยอง

11. กลุ่มรักษ์เขาใหญ่ จ.ปราจีนบุรี

12. สมัชชาประชาชนรักษ์โลกร้อน

13. กลุ่มคนรักษ์บ่อวิน จ.ชลบุรี

14. กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จ.ราชบุรี

15. กลุ่มรักแม่พระธรณี จ.ชลบุรี

16. เครือข่ายคัดค้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จังหวัดตราด

17. เครือข่ายรักษ์อ่าวไทย เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี

18. เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคท่าจะนะ จ.สุราษฏร์ธานี

19. เครือข่ายอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.ประจวบคีรีขันธ์

20. คณะทำงานพลังงานยั่งยืน จังหวัดสุรินทร์

21. ศูนย์ประสานงานประชาสังคม จ.เลย

22. กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิด ต.เขาหลวง จ.เลย

23. กลุ่มรณรงค์คัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน จังหวัดตรัง

24. เครือข่ายสิทธิผู้ป่วยแม่เมาะ จ.ลำปาง

25. กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

26. เครือข่ายเกษตรทางเลือก จ.ฉะเชิงเทรา

27. กลุ่มเกษตรอินทรีย์ อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา

28. ชมรมอาสาสมัครรักษาสิ่งแวดล้อมคลองบางแก้วและเจดีย์บูชา จ.นครปฐม

29. กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนสารแคดเมียมตำบลพระธาตุผาแดง อ.แม่สอด จ.ตาก

30. เครือข่ายประชาชนติดตามแผนพัฒนาจังหวัดสตูล