ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : ศธ. เสนอสมุดบันทึกความดี – กสทช. แจกคูปอง 690 บาท ทุกบ้าน/สั่งปรับ DTAC-AIS คิดค่าบริการเกิน และบึ้มกลางเบตงส่งท้ายรอมฎอน

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : ศธ. เสนอสมุดบันทึกความดี – กสทช. แจกคูปอง 690 บาท ทุกบ้าน/สั่งปรับ DTAC-AIS คิดค่าบริการเกิน และบึ้มกลางเบตงส่งท้ายรอมฎอน

26 กรกฎาคม 2014


ประเด็นฮอตประจำสัปดาห์ระหว่างวันที่ 19-26 กรกฎาคม 2557
– คสช. ประกาศ ‘รัฐธรรมนูญ’ ชั่วคราว หลังยึดอำนาจครบ 2 เดือน
– ศธ. เสนอสมุดบันทึกความดียื่นเข้าอุดมศึกษา-สพฐ. ขอพิจารณาก่อน
– มติ กสทช. แจกคูปอง 690 บาท ทุกบ้าน/สั่งปรับ DTAC-AIS ฐานคิดค่าบริการเกิน
– เครื่องบินไต้หวัน-อัลจีเรีย ตก 2 ลำติด ต่อจาก ‘MH17’ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
– บึ้มกลางเบตงส่งท้ายรอมฎอน บาดเจ็บ 40 ดับ 2-ประยุทธ์สั่งจับตาพิเศษ

คสช. ประกาศ ‘รัฐธรรมนูญ’ ชั่วคราว หลังยึดอำนาจครบ 2 เดือน

พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม และ ศ.พิเศษ พรเพชร วิชิตชลชัย ที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พร้อมด้วย ศ.ดร.นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ชี้แจงรายละเอียดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 เมื่อวันที่ 23 กรกฏาคม 2557  ที่มาภาพ : http://www.posttoday.com/
พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม และ ศ.พิเศษ พรเพชร วิชิตชลชัย ที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พร้อมด้วย ศ.ดร.นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ชี้แจงรายละเอียดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 เมื่อวันที่ 23 กรกฏาคม 2557
ที่มาภาพ : http://www.posttoday.com/

เมื่อ 22 ก.ค. ที่ผ่านมา หลังครบรอบ 60 วัน ที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ยึดอำนาจการบริหารปกครองประเทศ มีหมายกำหนดการ เวลา 17.00 นาฬิกา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พระราชทานวโรกาสให้ พล.อ. ประยุทธ์ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557

หลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 1 วัน คสช. (23 ก.ค.) มีการชี้แจงรายละเอียดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 โดย พล.อ. ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม และ ศ.พิเศษ พรเพชร วิชิตชลชัย ที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พร้อมด้วย ศ.ดร.นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (สรุปการแถลงข่าว) และ (อ่านรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557)

ภายหลังการแถลงข่าวซึ่งใช้เวลาประมาณ 50 นาที มีการเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนซักถาม โดยนายประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโส หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ขอถามนายพรเพชร และนายวิษณุ 2 มาตรา คือ มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว เปรียบเทียบกับ มาตรา 17 ในธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2502 สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และมาตรา 48 เรื่องบทนิรโทษกรรม คสช.

โดยมาตรา 44 นายประวิตรถามว่า ที่ระบุว่ากรณีหัวหน้า คสช. เห็นว่ามีความจำเป็น ให้หัวหน้า คสช. โดยความเห็นชอบของ คสช. มีอำนาจสั่งการระงับยับยั้ง หรือกระทำการใดๆ ได้ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ และให้ถือว่า คำสั่งหรือการกระทำ รวมทั้งการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว เป็นคำสั่งหรือการกระทำหรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญนี้ และเป็นที่สุด

