ทันทีที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2554 ให้อายัดธนบัตรของกลาง 15 ล้านบาท ที่ตำรวจยึดได้จากแกงค์โจรกรรมบ้าน “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ในซอยลาดพร้าว 64 พร้อมตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบ สุพจน์ ใน 3 ข้อหาฉฉกาจกรรจ์ ก็เท่ากับว่าหลักฐานที่อยู่ในมือป.ป.ช.ขณะนี้น่าจะ “มีมูล” พอให้ตามกลิ่นได้ต่อ
เมื่อข้อกล่าวหาแรกคือการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จนั้น ป.ป.ช.พบว่าเงินก้อนใหญ่ในห้องนอนของ สุพจน์ ทุกปึก ไม่ได้ถูกแจ้งเอาไว้ในบัญชีช่วงเกือบ 2 ปีที่ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคม
อันนำไปสู่ข้อกล่าวหาที่สองคือการร่ำรวยผิดปกติวิสัยของข้าราชการทั่วไป และสุดท้ายคือข้อกล่าวหาว่าอาจมีการทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ ซึ่งประเด็นหลังสุดนี้มีคนร้อนๆ หนาวๆ เพราะหากป.ป.ช.สาวไส้จริง อาจเจอเส้นทางการเงินที่โยงใยกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างและนักการเมืองมากหน้าหลายตา
แน่นอนว่า วิบากกรรมของสุพจน์ ยังหาคนเห็นอกเห็นใจได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นบรรดาบิ๊กๆ ในกระทรวงคมนาคม หรือ “ขาใหญ่” ในแวดวงการเมืองของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
เมื่อวิถีการขึ้นดำรงตำแหน่งของสุพจน์มาด้วยบันไดทางการเมือง แถมยังก้าวข้ามหัวเพื่อนร่วมรุ่น จึงมีคนสะใจเมื่อเจ้าตัวสะดุดล้มจนขาแข้งหัก และด้วยบุคลิกส่วนตัวของสุพจน์ที่ค่อนข้าง “ห่างเหิน” กับคนที่เคยคุ้นชินสมัยยังเป็นแค่ผู้ตรวจราชการหรืออธิบดี ก็ยิ่งทำให้คนในกระทรวงคมนาคมค่อนข้างวางเฉยกับคดีนี้
เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาสนามกอล์ฟที่ สุพจน์ ออกรอบประจำอยู่ในย่านกองทัพอากาศดอนเมือง แต่หลังจากได้นั่งเก้าอี้ปลัดกระทรวงใหญ่ เขาก็เทิร์นโปรไปเล่นสนามระดับไฮโซร่วมก๊วนกับคนใหญ่คนโต จนเป็นที่โจษขานกันในบรรดากลุ่มแคดดี้ที่รู้ใจถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
แน่นอนว่า บันไดการเมืองของปลัดกระทรวงคมนาคมคนนี้ถูกปู “พรมแดง” ให้เดิน โดยพรรคภูมิใจไทย ในยุคที่ โสภณ ซารัมย์ เป็นรมว.คมนาคม จึงไม่แปลกที่สุพจน์จะถูกบีบ ถูกเค้น ให้พ้นไปจากเก้าอี้ใหญ่ตัวนี้ หลังจากที่พรรคเพื่่อไทยคว้าชัยในการเลือกตั้ง
เพราะวงในทางการเมืองรู้ดีกว่า แบ็คอัพทางการเงินในช่วงการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่ขับเคี่ยวกันอย่างหนักในภาคอีสาน ระหว่างภูมิใจไทยและเพื่อไทยนั้น เงินถุง เงินถัง ที่ใช้อัดแคมเปญ “ประชานิยม สังคมเป็นสุข” นั้น ออกมาจากตู้เสื้อผ้าใบไหน
หลายคนจึงไม่แปลกใจที่จะมีคนจับภาพได้ว่า เงินของกลาง 15 ล้านบาท ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจรวบรวมเอาไว้นี้ จะถูดมัดไว้พร้อมตัวอักษรตรง “สายรัดธนบัตร” ของแบงก์พาณิชย์ 7 แห่ง จะไล่เรียงการเบิกจ่ายมาตั้งแต่ปี 2552, 2553 จนกระทั่งถึงก่อนการเลือกตั้งปีล่าสุด