นายประวิตรถามต่อไปว่า “ตรงนี้นี่สามารถตีความได้ไหมครับว่า อำนาจของหัวหน้าคณะ คสช. ก็คือสูงสุด และอาจจะมีความคล้ายคลึงกับยุคสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ปกครองผ่านมาตรา 17 อันนี้คือความเป็นห่วงเป็นใย แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นนี่ จะถือได้ไหมครับว่า ในความเป็นจริงแล้วอำนาจของหัวหน้า คสช. ในช่วงที่ยังมีการใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวนี้ ก็ยังอยู่เหนือ ครม. และตัวนายกรัฐมนตรี”

ส่วนคำถามที่สองที่นายประวิตรถามนั้นเกี่ยวข้องกับมาตรา 48 ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ที่พูดถึงว่า การกระทำใดๆ ที่โยงกับ การยึดอำนาจในวันที่ 22 พ.ค. ที่ผู้ปฏิบัติทุกท่าน ‘หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมาย ให้ผู้กระทำนั้นพ้นจากความผิดและความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง’ จากนั้นนายประวิตรถามว่า คำถามนี้อาจจะโยงเกี่ยวกับเรื่องการปรองดอง เพราะในขณะเดียวกัน ก็คงชัดว่า คสช. ไม่ต้องรับผิดชอบทางกฎหมายใดๆ กับการกระทำในการยึดอำนาจวันที่ 22 พ.ค. แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีประชาชนหรือคนจำนวนหนึ่งที่ออกมาก่อการกระทำบางอย่าง โดยนายประวิตรยกตัวอย่าง กรณีนายจาตุรนต์ ฉายแสง หรือนายสมบัติ บุญงามอนงค์ ที่ถูก คสช. ดำเนินคดี

อย่างไรก็ตาม ไม่ทันที่จะถามจบ สัญญาณถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ก็ตัดเข้าสู่รายการปกติ แต่ช่วงถาม-ตอบ ยังคงดำเนินอยู่ โดยที่ก่อนหน้าการแถลงข่าวเจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่า จะไม่มีการถ่ายทอดสดช่วงถาม-ตอบ โดยหลังการตั้งคำถาม ทั้งนายพรเพชรและนายวิษณุได้ตอบคำถาม 2 ข้อดังกล่าว

ในประเด็นมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว นายพรเพชรตอบว่า ยอมรับว่า คสช. มีอำนาจเหนือกฎหมาย ‘การใช้อำนาจนี้คงไม่ไปไกลเหมือนจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ไปยุ่งเกี่ยวในคดีอาญาปกติ และไปยิงเป้า’ นายพรเพชรตอบด้วยว่า ที่ผ่านมาตอนที่ยังไม่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ คสช. เป็นรัฏฐาธิปัตย์ ทำได้มากกว่ามาตรา 44 แต่ก็ยังไม่ทำ

ส่วนนายวิษณุตอบคำถามนี้ว่า ‘เรื่องการใช้อำนาจพิเศษนั้น เชื่อมโยงกับการมี คสช. ถ้า คสช. ไม่อยู่ อำนาจพิเศษก็ไม่มีความจำเป็น’ นายวิษณุกล่าวด้วยว่า มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวจะช่วย ‘ทำหน้าที่บางอย่าง’ ที่คณะรัฐมนตรีทำได้ลำบาก นอกจากนี้เพื่อป้องกันหากมีการปฏิวัติซ้อน ‘ใครจะหาว่าเรา retro (ย้อนยุค) ก็แล้วแต่ ไม่อย่างนั้นจะหาอำนาจใดมาจัดการกับปัญหารุนแรงมิได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตคือเกิดการปฏิวัติซ้อน’

นายวิษณุยอมรับว่า ต้นแบบของมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาจากมาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2502 โดยต้นแบบมาจากรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส ‘โดยมีที่มาจากรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสด้วย แล้วมันกลายมาเป็นมาตรา 17 แล้วมาเป็นมาตรา 44’

อย่างไรก็ตาม นายวิษณุยืนยันว่าการใช้มาตรา 44 จะเป็นไปอย่างจำกัด ‘คงไม่ใช่เป็นการใช้อำนาจแบบประจำวัน และคงไม่ใช่นึกจะใช้ก็ใช้’ นายวิษณุกล่าวด้วยว่า 2 เดือนที่ผ่านมา คสช. มีอำนาจมากกว่ามาตรา 44 เสียอีก แต่ก็ไม่ใช้ นอกจากนี้กรณีที่มีเหตุฆ่าข่มขืน มีเสียงเรียกร้องมายัง คสช. แต่ คสช. ก็ยืนยันว่าจะดำเนินคดีอาญาตามปกติ

นายวิษณุยอมรับว่า การใช้อำนาจตามมาตรา 44 เปรียบได้กับการมี ‘ประกาศิต’ แต่ก็เหมือนเป็น ‘ดาบสองคม’ คงต้องไปดูว่าจะใช้มาตรานี้ในทางสร้างสรรค์หรือทำลาย มันเหมือนดาบสองคม และ คสช. ยังอยู่ภายใต้การจับตาจากทุกฝ่าย

ส่วนคำถามที่สองของนายประวิตรซึ่งเกี่ยวข้องกับมาตรา 48 ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ซึ่งมีเนื้อหานิรโทษกรรม คสช. ขณะที่อีกฝ่ายที่ออกมาต่อต้าน คสช. ยังถูกดำเนินคดีนั้น นายวิษณุตอบคำถามนี้ว่า ‘มันเป็น tradition (ธรรมเนียม) ที่เป็นมาตั้งแต่ยึดอำนาจ พ.ศ. 2475 ถ้าไม่เขียนไว้ก็จะมีการจองเวรจองล้าง’ นายวิษณุยังตอบเรื่องที่ฝ่ายต่อต้าน คสช. ถูกดำเนินคดีด้วยว่า รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวมิได้ห้ามมิให้มีการเยียวยาผู้อื่นหรือฝ่ายอื่นแต่อย่างใด

ส่วนคำถามจากผู้สื่อข่าวอื่นๆ นั้น มีผู้ถามว่า ทำไมในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวไม่ระบุให้มีการทำประชามติรัฐธรรมนูญฉบับถาวร นายวิษณุ เป็นผู้ตอบ ระบุว่า ได้พิจารณากันแล้ว และถามผู้มีประสบการณ์ในการทำรัฐธรรมนูญ 2550 แล้วว่าการทำประชามติอาจจะมีขั้นตอนที่ยืดยาวนานหลายเดือนและต้องออกกฎหมายว่าด้วยการทำประชามติก็จะทำให้การเลือกตั้งเนิ่นนานออกไปอีก เลยไม่บังคับไว้ ส่วนอนาคตจะทำประชามติหรือไม่ก็ต้องดูความเหมาะสมต่อ เพราะหากจำเป็นเชื่อว่า ครม. และ คสช. จะดำเนินการได้ จึงคิดแค่นี้ในขณะนี้ก่อน

เมื่อถามว่าหัวหน้า คสช. สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า คำถามนี้อาจารย์คนไหนก็ตอบไม่ได้นอกจากหัวหน้าของอาจารย์ จากนั้นนายวิษณุก็ขอให้ พล.อ. ไพบูลย์ ตอบคำถาม โดย พล.อ. ไพบูลย์ กล่าวว่า การที่มีแนวทางที่หัวหน้า คสช. ได้มอบหมายมาเป็นเรื่องที่ดี คาดว่าเดือนสิงหาคมนี้ สนช. คงเกิดขึ้น

จากนั้นมีผู้ถามย้ำว่าตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว หัวหน้า คสช. สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ ทำให้ พล.อ. ไพบูลย์ต้องหันไปถามนายวิษณุว่า ‘ตามรัฐธรรมนูญเป็นได้ไหมครับ’ ทำให้นายวิษณุตอบด้วยการพยักแล้วพูดโดยปิดไมโครโฟนว่า ‘ได้’ จากนั้น พล.อ. ไพบูลย์ก็ตอบซ้ำว่า ‘ได้’

ทั้งนี้หลัง พล.อ. ไพบูลย์กล่าวจบ นายวิษณุก็กล่าวด้วยว่า ‘รัฐธรรมนูญเขาให้เป็นได้ครับ แต่ได้เป็นไหมเป็นเรื่องของ สนช.’