ไม่มีใครทราบว่าการสะสมของเงินก้อนใหญ่มาจากแหล่งใดบ้าง แต่นโยบายกระทรวงคมนาคมในช่วงสองปีก่อนที่ถือว่า “จะแจ้ง” ก็คือ ให้เร่งประมูลรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายหลายเส้นทางคิดเป็นวงเงินกว่าแสนล้านบาท ขณะที่โครงการถนนปลอดฝุ่นทั่วประเทศ ที่ใช้งบประมาณไทยเข้มแข็งก็มีการเบิกจ่ายไป 2-3 หมื่นล้านบาท
ในช่วงนั้นบรรดา “ผู้รับเหมารายใหญ่” ต้องต่อสายกันพัลวัน พอตกค่ำยังต้องมานั่งสุมหัวกันต่อว่าจะจัดสรรประโยชน์กันให้ลงตัวได้อย่างไร เมื่อโปรเจกต์จากกระทรวงคมนาคมไหลมาไม่ขาดเหมือนกระแสน้ำหลาก
แน่นอนว่า ฤดูน้ำมากย่อมมีคนที่ได้ประโยชน์จากปลาใหญ่ปลาน้อยที่ว่ายเข้ามาในอวน เมื่อจับได้ก็เอาไปแจกจ่าย หรือส่งส่วย ที่เหลือคือส่วนที่ “เจ้าของ” ซึ่งออกแรง ย่อมเก็บเอาไว้กินเองภายในครอบครัว
การเข้ามาของ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ในฐานะ รมว.คมนาคม อดีตเตรียมทหารรุ่น 10 เพื่อนผู้ใกล้ชิดกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สร้างความลำบากใจให้กับ สุพจน์ ไม่น้อย เพราะยี่ห้อภูมิใจไทยที่แปะไว้ตรงหน้าผาก ส่งผลให้การทำงานในกระทรวงไม่ราบรื่น
ประกอบกับข้าราชการระดับสูงในกระทรวงนี้ที่เรียกว่า เดินสวนกัน ยังไม่อยากมองหน้า ก็เข้ามาผสมโรงเขย่าเก้าอี้ไม่เว้นแต่ละวัน แต่ปัญหา “ปีนเกลียว” ที่กดดันยิ่งกว่าคือ การที่ ประภัสร์ จงสงวน อดีตผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และอดีตผู้สมัครชิงผู้ว่ากทม.จากพรรคพลังประชาชน เข้ามานั่งตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีคมนาคมในปัจจุบัน
เพราะเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ประภัสร์ เคยยื่นใบสมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่ารฟม.คนใหม่ ซึ่งด้วยคุณสมบัติแล้วถือว่าเหนือกว่าคู่แข่งคนอื่นๆอย่างชัดเจน แต่ประภัสร์กลับไม่ได้แรงสนับสนุนจาก สุพจน์ ที่ถือหางผู้สมัครอีกคนหนึ่่งทำให้ต้องพลาดตำแหน่งไป โดยไม่มีใครคาดคิดว่า วันหนึ่่ง ประภัสร์ จะถูกดึงตัวไปช่วยงานนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเข้ามาคุมกระทรวงคมนาคมแห่งนี้
ขณะเดียวกัน แรงกระแทกใส่สุพจน์ ยังไม่หมดเท่านั้น เพราะตำแหน่งแม่บ้านในกระทรวงคมนาคมต้องดูแลรัฐมนตรีอย่างทั่วถึงทุกยุคทุกสมัย แต่กรณีของสุพจน์นั้น ถูกมองจาก “คนใน” กระทรวงว่า เขาไม่ค่อยให้ความสำคัญกับ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.คมนาคม เท่าไรนัก จนถึงขนาดที่ถูกค่อนแคะว่า ปลัดมองข้ามหัวรัฐมนตรีช่วย
โดยที่ พล.ต.ท.ชัจจ์ เข้ามานั่งเก้าอี้นี้ได้ส่วนหนึ่ง เพราะลุยช่วยงานพ.ต.ท.ทักษิณ สมัยที่มีการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดงในรัฐบาลประชาธิปัตย์ พล.ต.ท.ชัจจ์ถือเป็นแกนนำคนสำคัญที่มีส่วนในการสร้างความเข้มแข็งให้กับการ์ดเสื้อแดง และไม่ใส่เสื้อแดง
เป็นที่รู้กันว่า ในช่วงก่อนการเลือกตั้งครั้งล่าสุด มีแกนนำพรรคเพื่อไทยไม่กี่คนที่กล้าควักจ่าย โดยไม่ตามทวงเงินจากพ.ต.ท.ทักษิณ มาใช้จ่ายในช่วงหาเสียง
ในตำแหน่งรมช.คมนาคมนี้ พล.ต.ท.ชัจจ์ ได้รับการจัดสรรให้ดูแลกรมทางหลวงชนบท และการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ขณะนี้กำลังมีโปรเจกต์ใหญ่ก่อสร้างส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสีแดง รถไฟทางคู่ และเตรียมจะทำรถไฟความเร็วสูงร่วมกับประเทศจีน ซึ่งทุกเรื่องต้องการให้มีการเสนอและสนองตอบอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนว่าพล.ต.ท.ชัจจ์จะผิดหวังไม่มากก็น้อย