ศธ. เสนอสมุดบันทึกความดียื่นเข้าอุดมศึกษา-สพฐ. ขอพิจารณาก่อน

ที่มาภาพ:  https://www.facebook.com/stopdadjarit2/photos/a.414343421995746.1073741828.413982712031817/650838208346265/?type=1
ที่มาภาพ: https://www.facebook.com/stopdadjarit2/photos/a.414343421995746.1073741828.413982712031817/650838208346265/?type=1

เมื่อ 21 ก.ค. ที่ผ่านมาสำนักข่าวไทยรายงาน นาง สุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมองค์กรหลักพิจารณาแนวทางกิจกรรมเพื่อสร้างค่านิยมหลัก 12 ประการ บูรณาการเข้ากับหลักสูตรการเรียนการสอนและการประเมินผล เห็นชอบให้มีการจัดทำ ‘สมุดบันทึกความดี’ สำหรับนักเรียนทุกระดับชั้น ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้ง กศน. ให้นักเรียนพกไว้จดบันทึกความดี สิ่งดีที่ตัวเองได้ทำ ซึ่งอาจเป็นเรื่องนามธรรม ไม่ได้อยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอน โดยมอบให้แต่ละหน่วยงานเตรียมการจัดระบบและเนื้อหาในสมุดความดี ที่บรรจุค่านิยมหลัก 12 ประการตามนโยบาย คสช. และให้มีการลงนามรับรองโดยครูอาจารย์หรือผู้ปกครอง พร้อมกันนี้ยังมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) นำผลการทำความดีดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาคัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งจะนำไปหารือในที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ต่อไป

ทั้งนี้ จะบูรณาการเข้ากับวิชาลูกเสือที่มีการทำสมุดบันทึกความดีประจำตัวลูกเสือ หรืออาชีวศึกษาก็มีการใช้ ‘passport ความดี’ อยู่แล้ว โครงการดังกล่าวก็จะเป็นการทำให้ที่มีการดำเนินการอยู่แล้วมีความเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น

ปลัด ศธ. กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ จะจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม และมหาเถรสมาคม เพื่อจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ธรรมศึกษา ในสถานศึกษา โดยเน้นโรงเรียนที่อยู่ในวัด เพื่อให้นักเรียนได้ศึกษาธรรมะจนจบนักธรรมตรี ควบคู่กับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน

ขณะเดียวกัน เว็บไซต์เดลินิวส์เผยว่า ดร.กมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวถึงกรณีที่ ศธ. ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนทำความดีและมีการจดบันทึกความดี เพื่อนำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งในการเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ว่าความจริงเรื่องนี้ยังไม่ได้ลงในรายละเอียดเป็นเพียงข้อเสนอในที่ประชุมองค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ก็มีทำอยู่แล้วที่ให้เด็กบันทึกความดี อย่างไรก็ตามโดยส่วนตัวตนเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดี แต่ก็มีหลักคิดที่ต้องพิจารณาด้วย คือ ในการจดบันทึกว่าอะไรจะเป็นความดีที่จะนับเป็นคะแนนได้บ้างคงต้องมีการกำหนดให้ชัดเจน และต้องดูด้วยว่ากิจกรรมที่จะจดบันทึกเป็นความดีนั้น ควรเป็นกิจกรรมที่นอกเหนือจากกิจกรรมที่เด็กทุกคนต้องทำเป็นปกติทุกวัน และเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่กิจกรรมที่กำหนดให้ทำตามวาระ เพื่อให้ความดีที่เด็กทำนั้นเป็นความดีที่เกิดจากจิตสำนึกจริงๆ ของเด็ก

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับการนำไปใช้การพิจารณาเข้าศึกษาต่อนั้น หากจะนำไปใช้จริงก็ควรเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการพิจารณาเท่านั้น ไม่ใช่คะแนนหลักทั้งหมด และที่สำคัญคือการที่เด็กจะได้เข้าศึกษาต่อหรือไม่ เด็กคนนั้นจะต้องผ่านเกณฑ์การคัดเลือกของสถาบันด้วย เช่น ต้องมีคุณสมบัติครบ ต้องทำคะแนนได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด เพราะฉะนั้นสรุปได้ว่า สพฐ. เห็นว่าแนวคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดที่ดี แต่ต้องเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของการพิจารณาเท่านั้น สำหรับการรับนักเรียนของ สพฐ. จะนำเรื่องความดีมาเป็นส่วนประกอบหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ซึ่งเราต้องศึกษารายละเอียดและวิธีการที่ชัดเจนก่อน

หลังจากมีข่าวที่จะใช้ ‘พาสปอร์ตความดี’ ยื่นเข้าศึกษาขั้นอุดมศึกษานั้น กระแสบนโลกออนไลน์วิพากษ์วิจารณ์การใช้กฎเกณฑ์ดังกล่าว โดยมีการเปรียบเทียบ นางสุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่ามีความเหมือนกันกับ นางโดโลเลส เจน อัมบริดจ์ เป็นตัวละครหนึ่งใน Harry Potter ในเรื่องนั้นเธอเป็นปลัดอาวุโสขึ้นตรงต่อรัฐมนตรี ต่อมาเป็นอาจารย์วิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดที่ฮอกวอตส์ หลักสูตรที่เธอสอนเป็นหลักสูตรที่กระทรวงอนุมัติ แต่ทำให้นักเรียนไม่ได้เรียนการป้องกันตัวใดๆ เลย กลับให้เอาแต่อ่านหนังสือ จากเหตุนี้ในที่สุดกองทัพดัมเบิลดอร์ซึ่งเป็นกองทัพนักเรียนจึงก่อตั้งขึ้น

มติ กสทช. แจกคูปอง 690 บาท ทุกบ้าน/สั่งปรับ DTAC-AIS ฐานคิดค่าบริการเกิน

ที่มาภาพ: http://www.tv5.co.th/technics/what_is_tv_digital.html
ที่มาภาพ: http://www.tv5.co.th/technics/what_is_tv_digital.html

เมื่อ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา เว็บไซต์บล็อกนัน และเดลินิวส์ รายงานว่า นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า ที่ประชุมบอร์ด กสทช. มีมติเอกฉันท์ 10 คน (พ.อ. ดร.นที ศุกลรัตน์ ประธาน กสท. ไม่เข้าร่วม) เคาะราคาคูปองทีวีดิจิตอล 690 บาท แลกเฉพาะทีวีดิจิตอล (ทีวีที่มีอุปกรณ์รับสัญญาณ DVB-T2 ที่กสทช. รับรองเท่านั้น) และกล่องเซตทอปบ็อกซ์ ดิจิตอล (กล่องแปลงสัญญาณ หรือ set-top-box)

โดยจะแจกได้ในเดือน ก.ย. นี้ และแจกให้กับ 22.9 ล้านครัวเรือนยึดตามทะเบียนราษฎร์ เดือน มี.ค. 2557 เบื้องต้นเริ่มแจก 4 จังหวัดก่อน คือ กรุงเทพฯ-ปริมณฑล เชียงใหม่ สงขลา และขอนแก่น เบื้องต้นกำหนดจัดส่งคูปองให้ทางไปรษณีย์แต่อย่างไรก็ตามต้องประชุมสรุปกับผู้เกี่ยวข้องอีกครั้ง

ทั้งนี้ กสทช. เตรียมนำเสนอข้อสรุปคูปองดิจิตอลให้ คสช. วันที่ 30 ก.ค. นี้ สำหรับคูปองนั้น กสทช. จะว่าจ้างหน่วยงานรัฐพิมพ์เพื่อป้องกันการทุจริต

นอกจากนี้ นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านคุ้มครองผู้บริโภคและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน เปิดเผยว่า สำนักงาน กสทช. โดยเลขาธิการ กสทช. ฐากร ตัณฑสิทธิ์ ได้มีหนังสือด่วนที่สุดลงวันที่ 17 ก.ค. 2557 ให้บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ชำระค่าปรับในอัตราวันละ 186,669 บาท ส่วนบริษัท โทเทิล แอ็คเซส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค ชำระค่าปรับในอัตราวันละ 157,947 บาท เนื่องจากกระทำผิดประกาศ เรื่อง อัตราขั้นสูงของค่าบริการโทรคมนาคมสำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเสียงภายในประเทศ พ.ศ. 2555 ที่กำหนดอัตราขั้นสูงไว้ไม่เกิน 99 สตางค์/นาที ซึ่งมีผลบังคับผู้ให้บริการทั้ง 2 ราย ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค. 2557 เป็นต้นไป