พล.ต.ท.ชัจจ์ ถือเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่พูดได้ว่า ใจถึง พึ่งได้ ถึงไหนถึงกัน จึงไม่ต้องแปลกใจว่า หนึ่งในคนที่รมช.คมนาคมที่เคยถูกมองว่าเป็นสายเหยี่ยว ให้ความไว้ใจมากที่สุดคือเตรียมทหารรุ่น 10 ที่ชื่อ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต หรือเสธ.ไอซ์ เสธ.คนดังที่มีเพื่อนพ้องทุกวงการ โดยเฉพาะในย่านสนามม้า
การเฉยเมยของ สุพจน์ ต่อ พล.ต.ท.ชัจจ์ และทีมงาน จึงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่นอน แต่เหตุใด สุพจน์ จึงยังสามารถรักษาเก้าอี้ปลัดกระทรวง ที่นั่งทับผลประโยชน์มหาศาลไว้ได้มาร่วม 3-4 เดือน โดยไม่ถูกปลดลงจากตำแหน่ง
ส่วนหนึ่งก็เพราะเกมชิงไหวชิงพริบ เมื่อ สุพจน์ เคยบินด่วนไปยังนครดูไบ เพื่อสร้างความไว้วางใจในการทำงานให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ เพราะหมากนี้เขารู้ดีว่าต้องเล่นกับคนที่มีอำนาจตัวจริง ไม่ใช่เอาล่อเอาเถิดกับตัวละครที่อยู่หน้าฉาก
ความพยายามในการปลด สุพจน์ หลายครั้งที่ผ่านมา จึงไม่สำเร็จ
จนกระทั่งเกิดเหตุคนร้านบุกเข้าปล้นบ้าน เมื่อช่วงดึกของคืนวันที่ 12 พ.ย. 2554 มีการพบเงินฟ่อนใหญ่ในบ้านเลขที่ 77 ซอยลาดพร้าว 64 นำไปสู่คำสั่งด่วนของพล.อ.อ.สุกำพล ย้ายปลัดกระทรวงคมนาคม ไปนั่งตบยุงที่สำนักนายกรัฐมนตรี ก่อนที่ป.ป.ช.จะมีมติสอบสวนสุพจน์ข้อหาทุจริตและร่ำรวยผิดปกติด้วยซ้ำ
แม้ว่า “ทอล์คออฟเดอะทาวน์” ของสังคมกำลังพุ่งไปตรง “ที่มา” ของเงินก้อนโตว่าท่านได้แต่ใดมา แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่คือความคลุมเครือของเหตุการณ์ดังกล่าว คือเป็นสถานการณ์จริงหรืออุปโลกน์ เป็นโจรกรรมธรรมดา หรือไม่ธรรมดา
เมื่อเรื่องแดงขึ้น ก็มีการปล่อยข้อมูลของคดีออกมาอย่างรวดเร็วว่า โจรพบเงินสดในบ้านของปลัดนับ 1,000 ล้านบาท แต่ต่อมาตำรวจก็ออกมาระบุว่าจริงๆอาจมีประมาณ 200 ล้านบาท และสุดท้ายโจรใจดียอมนำมาคืนให้ 15 ล้านบาท
แถมตำรวจยังสามารถจับกุมคนร้ายที่ย่องเข้าบ้านยามวิกาลเกือบครึ่งโหลได้อย่างง่ายดายและนิ่มนวล โดยไม่มีใครรู้ว่าเงิน “ส่วนต่าง” ที่หยิบออกไปอยู่ที่ไหน เพราะมีการพูดกันในพรรคการเมืองใหญ่ว่าเงินส่วนที่ถูกลากออกไปนั้น เป็น “เงินค้างท่อ” ที่กั๊กเก็บเอาไว้ ซึ่งขณะนี้เงินไปอยู่ในมือ “ไอ้โม่ง” เบื้องหลังของทีมโจรกรรมชุดนี้แล้ว
กูรูในแวดวงการเมือง มองตรงกันว่า งานนี้อาจมีเกม หักเหลี่ยม เฉือนคม อารมณ์ประมาณ “สั่งสอนให้รู้สำนึก” จะได้ไม่มีใครเอาเยี่ยงอย่าง
ชื่อของสุพจน์ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครรู้จัก จึงดังกระฉ่อนกว่าใคร กลบกระแสมหาอุทกภัย ที่ซัดรัฐบาลเพื่อไทยจนเซไปเซมา เสียกระบวนท่า … ข้าวปลาอาหารที่เคยได้รับบริจาคก็ลอยไปกับน้ำจนหมด จนเกือบต้องอยู่ในภาวะอดมื้อกินมื้อ
พูดอีกนัยคือว่า ถ้าเคลียร์งานนี้จบ ข้าราชการระดับซี 11 ส่วนใหญ่ คงซึ้งในสัจธรรมที่ว่า ยามน้ำเหนือหลาก นักการเมืองก็อยากได้ปลาบ้างเท่านั้นเอง…