‘ทั้งนี้ที่ผ่านมาบริษัทไม่ทำประกาศฯ จากการตรวจสอบรายการส่งเสริมการขาย พบว่ายังคิดค่าบริการเกินอัตราที่สูงเกินกว่ากำหนด เนื่องจากมีผู้ใช้บริการร้องเรียนเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งที่ประชุม กทค. พิจารณาแล้วก็บอกว่าบริษัททำผิด ต้องคืนเงินที่คิดเกินให้ผู้ร้องเรียน เป็นการเยียวยาเฉพาะกรณีไป การสั่งปรับเพื่อบังคับให้บริษัททำให้ถูกต้องจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะจะส่งผลคุ้มครองผู้บริโภคในภาพรวมมากกว่า อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามให้มีการปรับกันจริงๆ ด้วย แต่ไม่ได้อยากได้เงิน เพียงแต่อยากให้เกิดสภาพการบังคับเพื่อให้บริษัทยอมปฏิบัติให้ถูกต้อง’ นายประวิทย์กล่าว

อย่างไรก็ตาม กสทช. แนะนำว่าหากพบว่ายังคงถูกคิดค่าบริการเกินก็สามารถโต้แย้งบริษัทได้ทันที เพราะเท่ากับเรื่องนี้ชี้ชัดแล้วว่าบริษัททำเช่นนั้นไม่ได้ เป็นการผิดกฎหมาย หรือหากโต้แย้งไม่เป็นผลก็สามารถร้องเรียนเข้ามาที่สำนักงาน กสทช. ได้ทันที

เครื่องบินไต้หวัน-แอลจีเรีย ตก 2 ลำติด ต่อจาก ‘MH17’ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ที่มาภาพ: http://news.thaiza.com
ที่มาภาพ: http://news.thaiza.com

ไทยรัฐออนไลน์รายงาน ‘ลึกลับ ช็อกโลก! ย้อน 5 เหตุการณ์เครื่องบินตกสยองในปี 2014’ โดยสองครั้งหลังนั้นเกิดเมื่อ 23 ก.ค. ที่ผ่านมา เพียง 5 วัน หลังจากเที่ยวบินเอ็มเอช 17 ของมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ตกที่ยูเครน เกิดเหตุพายุกระหน่ำเที่ยวบิน จีอี 222 ของทรานส์เอเชียแอร์เวย์สตก โดยเครื่องบินโดยสารขนาดเล็กชนิด ‘เอทีอาร์ 72-500’ พยายามร่อนลงจอดฉุกเฉินที่สนามบินในเมืองหม่ากง บนหมู่เกาะเปงฮู ทางตะวันตกของไต้หวันถึง 2 ครั้ง แต่ความพยายามครั้งที่ 2 เมื่อเวลา 19:06 น. ตามเวลาท้องถิ่น พลาด และเครื่องหายไปจากเรดาร์ของหอบังคับการบิน ก่อนพบอีกครั้งว่า เครื่องตกในพื้นที่ชุมชนใกล้สนามบินจนไฟลุกท่วม ลามไปไหม้บ้านเรือนอีก 2 หลัง

เครื่องบินขนาด 70 ที่นั่งลำนี้มีกำหนดเดินทางออกจากสนามบินในเมืองเกาสง บนเกาะหลักของไต้หวัน ในเวลา 16:00 น. แต่ล่าช้าจนได้ขึ้นบินในเวลา 17:43 น. เพราะอิทธิพลของไต้ฝุ่นแมตโม ที่พัดถล่มไต้หวันในวันนั้นพอดี และเชื่อว่าไต้ฝุ่นลูกนี้ เป็นสาเหตุทำให้ จีอี222 ตก เพราะภาพจากเรดาร์แสดงให้เห็นฝนกระหน่ำที่สนามบินเมืองหม่ากง ในเวลาที่เครื่องตก อุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 48 ราย ได้รับบาดเจ็บ 10 คน

หลังจากนั้นเที่ยวบินเอเอช 5017 ของ แอร์ แอลจีเรีย หายใน มาลีซึ่งเป็นเครื่องบิน ‘แมคดอนเนล ดักลาส เอ็มดี-83’ พร้อมผู้โดยสาร 110 คน (50 คนเป็นชาวฝรั่งเศส) และลูกเรืออีก 6 คน เดินทางออกจากกรุงวากาดูกู เมืองหลวงของประเทศ บูร์กินาฟาโซ เพื่อไปยังกรุงแอลเจียร์ส เมืองหลวงของแอลจีเรีย แต่เครื่องบินลำนี้กลับขาดการติดต่อกับหอบังคับการบินขณะบินอยู่ในน่านฟ้าของประเทศมาลี หลังจากขึ้นบินได้เพียง 50 นาที เวลาต่อมาเจ้าหน้าที่แอลจีเรียนายหนึ่งออกมาอ้างว่า เอเอช 5017 ตกในมาลี ขณะที่ แอร์ แอลจีเรีย แถลงว่า เครื่องบินลำนี้ตกใกล้เมืองทิเลมซี ในแคว้นกาโอ

ขณะเดียวกัน ฝรั่งเศสซึ่งมีปฏิบัติการทางทหารในมาลี ส่งเครื่องบินของกองทัพออกค้นหา เอเอช 5017 และมีรายงานว่า พบ ซากเครื่องบินลำนี้ในพื้นที่ระหว่างแคว้นกาโอ และแคว้นคีดัล ซึ่งเป็นเขตทะเลทรายยากที่จะเข้าถึง ทางการฝรั่งเศสได้ส่งหน่วยทหารเข้าตรวจสอบพื้นที่จุดตกเพื่อช่วยเหลือแล้ว เนื่องจากผู้โดยสารบนเครื่องส่วนใหญ่เป็นชาวฝรั่งเศสมากถึง 51 ราย จากผู้โดยสารทั้งหมด 110 ราย

ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวของทางการแอลจีเรียเร่ิมรายงานข่าวด่วน เครื่องบินโดยสารของแอร์แอลจีเรีย ซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติของประเทศแอลจีเรีย ได้ขาดการติดต่อกับหอควบคุมการบินเป็นเวลา 50 นาที หลังจากนำผู้โดยสาร 110 คนและลูกเรือ 6 คน ทะยานออกจากท่าอากาศยานกรุงวากาดูกู เมื่อเวลา 01.55 น. และมีกำหนดจะเดินทางถึงกรุงอัลเจียร์สในเวลา 05.10 น. ตามเวลาท้องถิ่น

แหล่งข่าวในบริษัทสายการบิน แอร์ แอลจีเรีย เปิดเผยว่า ก่อนเครื่องบินจะหายไปจากจอเรดาร์นั้น นักบินของเที่ยวบิน AH 5017 ได้แจ้งไปทางหอควบคุมการบินว่า จะมีการเปลี่ยนเส้นทางบิน โดยจะบินอ้อมจากเส้นทางเดิม เนื่องจากทัศนวิสัยในการมองเห็นต่ำมาก และเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจจะชนกับเครื่องบินลำอื่น

บึ้มกลางเบตงส่งท้ายรอมฎอน บาดเจ็บ 40 ดับ 2-ประยุทธ์สั่งจับตาพิเศษ

ที่มาภาพ: https://www.facebook.com/SuntiPattani/photos/pcb.654255934659662/654255691326353/?type=1
ที่มาภาพ: https://www.facebook.com/SuntiPattani/photos/pcb.654255934659662/654255691326353/?type=1

เมื่อ 25 ก.ค. ที่ผ่านมา เฟซบุ๊กอาสาสมัครกู้ชีพคืนสันติ รายงานเกิดเหตุระเบิด เวลา 16.40 น. บริเวณหน้าโรงแรมฮอลิเดย์ ฮิลล์ (ฟูทูน่า) เลขที่ 50 ถนนภักดีดำรงค์ ต.เบตง อ.เบตง จ.ยะลา โดยคนร้ายซุกซ่อนวัตถุระเบิดไว้ภายในรถยนต์ มีผู้เสียชีวิตแล้ว 2 ราย บาดเจ็บ 40 ราย โดยผู้บาดเจ็บทั้งหมดไปส่งไปที่ รพ.เบตง

ไทยรัฐออนไลน์ รายงาน ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เผยว่า ตอนนี้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว และได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดูแลผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่ เบื้องต้น ไม่ทราบว่ารถที่ใช้ก่อเหตุคาร์บอมบ์ดังกล่าวเข้ามาในพื้นที่ได้อย่างไร เพราะได้มีมาตรการดูแลป้องกันเป็นอย่างดี การเกิดเหตุครั้งนี้ถือเป็นเหตุครั้งแรกในรอบ 3 ปี ของเมืองเบตง และได้มีการสั่งเพิ่มกำลังในการดูแลความสงบอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้มีการก่อเหตุซ้ำ และใน 26 ก.ค. จะมีการประชุมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาช่องว่างที่ทำให้รถที่ใช้ก่อเหตุเข้ามาในพื้นที่

หลังจากเกิดเหตุระเบิดไม่นาน พ.อ. บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กล่าวถึงกรณีที่เกิดเหตุระเบิดบริเวณหน้าโรงแรมฮอลิเดย์ ฮิลล์ (ฟูทูน่า) ว่าคนร้ายได้ซุกซ่อนวัตถุระเบิดไว้ภายในรถยนต์ โดยอาศัยช่วงจังหวะเวลาที่ชุดรักษาความปลอดภัยของเทศบาลเมืองเบตง เปลี่ยนเวรทำหน้าที่ ซึ่งชุดรักษาความปลอดภัยดังกล่าวเป็นประชาชนอาสาที่มีความเข้มแข็ง แต่ช่วงเวลาดังกล่าวมีประชาชนพลุกพล่าน รวมทั้งพื้นที่ดังกล่าวเป็นซอยที่มีความคับแคบ

ทั้งนี้ เบื้องต้นได้รับรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตและมีผู้บาดเจ็บจำนวนหลายสิบราย ส่วนใหญ่เป็นประชาชนในพื้นที่ อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้มีการสั่งการให้เพิ่มความระมัดระวังคาร์บอมบ์ในทุกพื้นที่ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้รวมถึงพื้นที่หาดใหญ่ จ.สงขลาด้วย

‘พื้นที่เบตงเป็นพื้นที่ที่คาดไม่ถึง และเหนือความคาดหมายว่า คนร้ายจะก่อเหตุสร้างสถานการณ์จนเกิดความเสียหายได้มากขนาดนี้ โดยอาศัยช่วงเวลาการเปลี่ยนกะของเจ้าหน้าที่ฯ เพราะที่ผ่านมา สถานการณ์ในพื้นที่ถือว่า อยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งนี้ ยังเหลือเวลาอีก 3 วันสุดท้ายของช่วงเดือนรอมฎอน ทาง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกและหัวหน้า คสช. จึงได้สั่งให้มีการจับตาเฝ้าระวังสถานการณ์เป็นพิเศษ’ โฆษก กอ.รมน. กล่าว

ด้าน พ.อ. ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในฐานะหัวหน้า คสช. ได้สั่งการมาโดยตรงถึง พล.ท. วลิต โรจนภักดี แม่ทัพภาคที่ 4 ให้ควบคุมสถานการณ์ให้ได้โดยเร็ว รวมทั้งตรวจสอบยานพาหนะต่างๆ และปิดกั้นเส้นทางการเข้า-ออก โดยเฉพาะการลำเลียงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ จากเหตุการณ์ส่งโรงพยาบาล พร้อมทั้งให้มีการเพิ่มความระมัดระวังในพื้นที่เสี่ยง เพราะเกรงว่า กลุ่มคนร้ายจะก่อเหตุซ้ำอีก